เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทุกข์ตรมของคนเคยตัวสูงAkkani Wassachol
จุดเริ่มต้นของความพัง!
  • ต้นปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเจอเพื่อนเก่าสมัยประถมชื่อ "แจน"

    แจนไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศอยู่นานหลายปี จนตอนนี้ เธอก็ยังไปๆ กลับๆ ระหว่างเมืองไทยกับเมืองนอก 

    เราสองคนพูดคุยกันหลายเรื่อง ตั้งแต่ชีวิตปัจจุบัน ชีวิตครอบครัวของคนวัยขึ้นต้นด้วยเลข 4 (แจนมีลูกแล้ว ส่วนผมยังโสด 555) ก่อนจะวกไปคุยเรื่องสมัยยังเด็ก

    เรื่องที่ผมกับแจนจำได้ตรงกัน ก็คือ สมัยเล็กๆ (ป.1-ป.4) ผมจะตัวโตกว่าแจนเยอะมาก แต่อยู่ดีๆ พอขึ้น ป.5 แจนก็ตัวสูงแซงผมไปแบบงงๆ และยังสูงกว่าผมจนจบ ป.6

    ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน แจนเป็นผู้หญิงไทยรูปร่างมาตรฐานสูง 160 นิดๆ เธอตัวเล็กกว่าผู้ชายตัวไม่ค่อยสูงเช่นผมราว 10 ซม.

    "งงเหมือนกันว่ะ พอจบ ป.6 ปุ๊บ ชั้นก็แทบจะหยุดโตเลย สูงขึ้นอีกนิดเดียวเอง" แจนเล่า ก่อนตั้งคำถามใส่ผม "ว่าแต่แกเหอะ ตัวก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่นะ ไปทำอะไรพลาดเข้าล่ะเนี่ย?"

    ---

    ย้อนกลับไปช่วงสามปีสุดท้ายของการเรียนชั้นประถมศึกษา

    แม้จะตกเป็นรองเพื่อนผู้หญิงหลายคนในเรื่องส่วนสูงตอนเรียน ป.4 รวมทั้งยังส่อแววว่าจะเสียทีเรื่องนี้ให้แก่พิมพ์ คู่แข่งที่เคยตามหลังผมมาตลอด

    แต่ผมยังมองปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงการพลาดท่าหรือความพ่ายแพ้เล็กๆ น้อยๆ ที่รอคอยโอกาสแก้ตัวใหม่ตอนขึ้น ป.5

    เอาเข้าจริง ผมยังเตี้ยกว่าคนตัวสูงที่สุดในรุ่นอย่างโยประมาณ 3 ซม. (แค่มีจังหวะยืดตัวเยอะๆ แบบตอน ป.3 อีกซักสองหน ผมก็ไล่จี้เธอทันแล้ว)

    ผมเตี้ยกว่าแป้งกับแอนอยู่ 1.5 ซม. เตี้ยกว่าหมวยกับปอเพียงครึ่งเซนติเมตร แล้วผมก็ยังสูงเท่าพิมพ์อยู่ แม้หลายคนจะมองว่าเธอดูตัวสูงเหลื่อมกว่าผมนิดหน่อยก็ตาม

    ผมหวังว่าการพลาดท่าพ่ายแพ้ต่างๆ ตอน ป.4 จะถูกพลิกสถานการณ์ได้ง่ายๆ ถ้าตนเองสูงขึ้น 3-4 ซม. ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้น ป.5

    ปิดเทอมนั้น ผมยังว่ายน้ำหลายวันต่อสัปดาห์ (มีว่างเว้นช่วงไปเที่ยวตอนสงกรานต์ประมาณสิบวัน) ยังดื่มนม 3 แก้วต่อวันไม่ขาด ยังเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ผู้ชายอยู่เสมอ (และเริ่มแบ่งเวลาไปเล่นเกม -เครื่องแฟมิลี่- ตอนเย็นถึงหัวค่ำ)

    แถมเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม 2535 ยังส่งผลให้เวลาเปิดเทอมถูกเลื่อนออกไปอีก (ถ้าจำไม่ผิด คือ ราวหนึ่งสัปดาห์) 

    ผมจึงมีจังหวะเวลาได้ยืดตัวอย่างเต็มที่

    แต่พอเปิดเรียน ป.5 เทอมแรก ผมกลับพบว่าตนเองมีส่วนสูงแค่ 148 ซม. สูงขึ้นจากตอนปลาย ป.4 เทอมสอง เพียง 0.5 ซม. 

