เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Every moment matters.Mars
ENTANEER : เรื่องเล่าของสาววิศวะ
  • "เรียนวิศวะน่ะดี เรียนจบทำงานเงินเดือนสูง รวยไว"

    "เป็นผู้หญิงเรียนวิศวะเท่ห์จะตายได้ใส่เสื้อช้อปด้วย"

    "เรียนจบไปหางานง่ายจะตาย ดีกว่าเรียนพวกภาษาอีก"

    นี่คือคำพูดจากผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเข้าใจ เคยเรียน หรือยุ่งเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรมมาก่อนเลย..


    ต้องขอบอกเอาไว้เลยว่าเราเป็นคนที่เรียนไม่เก่งมาก

    อ้าว แล้วทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะล่ะ?

    ขอบอกตรงๆเลยว่า... ไม่รู้จะเรียนอะไร


    ขอเล่าย้อนความหลังก่อน เราเชื่อว่าต้องมีบางคนที่เป็นเหมือนเรา คือเรียนได้ระดับปานกลาง เรียนได้ทุกวิชา ไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ จะเรียนภาษาก็ได้ คำนวณก็ไม่เกี่ยง แต่เรามีข้อเสียอยู่คือ เป็นคนที่หัวไม่ค่อยไว สามารถเข้าใจได้แต่ต้องใช้เวลานิดหน่อย ทำให้การเลือกสายการเรียนตอน ม.ปลาย เป็นอะไรที่ค่อนข้างสับสน

    • ศิลป์-ภาษา  —  มีภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่น ไม่ชอบภาษาโซนเอเชีย
                               เคยเรียนภาษาจีนสมัยประถมแล้วไม่เวิร์ค (ตัดออกไปได้เลย)                      ✗
    • ศิลป์-คำนวณ  —  มีเรียนคำนวณกับภาษาอังกฤษคู่กัน น่าสนใจ (ลังเล)                                 ?
    • วิทย์-คณิต  —  มีเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ (ก็ยังพอได้อยู่)                   ?

    จะศิลป์-คำนวณ หรือวิทย์-คณิตดีล่ะ?

    เรามีพี่สาวที่เคยเรียนอยู่ที่เดียวกัน อายุห่างกัน 5 ปี นางเคยเรียนศิลป์-คำนวณ น่าจะช่วยตัดสินใจได้

    สบายล่ะ! เรียนมาก่อน ต้องรู้เนื้อหาเป็นอย่างดี

    .
    .
    .
    .

    สิ่งที่พี่ตอบเรามามันไม่ใช่สิ่งที่เราหวังเอาไว้เลย

    "อย่ามาเรียนศิลป์-คำนวณเลย ไปเรียนวิทย์-คณิตดีกว่า เชื่อพี่ เรียนแล้วเลือกเรียนคณะใน
    มหาลัยได้กว้าง อยากจะเรียนอะไรก็ได้เรียน ภาษาน่ะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้"

    นี่คือคำตอบของพี่สาวที่มีประสบการณ์ (มั้ง) อ้อ! แล้วไม่ใช่แค่พี่สาวคนเดียวนะ แม่ก็มา

    "เรียนวิทย์-คณิตดีกว่า เรียนแนวคำนวณ จบมาทำงานแล้วเงินดี"

    (...)


    ด้วยความที่เรายังเด็กเนอะ ก็เชื่อไง เราไม่รู้ว่าเราชอบอะไร งั้นก็เรียนวิทย์-คณิตไปก็ได้ไม่เสียหายอะไร



    เด็ก ม.3 คนนึง ชะตาชีวิตกำลังพลิกผันไปมาก.. มากกว่าที่คาดเอาไว้เยอะ


    ตั้งแต่นั้นมาเราก็เรียนมาเรื่อยๆ เนื้อหาที่เรียนก็มียากบ้างง่ายบ้างเป็นเรื่องปกติ ก็ได้เกรด 3 กว่านิดๆ มาโดยตลอด แต่ชีวิตก็จะเริ่มพลิกผันอีกครั้งก็เมื่อตอน ม.6

    จะเรียนที่มหาวิทยาลัย / คณะไหนดี?


    ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีคำถามนี้อยู่ในหัวตลอดเวลา คิดอะไรไม่ออกเลย นี่คือข้อเสียของคนที่ไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความคิดว่า เรียนอะไรก็ได้ ในตอนนั้นเราเริ่มด้วยการดูก่อนว่า แต่ละอย่างที่เรียนจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง

    • ภาษา  —  เอาไปคุยกับแม่และพี่เหมือนเดิม สรุปคือก็ไม่ให้เรียนเหมือนเดิม ไม่อยากให้ซ้ำกับพี่
    • สถาปัตย์  —  อันนี้ขอบาย ไม่ใช่ทางแน่ๆ
    • แพทย์  —  อันนี้ก็เกินเอื้อมไป
    • วิทยาศาสตร์  —  อันนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ก็ลังเลอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องตัดออกไปเพราะเรา                                     ไม่ใช่สายชีวะ
    • วิศวะ  —  นี่คือตัวเลือกสุดท้ายที่แม่และพี่ ยังไงๆ ก็อยากให้เรียน แต่ก็ยังดีที่เรายังถูกกับฟิสิกส์                       และคณิตมากกว่า


    สุดท้าย... เลือกเรียนวิศวะ


    ในโอกาสแรก สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือลิสต์สาขา คณะ และมหาลัยที่อยากเรียนออกมา โดยมีข้อแม้คือในลิสต์นั้นห้ามมีมหาลัยเอกชนเลย แล้วก็ค้นหาว่าที่ไหนมีสอบตรงบ้าง ก็ไปกับเพื่อน แห่กันไปสอบ สุดท้ายก็สอบไม่ติด

    โอกาสที่สอง การแอดมิชชั่น ลงสอบ GAT/PAT อะไรลงหมด เอาคะแนนมาคิดหาดูว่าคะแนนเท่านี้เราสามารถติดที่ไหนได้บ้าง และสุดท้ายก็ติดที่นึง เป็นสาขาที่เราเลือกเอาไว้เป็นอันดับสองคือ วิศวกรรมเครื่องกล


    ตอนนั้นดีใจมั้ยที่มีที่เรียน?

    เราไม่ดีใจเลย เฉยเอามากๆ ไม่รู้ทำไม


    วันนั้นมีแต่เพื่อนดีใจกันทั้งนั้น แล้วเราล่ะ? นี่เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของเราแล้วเหรอ?


    ตัดมาที่การเปิดเรียนเทอมแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ส่วนตัวแล้วเราเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคม แต่ก็ไม่เชิงว่าชอบอยู่คนเดียว แต่ก็พอมีกลุ่มเพื่อนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทมาก รุ่นพี่ก็พอมีคุยแต่ก็ไม่เยอะ

    ปัญหาที่หลายๆ คนจะเจอในเทอมแรกในรั้วมหาลัยมีอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่ปัญหาเรื่องการเรียน ก็ปัญหาเรื่องเพื่อน สำหรับเรา เรื่องการเรียนเป็นปกติ ก็พอปรับตัวกับการเรียนการสอนแบบใหม่ได้อยู่ แต่สำหรับเรื่องเพื่อนนั้น เรามีปัญหาที่สุด

    ระหว่างการเรียนอยู่ที่นั่น เราต้องอยู่หอ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรั้วนั้นตลอดเวลา คนที่เราจะได้เจอก็มีอยู่แค่เพื่อนกับรุ่นพี่ แค่นั้น เพื่อนกลุ่มนี้มีอยู่ 5 คน ทุกคนมาจากต่างจังหวัดหมด เราเป็นคนกรุงเทพคนเดียว ที่คบในตอนแรกก็เพราะหออยู่ใกล้กัน ตอนนั้นก็คิดในแง่ดีเอาไว้ว่า คงจะพากันเรียน แต่สิ่งที่คิดเอาไว้นั้นก็ต้องพังไม่เป็นท่า พอคบๆ กันไป ทำให้รู้ว่าเริ่มคบไม่ได้แล้ว

    • นัดไม่เป็นนัด ชอบเลท คือเลทมากๆ เป็นชั่วโมง
    • ชอบดองการบ้าน เวลาจะส่งก็ต้องมาขอเราลอก (ทำไม่บ่อยเราไม่ว่าหรอก แต่นี่คือทุกครั้ง)
    • ชอบดองงานกลุ่ม ทำให้งานไม่เดิน ต้องไปเคาะห้องทวงถึงจะทำ ต้องไปยืนรอถึงจะทำ
    • ชวนอ่านหนังสือช่วงก่อนสอบก็ไม่อ่าน พอถึงใกล้ๆ ก็มาคะยั้นคะยอให้สรุปให้ ความพีคมันอยู่ที่ว่า "ไม่อ่าน รอมึงสรุปเสร็จแล้วอย่าลืมเอามาให้ด้วย" โห.. พูดไม่ออกเลย


    เจอขนาดนี้แล้ว เรื่องนิสัยใจคอไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ  นี่เพื่อนหรือปลิง?


