เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
From Russia with Lovenarzissuz
(1) On Board, Aeroflot Airlines Flight SU271 (BKK-SVO)
  •             

                   

    From Russia with Love


    (1)
    On Board, Aeroflot Airlines Flight SU271 (BKK-SVO)


    FYI : ชื่อนิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก From Russia with Love หนึ่งในนวนิยายชุด James Bond ของ Ian Fleming  ซึ่งเป็นนิยายที่ทำให้เราได้รู้จักรัสเซียเพิ่มเติมค่ะ


               


                ถึงผมจะเดินทางไม่บ่อย แต่ผมก็ผ่านการใช้บริการสายการบินมาแล้วหลายสาย รวมไปถึงสายการบินแห่งชาติของหลายประเทศ (ประเทศตัวเองผมก็เคยใช้ โชคดีไปที่ไม่มีเหตุการณ์แย่งที่นั่งกันจนทำให้ดีเลย์) หลายสายก็ทำให้ผมอยากกลับไปใช้บริการอีก เสียใจนิดหน่อยที่ต้องบอกว่าหนึ่งในนั้นไม่มีสายการบินแห่งชาติรัสเซีย หรือแอโรฟลอทแอร์ไลน์ส ที่ผมกำลังนั่งอยู่นี่


                    แล้วดูเหมือนว่าคนไทยอีกคนที่นั่งเยื้องๆ ไปข้างหน้าผมจะคิดเหมือนกัน

     

                    ผมไม่เห็นพาสปอร์ตของเขาแล้วเขาก็ไม่ได้ถือหนังสือภาษาไทย แถมหน้าตาเขาก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามองไกลๆก็รู้ว่าไทยแท้แน่นอน แต่ที่ผมรู้ว่าเขาเป็นคนไทย เพราะตอนที่เขาขึ้นมานั่งประจำที่น่ะ เขาเอาเข่าไปชนกับที่วางแขนแล้วร้องโอ๊ยออกมาเสียงดังลั่นต่างหาก

     

                    น่าสงสารเขาอยู่เหมือนกัน เพราะการที่เข่าเขาไปเสยกับที่วางแขนไม่ใช่ความไม่สบายเดียวที่เขาประสบ ผู้ชายคนนี้เป็นคนผอมสูงจนดูเก้งก้างและเบาะของแอโรฟลอทก็ไม่ได้กว้างขวางและนุ่มพอที่จะนั่งสบายๆอย่างสิงคโปร์แอร์ไลน์ส เขาเลยขยับไปมาอยู่บนที่นั่งตั้งแต่เครื่องออกยันตอนนี้ ผมเองก็ไม่สบายตัวเหมือนกันแหละ แต่ก็ดูไม่ทรมานเท่าเขา

     

                    เล่าไปเล่ามาเหมือนผมเป็นสตอล์กเกอร์เนอะแต่สาบานได้ว่าผมไม่ใช่ ผมแค่แรด (เออ ใช้คำนี้เนี่ยแหละ) มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก แถมอะไรเข้าสิงให้ผมเลือกประเทศที่พูดภาษาเขาไม่ได้ซักคำอย่างรัสเซียก็ไม่รู้ ผมก็เลยต้องเหล่ๆ คนไทยร่วมไฟล์ทเอาไว้บ้าง เผื่อ ตม.รัสเซีย จะไม่รู้ว่าคนไทยเข้าประเทศเขาได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ผมจะได้ไปสะกิดเขาให้มาช่วยยืนยันหน่อย อะไรทำนองนั้น

     

                    โอเค นั่นเป็นความคิดในตอนแรกแต่ตอนหลังที่ผมเหล่เขาบ่อยๆ เนี่ย เพราะท่าทางเขาตลกดีต่างหาก แก้เบื่อในขณะที่ต้องนั่งเครื่องนานเก้าชั่วโมงได้ดีชะมัด

     

