อย่างที่รู้ว่าอิสตันบูลเป็นดินแดน 2 ทวีป ที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างทวีปเอเชีย และยุโรป และที่ช่องแคบบอสฟอรัสนี่แหละที่เป็นพรมแดนธรรมชาติที่แบ่งทวีปยุโรปและเอชียออกจากกัน แถมยังเป็นเป็นจุดเชื่อมระหว่างทะเลดำ กับ ทะเลมาร์มาร่า ซึ่งเป็นทะเลที่อยู่คนละฝั่งของตุรกีเข้าด้วยกันอีกด้วย (ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงอ่าวไทยกับอันดามัน ถ้าขุดคอคอดกระมันก็จะมาเชื่อมกันแบบนั้นแหละ)
การได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากจะได้เที่ยวข้ามทวีปให้รู้สึกคุ้มตั๋วเครื่องบินแล้ว วิวทิวทัศน์ รวมไปถึงสถาปัตยกรรมของเมืองที่เราจะได้เห็นตลอดเส้นทางยังสวยงามน่าถ่ายรูปไปอวดเพื่อนอีกด้วย
2.มีหมื่นหมดหมื่น มีแสนหมดแสนที่ แกรนด์ บาร์ซาร์ (Grand Barzar)
ตลาดเก่าแก่ที่อยู่คู่ดินแดนแห่งนี้มากว่า 500 ปีแล้ว ยังฟังดูไม่ค่อยเก่าใช่มั้ย เอาใหม่ ตลาดแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่สมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา (นี่เรื่องจริงนะไม่ด้เล่นมุก)
ภายในตลาดก็จะมีของขายหลายหลากมากมายเกินกว่าจะสาธยายได้หมด ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ จานชามหม้อไห เอ้ย! ไหไม่มี เครื่องดนตรี โคมไฟ พรม ขนม อาหาร ของหวาน เครื่องดื่ม ยันแก้วแหวนเงินทองมีหมด
แน่นอนว่ามีของขายเยอะขนาดนี้จะต้องมีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลทีเดียว เดินไม่ดีอาจหลงทางหาทางออกไม่เจอก็เป็นได้
ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆคงจะคล้ายๆกับตลาดนัดจตุจักร แต่ต้องเป็นจตุจักรแห่งอโยธยาด้วยนะ
3.มหาวิหารฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia)
วิหารฮาเกียโซเฟีย หรือที่คนมักรู้จักในชื่อเซนต์โซเฟีย เดิมทีเคยเป็นโบสต์ของศาสนาคริสต์ ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งไบเซนไทน์ ซึ่งตั้งใจว่าจะสร้างให้เป็นโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต่อมาสุลต่านเมห์เหม็ดที่2 ได้สั่งให้ดัดแปลงเป็นสุเหร่าของอิสลามโดยทำการโบกปูนทับศิลปะเดิมไว้
นอกจากความงดงามแล้ว ความพิเศษของที่นี่คือการวางหลังคาครึ่งทรงกลมไว้บนกำแพงเหลี่ยมทั้ง 4 ด้านได้โดยไม่มีเสาค้ำยัน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับสถาปัตยกรรมยุคนั้น จนที่นี่ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
ปัจจุบันวิหารเซนต์โซเฟียไม่ได้เป็นทั้งโบสถ์และสุเหร่า แต่ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์(ค่าเข้าชมประมาณ 400 บาทไทย) และเป็นสถานที่เดียวในโลกที่มีทั้งภาพพระเยซู และอักษรพระนามของพระอัลเลาะห์อยู่ด้วยกัน
4.มาอิสตันบูล ต้องไปดูบลูมอสก์ (Blue Mosque)
บลูมอสก์เป็นชื่อเล่นของมัสยิดสุลต่านอาเหม็ดที่1 ที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่เหนือเซนต์โซเฟีย ซึ่งแม้จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีการใช้ประกอบพิธีต่างๆทางศาสนาอยู่
ที่ได้ชื่อบลูมอสก์ หรือมัสยิดสีฟ้าก็เนื่องจากสีของกระเบื้องสีฟ้า ซึ่งเป็นกระเบื้องที่มีความพิเศษของอิสตันบูลนั่นเอง
แม้จะเป็นมัสยิด แต่ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีตามความนิยมของโบสถ์คริสต์ นอกจากนี้ยังมีการแบ่งสัดแบ่งส่วนเป็นโซนสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้รบกวนการทำพิธีของชาวมุสลิมอีกด้วย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in