    ---

    ตอน ป.5 รูปแบบการจัดห้องเรียนจะเหมือนสมัย ป.4 แบบเป๊ะๆ

    ในห้องทับหนึ่งของผม คู่แข่งคนเดียวที่ตัวสูงกว่าผมในเทอมแรกยังคงเป็นปอ เพียงแต่จากที่เธอเคยสูงกว่าผมแค่ 0.5 ซม. กระทั่งหลายคนมองผิดไปว่าผมดูตัวโตกว่าเธอ พอขึ้น ป.5 ปอกลับสูงกว่าผมชัดเจน 

    ช่วงที่ผมสูง 148 ซม. ปอน่าจะสูง 150 ซม. พอดี

    แป้งกับพิมพ์ยังเรียนหนังสือที่ห้องทับสอง และตำแหน่งการยืนเข้าแถวตอนเช้าของปีการศึกษานั้น ก็เอื้อให้ผมได้เทียบเคียงส่วนสูงกับพวกเธอทั้งคู่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    รูปแบบการเข้าแถวสมัย ป.5 จะให้นักเรียนทั้ง 4 ห้องยืนเข้าแถวหน้ากระดานแบบแบ่งเพศหญิง-ชาย รวม 8 แถว โดยคนตัวสูงจะยืนอยู่ด้านขวามือ คนตัวเล็กจะยืนอยู่ทางซ้าย

    เริ่มจากแถวนักเรียนหญิงห้อง 5/1 นักเรียนชายห้อง 5/1 นักเรียนหญิงห้อง 5/2 นักเรียนชายห้อง 5/2 ไปจบสุดท้ายที่แถวหน้ากระดานของนักเรียนชายห้อง 5/4

    ดังนั้น ผมในฐานะนักเรียนชายที่ตัวสูงที่สุดของห้อง 5/1 จึงต้องยืนเข้าแถวอยู่ด้านหน้าแป้งกับพิมพ์ สองหัวแถวของนักเรียนหญิงห้อง 5/2 พอดี

    แต่การต้องยืนอยู่ข้างหน้าแป้งกับพิมพ์ในปีนั้นกลับกลายเป็นเรื่องย่ำแย่และน่าอดสู เพราะทั้งสองคนต่างตัวสูงนำหน้าผมไปไกล แค่เปิดเทอมแรกมา แป้งก็สูง 151 ซม. แล้ว ขณะที่พิมพ์ก็ตัวสูงกว่าผมอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนสูง 150 ซม.

    "เฮ้ ในที่สุด ชั้นก็สูงกว่าแกจนได้นะ" พิมพ์เอ่ยทักผมตั้งแต่วันแรกๆ ที่เปิดเรียน

    ส่วนโยที่ห้อง 5/3 ก็ทิ้งห่างผมมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจำไม่ผิด เธอน่าจะสูง 152-153 ซม. 

    ด้านแอน ห้อง 5/4 ก็ยังสูงเท่ากับแป้งที่ 151 ซม. ในห้องนั้น ยังมีหมวยที่สูง 150 ซม. พอๆ กับปอและพิมพ์ด้วย

    เพียงแค่เริ่มต้นเรียน ป.5 สัปดาห์แรก ก็มีเพื่อนผู้หญิงที่ตัวสูงกว่าผมในระดับ 2-5 ซม. มากถึงหกคน!

    ---

    ซ้ำร้ายกว่านั้น ช่วง ป.5 ยังเป็นห้วงเวลาที่พัฒนาการความเติบโตของผมเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าที่สุดในสมัยประถม

    จากการสูง 148 ซม. ตอนเดือนพฤษภาคม เข้าเดือนสิงหาคม ผมจะสูง 149 ซม. ถึงเดือนพฤศจิกายน ผมสูงขึ้นอีก 2 ซม. เป็น 151 ซม. แต่พอเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนสูงผมกลับขยับขึ้นหน่อยเดียวเป็น 151.5 ซม.

    ถ้านับจากปลาย ป.4 เทอมสอง ที่ผมสูง 147.5 ซม. ถึงปลาย ป.5 เทอมสอง ก็เท่ากับว่าผมตัวสูงขึ้นแค่ 4 ซม. ในระยะหนึ่งปีเต็ม

    นั่นทำให้ผมไม่สามารถเร่งเครื่องไล่จี้เพื่อนผู้หญิงรูปร่างสูงทั้งหกคนได้

    ในขณะที่ผมยังสูงแค่ 151.5 ซม. ปอกับหมวยก็สูง 154 ซม. 

    เรื่องที่ชวนตื่นเต้น คือ พิมพ์สามารถเขยิบขึ้นไปสูงในระดับเดียวกับแป้งและแอนได้อย่างน่าทึ่ง 

    ก่อนจบ ป.5 แป้งจะสูง 155 ซม. แอนตัวเล็กกว่านิดหน่อยด้วยส่วนสูง 154.5 ซม. และกลายเป็นว่า พิมพ์ดันเป็นคนที่สูง 155 ซม. เท่ากันกับแป้งแทน

    ปลาย ป.3 เทอมสอง ผมเคยตัวสูงทิ้งห่างพิมพ์มากที่สุดด้วยช่องว่าง 3 ซม. แต่พอปลาย ป.5 เทอมสอง พิมพ์กลับออกนำผมไปมากถึง 3.5 ซม.