                    อย่างที่ผมบอกไปไฟล์ทนี้ยาวเก้าชั่วโมง สายการบินเลยเสิร์ฟอาหารสองมื้อ มื้อแรกเป็นมื้อเที่ยงกับข้าวเป็นเนื้อผัดกับผัก หน้าตาเหมือนอาหารฝั่งยุโรปตะวันตกก็จริง แต่รสชาติทำไมไม่เหมือนกันก็ไม่รู้ ดีไปที่ผมเป็นคนกินง่ายแถมยังทำใจไว้แล้วว่าอาหารบนเครื่องมีโอกาสสูงที่จะไม่อร่อยมากกว่าอร่อย ผมเลยตักเข้าปากได้โดยไม่คิดอะไร แต่คนไทยคนนั้นเหมือนจะก้าวขาผิดข้างออกจากบ้านเพราะพอผมเหล่มองเขาโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มุมปากเขายกขึ้นมาเหมือนเด็กที่พ่อแม่บังคับให้กินผักเป๊ะ ทั้งๆ ที่ส้อมยังคาปากอยู่นั่นแหละ ผมพยายามที่จะไม่ยิ้ม เพราะใจจริงก็สงสาร แต่มันตลกอะ ขอยิ้มให้กับจอ in flight หน่อยละกัน

     

                    แน่นอนว่าปากเป็นแบบนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่คุณโย่ง (ขอเรียกเขาแบบนี้ละกัน ถึงผมจะสูงเหมือนกันแต่ก็ไม่ผอมจนดูโย่งเท่าเขาหรอกนะ) จะกินของบนถาดหมด โคตรน่าสงสารเลย มาร่วมกันภาวนาให้อาหารรัสเซียจริงๆ อร่อยกันเถอะครับ ถ้าไม่งั้นเขาคงผอมคอยาว จากที่ก็ยาวอยู่แล้ว ตอนกลับไทยแน่ๆ

     

                    ตอนอาหารมื้อที่สองมาเสิร์ฟผมไม่ได้มองเขาว่ากินหมดไหมเพราะผมรีบกินรีบนอน แต่ก็เดาว่าไม่น่าจะหมดนะ

     

    *

     

                    ผมตื่นก่อนเครื่องจะลงประมาณชั่วโมงนิดๆ หลังจากที่เก็บข้าวของที่รื้อออกมาแก้เบื่อซึ่งไม่ค่อยได้ใช้ เพราะผมหลับสับกับเล่นเกมในโทรศัพท์และเหล่คุณโย่งซะเป็นส่วนมาก ผมก็เหล่มองเขาอีกที เห็นหัวเขาโยกไปทางขวานิด ทางซ้ายหน่อยตลอดเวลา ถึงแม้จะมีหมอนรองคออยู่ก็เถอะ เสียดายนิดหน่อยที่เขาตื่นหลังจากผมไม่นาน ไม่งั้นผมคงได้เห็นอะไรตลกๆ จากการที่เขาโดนแอร์โฮสเตสปลุกแน่ๆ

     

                    เครื่องลงไม่ค่อยนุ่มเท่าไหร่ แต่นั่นยังเป็นปัญหาน้อยกว่าการที่ผู้โดยสารทุกคนลุกพรึ่บพร้อมกันเมื่อสัญญาณให้รัดเข็มขัดดับไป ปกติแล้วผมยินดีที่จะนั่งรอจนคนซานะ แต่คราวนี้ไม่ไหวจริงๆ เบาะมันนั่งไม่สบายจนอยากเดินออกไปให้เส้นหายยึดจะแย่อยู่แล้ว ผมเลยลุกยืนขึ้นเอาให้ขาได้เปลี่ยนท่าหน่อยก็ยังดี เหมือนที่คุณโย่งเขาทำนั่นแหละ จะไม่เหมือนก็แค่ผมลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกเฉยๆ แต่สำหรับคุณโย่งเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะปากเขาซีดเอามากๆ ตอนลุกขึ้นมา หวังว่าจะไม่อ้ว---

     

                    ไม่ทันแล้ว ดีที่ยังคว้าถุงมารองอ้วกตัวเองทันนี่นอกจากจะภาวนาให้เขาได้กินอะไรถูกปากหลังจากลงเครื่องไปแล้วยังต้องภาวนาให้เขารู้สึกดีขึ้นไวๆ อีกหรอ สงสัยลืมไหว้พระก่อนออกจากบ้านแน่เลย ไม่น่าใช่แค่ก้าวขาผิดข้าง

     

                    หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีคนก็ซาลงจนผมพอที่จะเดินออกไปได้ และด้วยความมีน้ำใจคนไทยด้วยกัน ผมเลยหยุดให้คุณโย่งเขาเดินออกมาก่อน “เป็นอย่างไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง?”

