เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
From Russia with Lovenarzissuz
(2) Beeline and Aeroexpress
  • From Russia with Love


    (2)
    Beeline and Aeroexpress




                   

                 ผมคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจจะใช้เวลาซื้อซิมสองชั่วโมง แต่ถ้าบวกเวลาที่เดินหาร้านขายซิมไปด้วย น่าจะใช้เพิ่มขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง

                    

                ซิมที่ชาวพันทิปแนะนำผมคือซิมยี่ห้อ Beeline ซึ่งร้านของซิมยี่ห้อนี้ก็เหลืองสมชื่อ ผมเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่แค่เพราะผมเจอสีเหลืองอย่างเดียว แต่ยังเพราะผมเห็นสีฟ้าซีดๆ บนแผ่นหลังของคนที่ผมมีโอกาสมองเรื่อยๆ ตั้งแต่อยู่บนเครื่องด้วย

     

                    มันไม่ใช่เรื่องพรหมลิขิตหรืออะไรแน่อยู่แล้วล่ะก็แค่ผมกับพี่โย่งอ่านกระทู้พันทิปกระทู้เดียวกันแค่นั้นเอง

     

                    “เลือกได้หรือยังครับ”

     

                    “ตายโหง!" คนตัวผอมอุทานอย่างตกใจ เป็นอีกครั้งที่ผมต้องกลั้นหัวเราะต่อหน้าเขา คือมันก็ไม่สมควรที่จะหัวเราะใส่คนที่เราทำให้ตกใจ แต่อุทานว่าตายโหงเนี่ยนะ... 

     

                    “ผมขอโทษครับ” พูดแล้วก็พนมมือไหว้ด้วยหน้าตาเจี๊ยมเจี้ยม “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ ขอโทษจริงๆ”

     

                    “มะ... ไม่เป็นไร” นิ้วยาวๆที่ใส่แหวนสีดำเรียบๆ ยกขึ้นตบอกตัวเองเบาๆ “จะซื้อยี่ห้อนี้เหมือนกันสินะ”

     

                    “ครับ อ่านกระทู้พันทิปมา”

     

                    “กระทู้เดียวกันแหงๆ ถ้าเจอนายที่สถานที่ท่องเที่ยวเดียวกันอีก พี่คงไม่ตกใจแล้วล่ะ”

     

                    “ผมไม่ใช่คนเที่ยวที่แปลกๆ ซะด้วยสิ ขอฝากเนื้อฝากตัวตั้งแต่ตอนนี้เลยละกัน”

     

                    “พี่ก็ด้วย แค่ไปเที่ยวที่ที่คนปกติเขาไปกันยังหลงทางยังหาเจอหลงเธอสิเหลือทนเลย” คราวนี้ผมหัวเราะดังๆ แล้วก็ได้รับยิ้มเห็นฟันเป็นการตอบแทน “เนี่ยกำลังเลือกอยู่ว่าใช้อันไหนถึงจะคุ้ม พี่จะอยู่นี่เกือบๆ สองอาทิตย์”

     

                    อันนี้แหละบังเอิญของจริงผมก็จะอยู่เกือบสองอาทิตย์เหมือนกัน ประเทศนี้มันกว้าง ผมไม่อยากชะโงกทัวร์ เพราะคิดว่าคงไม่ได้อยากกลับมาบ่อยๆ เหมือนอย่างคราวที่ไปสหรัฐฯ (ที่ยังไม่ได้กลับไปซักที เพราะขอวีซ่ายากยิ่งกว่าให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก) ก็เลยกะว่าเอาให้คุ้มไปเลย ถ้าบอกว่าผมจะอยู่เท่ากับพี่ เผลอๆ อาจจะกลับไฟล์ทเดียวกันด้วยคงน่ากลัวแปลกๆ

     

                ว่าแต่ มาเที่ยวนานขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ชอบชะโงกทัวร์แบบผม พี่เขาจะหนีร้อนหรือหนีรักมากันแน่นะ...