    เราไม่พอใจนะ และเราก็เชื่อว่าหลายๆ คนถ้าเจอแบบนี้เข้าไปก็คงจะคิดเหมือนเรา หลังจากนั้นเหมือนจะรู้ว่าเราไม่พอใจ เพราะเราก็ชักสีหน้าให้รู้ พวกมันก็เริ่มจะจับกลุ่มอยู่กันเอง เวลาเลิกเรียนก็ไปกินข้าวกันเลยไม่เคยรอเรา ทำอะไรก็ตามไม่เคยมีเราอยู่ด้วย เข้ากันดีเพราะนิสัยเหมือนกันหมดทุกคน


    ทำไมไม่หาเพื่อนกลุ่มใหม่ หรืออยู่คนเดียวไปเลย?

    หลังจากที่ผ่านมาได้เกือบครึ่งเทอม มันทำให้เรารู้จักนิสัยเพื่อนหลายๆ คน
    และค้นพบว่า เราเข้ากับใครไม่ได้เลย และการที่จะเลือกอยู่คนเดียวนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี


    เพื่อนกลุ่มอื่นๆ ที่เราบอกว่าเข้าด้วยไม่ได้นั่นก็เพราะ พอๆ กัน ไม่ทำงาน ชอบไปกินเหล้าหลังมอทุกวัน แล้วก็มาขอลอกตอนเช้าทุกครั้งที่ต้องส่ง อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นในการคบเพื่อน ดูเป็นเรื่องที่ยอมๆ กันได้ แต่สำหรับเรามันสำคัญมาก


    ทำไมคนเราต้องทำตัวเป็นภาระให้กับคนอื่นบ่อยๆ? 

    การที่เราทำแบบนี้เราไม่ได้เห็นแก่ตัวที่จะเอาตัวเองรอดคนเดียว สิ่งที่เราคิดคือ เรามาเรียนหนังสือ มหาวิทยาลัยสอนให้เรารู้จักรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ไม่มีการมานั่งบังคับส่งงานเหมือนตอนเรียนมัธยม และสอนการทำงานเป็นกลุ่ม มนุษยสัมพันธ์ที่จำเป็นต้องไปใช้ในชีวิตการทำงานในอนาคต ซึ่งเรื่องแค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้เหรอ?


    ความเกรงใจเป็นสิ่งสำคัญ

    ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม เราควรจะมีความเกรงใจให้กับคนทุกคน คนที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันก็ยังคงต้องเกรงใจกันอยู่บ้าง แต่ถ้ายิ่งเป็นคนที่อยู่ร่วมกัน และสนิทกัน ยิ่งต้องเพิ่มความเกรงใจเข้าไปอีก

    ความที่ต่างคนต่างไม่พอใจซึ่งกันและกันเริ่มสุมขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจ อารมณ์เราในช่วงนั้นมันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงพี่ เครียดเรื่องสอบ เรื่องงาน ไหนจะเรื่องเพื่อนอีก จนต้องโทรไปหาแม่ ทันทีที่ได้ยินเสียงแม่ น้ำตาเราก็ไหลออกมาเลย มันเป็นความรู้สึกค่อนข้างหนักหนาพอสมควร


    ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้? ทำไมต้องเจอเพื่อนแบบนี้?


    พอผ่านช่วงสอบมิดเทอมมาได้ เรารีบกลับบ้านในวันรุ่งขึ้นเลย แล้วบอกกับแม่ว่า "หนูไม่อยากเรียนที่นั่นแล้ว ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอีกแล้ว" เราทำทุกอย่างเพื่อให้แม่เข้าใจเรา เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่แม่ก็บอกว่า 

    "ทนๆ เรียนไปไม่ได้เหรอ?"

    ต้องใช้ชีวิต 4 ปี อยู่ที่นั่น กับคนพวกนั้น เราทำไม่ได้จริงๆ..