     

                    เขาหันมากระพริบตาปริบๆ ใส่ผมด้วยความงงที่แผ่ออกมาจากทุกรูขุมขนของหน้า ผมเม้มปากพยายามจะไม่หัวเราะกับท่าทางเด็กๆ นอกเหนือไปจากการเบ้ปากหลังพบว่าอาหารไม่อร่อยของเขา “คนไทยหรอครับ? เออ ผมก็ถามอะไรประหลาดๆ พูดชัดขนาดนี้คนไทยแน่อยู่แล้วล่ะ” เขาพูดขณะที่เดินไปตามทางเดินออกนอกเครื่อง “ครับ ดีขึ้นแล้ว ดีกว่าตอนยังไม่อาเจียนอีก ผมเพิ่งเคยเมาเครื่องครั้งแรกเลยนะเนี่ย ไม่รู้กัปตันบินไม่ดีจริงๆ หรือสภาพร่างผมห่วยแตกกันแน่ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”

     

                    ถึงเราจะออกมานอกเครื่องได้แล้ว แต่คนที่ต่อคิวขึ้นบันไดเลื่อนไปหา ตม. ก็ยังเยอะอยู่ดี เขาเลยชวนผมคุยต่อ อาจจะเป็นเพราะการพูดเยอะๆ ทำให้เขารู้สึกดี หายใจสะดวกขึ้นก็ได้ “มาคนเดียวหรอครับ”

     

                    “ครับ”

     

                    “โหย เก่งจัง” เขาอุทานผมขมวดคิ้วใส่อัตโนมัติไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้การไปเที่ยวคนเดียวมันเป็นเรื่องปกติหรอกหรอ หรือเขาเพิ่งมาจากยุคทวิภพ? “อายุเท่านี้กล้ามาเที่ยวคนเดียวแล้ว”

     

                    “ทำไม...”

     

                    “ทำไมคิดว่า...คุณเด็กกว่าน่ะหรอ? ไม่รู้สิครับ เพราะผมเป็นพี่คนโตมั้งเลยจับออร่าของคนเด็กกว่าได้ แล้วมันก็ไม่เคยผิดด้วย”

     

                    “อ่อ ครับ” ผมเออออไปด้วยแล้วก็อดที่จะคิดตามไม่ได้ว่าเขาคงแก่กว่าผมจริงๆ ถึงหน้าจะไม่ยับก็เถอะ เขายิ้มให้ผมนิดนึงก่อนจะก้มหน้าลงไปหาโทรศัพท์ตัวเอง ซึ่ง ณ จุดนี้บอกได้เลยว่าผมอิจฉา เพราะผมไม่ได้เปิดโรมมิ่งมาจากไทย อ่านตามกระทู้ในพันทิปแล้วซื้อซิมที่นี่คุ้มกว่าเยอะ ถึงแม้ผมอาจจะใช้เวลาอย่างต่ำสองชั่วโมงในการซื้อ เพราะคุยกับคนขายไม่รู้เรื่องก็ตาม

     

                    “ไวไฟที่สนามบินไหนๆ ก็ดีกว่าสนามบินสุวรรณภูมินะครับ” คุณโย่งพูดขึ้นกะทันหันผมสะดุ้งนิดนึงก่อนจะถามกลับไป

     

                    “ใช้ไวไฟอยู่งั้นหรอครับ” เพราะผมเองก็อยากรายงานตัวกับแม่เหมือนกันว่าถึงแล้ว แต่เอ๊ะ...เขาพูดว่าไวไฟที่สนามบินไหนๆ ก็ดีกว่าที่ไทย งั้นเขาก็ต้องใช้ไวไฟอยู่แน่ๆ สิ....