                    ...ครับ ผม ส. ใส่เกือก

     

                    “พี่ว่าพี่เอาอันนี้นี่แหละ ระยะเวลาที่ใช้ได้มันเลยวันที่พี่จะกลับไปนิดนึง แต่อันที่โปรมันน้อยกว่านี้ก็ไม่คลุมระยะเวลาทั้งหมดอีก” นิ้วชี้ในแหวนสีดำจิ้มลงไปบนกระดาษโปรโมชั่นก่อนจะส่งกระดาษที่ยับไปแล้วนิดหน่อยมาให้ผม “พี่ดูเสร็จแล้ว”

     

                    “ขอบคุณครับ” ผมรับมา ยังไงผมก็ต้องเอาไปจิ้มให้พนักงานขายดูอยู่ดีว่าผมจะเอาอันนี้ ถึงแม้จะไม่ต้องพิจารณาโปรโมชั่นต่างๆ เองก็ตาม เพราะผมจำไว้แล้วว่าพี่โย่งเขาเอานิ้วยาวๆ ของตัวเองชี้อันไหน

     

                ผมรอให้พี่โย่งออกไปจากร้าน ซึ่งใช้เวลาประมาณนึงเพราะพนักงานขายมี Service Mind เต็มเปี่ยม ทำกระทั่งเปลี่ยนซิมให้ด้วย ก่อนจะเข้าไปซื้อซิมบ้าง ผมใช้เวลาพอๆกับที่พี่โย่งใช้ ทันทีที่คำว่า No Service หายไปและกลายเป็นภาษารัสเซีย ผมก็เดินออกมาจากร้านแล้วมุ่งหน้าไปยังรถไฟที่เรียกกันว่า Aeroexpress อธิบายง่ายๆ ก็เหมือน Airport Link บ้านเรานั่นแหละ

     

                    มันไม่น่าแปลกใจแล้วที่ผมเจอพี่โย่งอีกครั้ง แต่น่าแปลกใจที่พี่เขาเดินเข้ามาหาผม จากที่ตอนแรกที่ยืนหมุนซ้ายหมุนขวา เหมือนตอนที่หัวพี่เขาโยกไปทางซ้ายทีขวาทีบนเครื่อง

     

                    หูย ใส่ Vans Old Skool ที่ collab กับ NASA ด้วยอะ สงสัยเคสลายจักรวาลของพี่เขาจะไม่ได้ใช้เพราะแค่สวย "ขอบคุณปูตินที่พี่เจอนาย"

     

                    สงสัยจะมีศาสนาไว้ใส่บนบัตรประชาชนเฉยๆ เลยไม่ขอบคุณพระเจ้า “พี่ไม่มีแบงก์ย่อยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้ตู้ขายตั๋วนี่มันทอนแบงก์ได้ไหม ก็เลย...”

     

                “ผมมีครับ”ผมยิ้มกว้างใส่พี่เขาแล้วก้มลงหยิบซองเงินขึ้นมา (ครับ ผมไม่ได้เอาออกจากซองตั้งแต่แลกมา รู้สึกกระเป๋าสตางค์ที่ซื้อในไทยไม่เหมาะเอาไปใส่เงินนอกอย่างไงไม่รู้สิ (ทั้งๆ ที่กระเป๋าสตางค์ผมอาจจะไม่ได้ผลิตในไทยก็ตาม) ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่เพราะภูมิใจที่พนักงาน Superrich ให้แบงก์ย่อยผมมาหรอกนะ แต่เพราะหน้าตาพี่เขาเวลาดีใจมันทำให้ผมนึกถึงลูกหมาเวลาเราเอาขนมไปให้ต่างหาก

     

                    ถ้าพี่เขาอ่านความคิดผมได้บางทีผมอาจจะโดนเตะกระเด็นจากมอสโควไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ดีครับประหยัดค่ารถไฟข้ามเมืองดี (ซึ่งผมยังไม่ได้ซื้อตั๋ว)

     

                    “งั้นซื้อพร้อมกันสองใบเลยเนอะ”ผมพยักหน้า พี่โย่งเลยเอานิ้วจิ้มเปลี่ยนภาษารัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ กดอีกสองสามทีแล้วก็หันมาแบมือใส่ผม แต่ก็แบอยู่ไม่ถึงสามวิ “จริงๆเราใส่แบงก์เองก็ได้เนอะ”

     

                    หลังจากผมใส่แบงก์เข้าไปในตู้ สลิปกระดาษสีขาวสองอันก็ถูกปริ้นท์ออกมาแทบจะในวินาทีเดียวกัน พี่โย่งเลยคว้าไว้ทั้งสองใบก่อนจะพยักเพยิดให้ผมรับเงินทอนที่ร่วงลงมาจากช่องด้านล่างแทนผมกวาดเงินทอนกลับใส่ซองเดิมแล้วยื่นมือไปรับสลิปอีกใบจากพี่เขา จากนั้นเราก็เดินออกไปที่ทางขึ้นรถไฟด้วยกัน

     