    จนสุดท้าย แม่ก็เลยตกลง เราเลยไปทำเรื่องลาออกที่มหาลัย ไม่บอกไม่กล่าวใครที่นั่นทั้งสิ้น จนได้เจอกับอาจารย์ที่ปรึกษาในขณะนั้น ท่านก็บอกว่า "มีเรื่องทุกข์ใจทำไมไม่บอก ให้ไปคุยกับเพื่อนให้ก็ได้ ไม่ต้องลาออกหรอก" พอได้ยินแล้วน้ำตามันเอ่อขึ้นมา แต่เราตัดสินใจไปแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังไม่ยอมเซ็นลายเซ็นให้ ยืนคอยอยู่นานจนรุ่นพี่ที่สนิทเข้ามาให้ห้อง ก็บอกอีกว่าไม่ต้องลาออก ไม่ให้ลาออก (ลากยาวไปอีก) จนสุดท้ายก็ยอมเซ็นให้เรา เราไม่รอช้า รีบไปยื่นเอกสารทำเรื่องทันทีจนเสร็จภายในวันนั้น แล้วก็ขนของทั้งหมดออกจากหอภายในวันนั้นเช่นกัน ตอนที่นั่งรถออกจากรั้วมหาลัย มันรู้สึกโล่งใจแปลกๆ รู้สึกเบาเหมือนไม่ต้องมีเรื่องให้คิดมากอีกแล้ว..


    ก้าวเข้าสู่สถานะ "เด็กซิ่ว"

    เคว้งคว้างไปเลย ว่างหนึ่งปีเต็มๆ จากการที่เรามีประสบการณ์แย่ๆ แบบนั้น มันทำให้เราตั้งความหวังกับที่เรียนที่ใหม่เอาไว้สูงกว่าเดิม เราเลยตั้งใจอีกรอบ ไปลงเรียนพิเศษติวสอบเข้า อ่านหนังสือหนักหน่วงมาก จนในที่สุดก็สอบติดมหาลัยแห่งนึง ได้เป็นสาววิศวะอีกครั้ง ในครั้งนี้เราดีใจมาก มากถึงมากที่สุด ต่างจากครั้งก่อน มหาลัยนี้ไกลจากบ้านพอสมควรแต่ยังดีที่เดินทางสะดวก ทำให้เราไม่ต้องอยู่หอ


    ตัดมาที่เปิดเทอมแรก (อีกแล้ว) ใช้ชีวิตการเป็นเฟรชชี่อีกครั้ง เรารู้สึกว่าที่แห่งนี้ดีกว่าที่เก่ามาก มันเป็นความรู้สึกที่พอเดินเข้าไปแล้วไม่อึดอัดใจ เริ่มด้วยการเรียนปรับพื้นฐาน ได้เจอกับเพื่อนที่เรียนสาขาเดียวกัน ก็ทำความรู้จักกันไป กลุ่มนี้มีทั้งหมด 8 คน คบกันไปได้เกือบเทอมนึงก็ชักจะเข้าเค้าเดิมเหมือนที่เคยเจออีกแล้ว แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนคนนึงในกลุ่มคิดเหมือนกัน เลยค่อยๆ แยกตัวออกมาอยู่กันแค่ 2 คน หลังจากนั้นมา 1 ปีก็มีเพื่อนเข้ามาเพิ่มอีก 2 คนจนตอนนี้ทุกอย่างคงที่แล้ว ไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจ

    การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับเรา ถึงแม้ว่าตอนนี้เราเรียนอยู่ปี 3 แล้ว ต้องหาที่ฝึกงาน เตรียมตัวทำโปรเจคจบ การที่เราเรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบนี้ทุกสาขา ทุกคณะ แต่การที่เราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า "กูไม่ไหวแล้ว กูเหนื่อย" มันยากนะที่บางครั้งเราจะต้องผ่านมันไปได้ด้วยตัวเราเอง ถึงต้องมีเพื่อนที่ดีไง ต่อจากนี้ไปจนกว่าจะเรียนจบ จะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน


    สุดท้ายแล้ว

    อยากจะเน้นย้ำ 3 เรื่องอีกซักที คือเรื่องการเรียน การคบเพื่อน และการมีความรับผิดชอบ เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ นะ อยากให้น้องๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นได้แล้ว อย่าปล่อยให้สายเกินไป active ตัวเองให้มาก ฝากเอาไว้ให้คิด.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
อ่านแล้วรู้สึกเจ้าของบล็อกนี้เก่งมากๆ ทั้งเรื่องปรับตัวและ ค.เข้มแข็ง

สมัครบล็อก Minimore มาเพื่อจะเขียน เรื่องเล่าสมัยเรียนเหมือนกัน มาเจอบล็อกนี้ รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเมื่อหลายปีที่แล้ว .. เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้นะคะ
thefirstofmine (@thefirstofmine)
เราว่าเรื่องเพื่อนกับเรื่องสังคมภายในเป็นเหตุผลหลักเลยล่ะ ถ้าเจอเพื่อนและสังคมที่เราสามารถปรับตัวเข้าได้ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเราเลยล่ะ