     

                    ผมโง่ (ด่าตัวเองเจ็บน้อยกว่า)

     

                    “ครับ ไม่เคยเปิดโรมมิ่งมาจากไทยเลย อย่างแรกที่ทำหลังลงเครื่องคือหาไวไฟบอกแม่ว่าถึงแล้ว”

     

                    “เข้าได้เลยหรือเปล่าครับ หรือต้องกรอกอะไรก่อน ผมก็อยากบอกแม่เหมือนกันว่าถึงแล้ว” ผมรีบควักมือถือออกมาแต่ก็ไม่ทันแถว ตม. ที่หดสั้นลงจนพี่โย่งต้องรีบเดินเข้าไป

     

                    “ผ่าน ตม. มาแล้วเดี๋ยวพี่บอก” เขาพูดเร็วๆ ก่อนขายาวๆ จะก้าวฉับๆ ไปที่ ตม. อืม... แล้วถ้าผมไม่ผ่าน ตม.ล่ะวะ...

     

                    โชคดีที่เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นผมผ่าน ตม. เข้ามาได้ ขอบคุณคนไทยที่ไม่ค่อยหนีวีซ่าที่รัสเซียจนสร้างความลำบากให้คนที่มาเที่ยวจริงๆ และถึงแม้ผมจะไม่หวังให้คนที่คุยกันไม่กี่นาทีรอ แต่ผมก็อดยิ้มกว้างอย่างโล่งใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าพี่โย่งโบกมือหย็อยๆให้ผมอยู่หน้าร้านขายของฝากหลัง ตม. (Seriously? ยังไม่ทันได้เข้าประเทศอย่างเป็นทางการก็จะให้ซื้อของฝากเลยหรอวะ) ผมปลดล็อกโทรศัพท์ ก่อนจะเข้าหน้า setting  “เลือกไวไฟอันไหนครับ”

     

                    “อันนั้น อันที่สาม” พี่เขาชะโงกมา ผมได้กลิ่นน้ำหอมเหมือนที่ผมลองที่ duty free ที่ไทยซักยี่ห้อวูบนึง “ใช้ได้เนอะ คงใช้ได้นานพอก่อนที่จะซื้อซิมรัสเซียเปลี่ยนแหละ”

     

                    “ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

     

                    “ไม่เป็นไรแลกกับที่นายเป็นห่วงพี่ตอนพี่อ้วกแตกอ้วกแตนนั่นไง” พี่โย่งหัวเราะ “พี่ไปก่อนนะ จะไปหาซื้อซิมนี่แหละ”

     

                    ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าร้านขายซิมยี่ห้อที่ผมเล็งไว้มันอยู่ส่วนไหนของสนามบินชเรเมเตียโวนี่ แต่การรั้งพี่เขาไว้ก็เป็นการเสียมารยาทอย่างไม่ต้องสงสัย ผมก็เลยได้แต่พูดกับผู้ชายตัวผอมสูงในแจ็คเก็ตยีนส์สีฟ้าซีดว่า “ครับ โชคดีนะครับ”


    **

    Talk.

    สวัสดีค่ะ :D

    นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมากๆ ที่เราคิดจะแต่งนิยาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แต่งฟิคมาโดยตลอด (และก็หยุดแต่งไปนานเช่นกัน เนื่องจากภาระหน้าที่ในมหาลัยเยอะพอๆ กับจำนวนประชากรในกรุงมอสโคว) โดยพล็อตเรื่องจะ based on ประสบการณ์การไปเที่ยวรัสเซียสองอาทิตย์ของเราค่ะ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมน้องคนบรรยายกับพี่โย่งไปกันนานขนาดนั้น เพราะคนแต่งมันไปนานเท่านั้นนั่นแหละ 5555 ที่เอามาเขียนอาจเป็นเพราะเขียน Journey Log ไม่คืบหน้าซักที เลยเอามาเขียนเป็นนิยายแทน ถึงจะละเอียดไม่เท่า แต่ความไวในการเขียนนี่ล่วงหน้าไปหลายเท่ามาก 5555

    ฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องคนบรรยายและพี่โย่งไว้ด้วยนะคะ
    (สำหรับคนที่พอจะเดาได้ว่า character พี่โย่งได้แรงบันดาลใจมาจากใครก็สามารถ mention มา่หวีดกันหลังไมค์ได้ค่ะ 5555)

    เจอกันตอนหน้านะคะ เราจะพาขึ้นรถไฟจากสนามบินเข้ากรุงมอสโควกัน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in