                    “แล้วพี่จะคืนเงินเรายังไงดีเนี่ย แอพเคพลัสมันใช้ไม่ได้ซะด้วยถ้าเราไม่ใช้ซิมไทย”

     

                    ไม่ทันที่ผมจะอ้าปากบอกวิธีที่คิดได้ให้ดูเป็นคนฉลาด เสียงท้องใต้เสื้อยืดหลวมๆ สีขาวก็ดังขึ้นขัด เกิดความเงียบขึ้นพักเล็กๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นของเราทั้งคู่ “พี่เอาแบงก์ใหญ่ไปซื้อของกินแล้วเอาแบงก์ย่อยที่ได้มามาคืนผมก็ได้ครับ แค่อย่าซื้อจนไม่เหลือเงินทอนก็พอ ผมเห็นนะว่าพี่แทบไม่แตะอาหารบนเครื่องเลย”

     

                    “บังเอิญเห็นหรอ”

     

                    ผมไม่ใช่สตอล์กเกอร์จริงๆ นะ! "จะว่าบังเอิญก็ไม่ใช่ ผมได้ยินพี่ร้องโอ๊ยบนเครื่องเลยรู้ว่าเป็นคนไทย ก็เล็งๆ ไว้เผื่อติด ตม. จะได้มีคนช่วยยืนยันว่าคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าเข้ารัสเซีย"

     

                    “ไม่ต้องใช้วีซ่าก็จริงแต่ก็ต้องลงทะเบียนกับที่พักนะอันนี้รู้แล้วใช่ป่ะ” ตาโตๆ ของพี่โย่งฉายแววของพี่ชายคนโตเต็มที่ในขณะพูด “เอ้อ แต่ถ้าอยู่ไม่ถึงเจ็ดวันก็ไม่ต้องใช้”

     

                    “รู้แล้วครับ” ผมตอบสั้นๆเลี่ยงที่จะตอบว่าผมอยู่เลยเจ็ดวัน แถมอาจจะอยู่ที่นี่นานเท่าพี่เขาเพื่อไม่ให้ดูคุกคามจนเกินไป เพราะนอกจากพี่เขาจะ nice จนผมไม่อยากทำให้เขาตกใจกลัวแล้วพี่เขาก็ยังติดค่ารถไฟผมอยู่ด้วย

     

                    ทันทีที่ประตูกระจกเปิดออกลมเย็นกำลังดีก็พัดเข้าหน้าผม พร้อมๆกับการปรากฏตัวของแผงกั้นชานชาลาที่กระทู้พันทิปกระทู้เดิมบอกว่าให้เราเอา QR Code บนสลิปสแกนแล้วที่กั้นจะเปิดให้ ผมทำตามอย่างไม่ลังเล แต่ก็ยังช้ากว่าพี่โย่งที่ไปยืนรออีกฝั่งแล้ว "คล่องเชียว อ่านกระทู้พันทิปเดียวกันแน่ๆ เลย"

     

                    “พี่คล่องกว่าผมอีกรู้งี้ผมแบ่งของใส่สองกระเป๋าแบบพี่ซะก็ดี จะได้เดินไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ ไม่ต้องลากกระเป๋าใบใหญ่เท่าบ้านให้เกะกะ”

     

                    “เอาน่าถึงเดินช้าแต่ไม่พะรุงพะรังก็ดีไปอีกแบบนะ”

     

                    ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่โย่งกลับไปรถไฟสีแดงที่ดูดีกว่า Airport Link ตั้งแต่มองจากภายนอกก็เปิดออก พี่โย่งกับกระเป๋าสามใบของเขา ได้แก่ กระเป๋าสะพายหลัง กระเป๋าถือขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ และกระเป๋าลากขนาดกะทัดรัด ก็เดินฉับๆ ขัดกับจำนวนสัมภาระเข้าขบวนไป ผมรีบตามไปติดๆ เพื่อจะหลุดปากหยาบคายออกมาว่า "เชี่ยอะไรเนี่ย"

     

                ผมหันไปหาพี่โย่งเผื่อพี่เขาจะรู้ว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ก็พบว่าพี่โย่งทำหน้าเหมือนลืมเอาสมุดการบ้านมาโรงเรียนรออยู่ “พี่อ่านมาแล้วว่ารถไฟขาเข้าเมืองมันจะหันเบาะสวนกับทางรถวิ่งแบบนี้นี่แหละ ขาออกจากเมืองมันจะได้หันไปทางเดียวกันไง แม่ง พี่ต้องอาเจียนอีกแน่เลย เพิ่งหายเมาเครื่องมาแบบนี้”

     

                    “งั้นพี่นั่งข้างหน้าต่างไหมครับเผื่อเห็นอะไรเขียวๆ แล้วจะสบายตา สบายหัว ผมนั่งตรงไหนก็ได้” ผมรีบพูดเมื่อพี่โย่งมองผมเป็นเชิงสงสัยว่าจะให้พี่เขานั่งติดหน้าต่างจริงๆ หรอ เขาก็เลยพยักหน้าพร้อมยิ้มเห็นฟันให้อีกทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างในสุด

     

                    ผมคิดว่าพี่โย่งเขาน่าจะนั่งหลับตาหรือไม่ก็อาจจะหลับจริงๆ ไปเลย ให้สมกับที่กลัวเมารถไฟต่อจากเมาเครื่องบินแต่เปล่า พอรถออกปุ๊ปพี่เขาก็หันไปมองวิวนอกหน้าต่างด้วยความสนอกสนใจทันที แถมยังพยายามเอากล้องขนาดพอดีมือถ่ายวิวที่ไหลผ่านหน้าต่างรถไฟอีกต่างหาก

     

                    ตามจริงแล้ววิวนอกหน้าต่างมันก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นในความคิดของผม ท้องฟ้าของรัสเซียในฤดูร้อนใสเหมือนใช้โฟโต้ช็อปก็จริง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนที่มีให้เห็นประปราย กำแพงอิฐสีขมุกขมัว หรือแม้กระทั่งแนวต้นไม้สีเขียวแบบที่ไม่มีทางได้เห็นระหว่างนั่ง Airport Link เข้ากรุงเทพแน่นอน

     

                    “เคยดูทไวไลท์ไหม?”

     

                    “ครับ?”

     

                    “หนังแวมไพร์อะที่มีเอ็ดเวิร์ดกับเบลล่า อืมมม... จริงๆ จะเรียกว่าพี่ดูก็ไม่ได้ แฟนเก่าพี่ดูแล้วพี่บังเอิญนั่งอยู่ด้วยต่างหาก เนี่ย ต้นไม้เขียวๆ เยอะๆ แบบนี้เหมือนวิวในหนังเป๊ะ”

     

                    “แต่ผมว่าแวมไพร์ไม่น่าจะโผล่มาหรอก ในรัสเซียแบบนี้น่าจะเป็นหมีมากกว่าที่โผล่มา”

     

                    “เขาว่ารัสเซียเป็นแดนหมีขาว แต่ป่าแบบนี้น่าจะเป็นหมีสีน้ำตาลนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่มีไหม”

     

                    ผมไม่รู้จะตอบยังไงเพราะไม่รู้ว่าที่รัสเซียมีหมีสีน้ำตาลหรือเปล่า อาจจะมีก็ได้ในสวนสัตว์มอสโคว แต่มันคงไม่หลุดออกมาถึงตรงนี้หรอกมั้ง

     

                    เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกระหว่างการเดินทาง ผมไม่รู้ว่าพี่เขายังจะคิดเรื่องหมีขาวกับหมีน้ำตาลอยู่ไหม แต่สำหรับผม ผมคิดว่าดีแล้วที่ผมยกที่นั่งข้างหน้าต่างให้พี่โย่ง เพราะผมขี้เกียจถ่ายรูปและการที่มองวิวเป็น background โดยมีพี่โย่งที่ขยับไปทางนู้นที ทางนี้ที เพื่อหามุมถ่ายรูปเป็น foreground ก็เพลินดีเหมือนกัน

     

                    (หวังว่าพี่เขาจะไม่ขยับมากไปจนอาเจียนอีกหน เพราะผมไม่คิดว่าบนรถไฟจะมีถุงอ้วกเตรียมไว้ให้เหมือนบนเครื่องบิน)




    Talk.

    คิดว่าน่าจะมีคนรออ่าน (รึเปล่านะ? 5555 วัดจากยอด view น่ะค่ะ) บวกกับความอยากเขียนให้เสร็จ ไม่ดองไว้แบบ journey log ก็เลยเอามาลงต่อ หวังว่าจะสนุก หรือไม่ก็ได้อ่านอะไรที่เป็นประโยชน์กันนะคะ :D

    ตอนต่อไปจะพาไปเที่ยวสถานีรถไฟรัสเซียที่สถานีรถไฟหัวลำโพงของเราได้รับแรงบันดาลใจมาค่ะ ถ้าไม่ยาวจนเกินไปก็จะพาไปเดินเล่นในกรุงมอสโควด้วย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in