    ไม่ต้องพูดถึงโยที่สูง 157 ซม. จนดูตัวสูงกว่าครูผู้หญิงส่วนใหญ่ในโรงเรียนไปแล้ว

    --- 

    ผมกับแจนเรียนหนังสือห้องเดียวกันครั้งแรกตอน ป.4

    ปีนั้น ขณะที่ผมกำลังขับเคี่ยวเรื่องส่วนสูงกับปออย่างสูสี แจนก็มีสถานะเป็นคนตัวสูงอันดับสามของห้อง แต่เธอยังตามหลังปอและผมแบบห่างๆ

    จำได้ว่า ตอนปลายเทอมสอง ที่ปอสูง 148 ซม. ผมสูง 147.5 ซม. แจนยังสูงแค่ 145 ซม. เท่านั้น

    แจนถึงขั้นเคยตั้งคำถามกับผมและปอประมาณว่า ทำไมเราสองคนถึงตัวสูงมากขนาดนี้? แล้วต้องทำอย่างไรเธอจึงจะสูงเหมือนผมกับปอ?

    ขึ้น ป.5 ระหว่างที่ผมกำลังพ่ายแพ้เพื่อนผู้หญิงที่ตัวสูงระดับ "ท็อปหก" ของรุ่นอย่างราบคาบ แจนก็ค่อยๆ เบียดแทรกขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันของผมแบบเงียบๆ แต่น่ากลัว

    ช่วงต้นเทอมแรก ที่ผมสูง 148 ซม. ดูเหมือนแจนจะสูงราวๆ 147 ซม. แล้วพอปลายเทอม เราสองคนก็สูง 149 ซม. เท่ากัน

    "เฮ้ย เดี๋ยวนี้เราสูงเท่ากันเลยนะ เป็นไปได้ไงวะ? เมื่อก่อน ชั้นว่านายดูซู้งสูง" แจนเอ่ยกับผมเมื่อพวกเรามีรูปร่างสูสีกัน

    ต้นเทอมสอง ทั้งๆ ที่ผมสูงขึ้นอีกถึง 2 ซม. เป็น 151 ซม. แต่แจนก็ยังมีส่วนสูงเท่าผมอีกรอบ

    กลางเดือนธันวาคม โรงเรียนพานักเรียนชั้น ป.5-ป.6 ไปเข้าค่ายลูกเสือ-ยุวกาชาดที่ต่างจังหวัด

    เข้าค่ายคราวนั้น ผมกับแจนต้องทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยครั้งในฐานะหัวหน้าหมู่ลูกเสือและหัวหน้าหน่วยยุวกาชาด

    เมื่อไปถึงค่ายพักแรมวันแรก ผู้อำนวยการโรงเรียนก็พาตัวแทนหัวหน้าหมู่-หัวหน้าหน่วยทั้งของชั้น ป.5 และ ป.6 รวมสิบคน ไปแสดงความเคารพเจ้าของสถานที่

    ผมกับแจนได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มตัวแทนดังกล่าวด้วย แถมยังต้องเดินแถวและยืนคู่กัน

    นั่นคือครั้งแรกสุดที่ผมเริ่มรู้สึกว่าแจนดูตัวสูงกว่าผมนิดๆ

    เช้าวันถัดมา ผมและแจนต้องนำเพื่อนๆ ในหมู่-หน่วย ออกเดินทางไกลคู่กันอีก เราจึงทั้งได้เดินเป็นหัวแถวคู่กัน และเข้าไปยืนรายงานตัวกับครูประจำฐานต่างๆ เคียงข้างกัน

    ในวันเดินทางไกลนี่เอง ที่แจนก็เริ่มสังเกตเห็นเรื่องที่ผมรู้สึกเมื่อเย็นวาน

    "เฮ้ย ทำไมนายดูเตี้ยกว่าชั้นอีกวะ?" แจนหันมาถามผมระหว่างกำลังเดินทางไกล

    แม้ผมจะตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ยังพยายามเบี่ยงเบนประเด็น "ไม่น่านะ ตอนเดือนก่อน เราก็วัดส่วนสูงได้ 151 เท่ากันไม่ใช่เหรอ?"

    "หึ แต่ตอนนี้ ชั้นว่าชั้นดูตัวโตกว่านายนะ" แจนยังไม่ลดละความพยายาม

    ผมเลือกหยุดต่อความยาวด้วยการไม่โต้เถียงต่อ แม้จะพบว่าขณะเดินโต้ตอบกันอยู่นั้น ตนเองเป็นฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบสายตาแจน

    นี่เป็นเค้าลางของความพ่ายแพ้ เหมือนที่ผมเคยต้องแหงนหน้าสนทนากับพิมพ์ตอนปลาย ป.4 เทอมสอง

    หลังกลับจากเข้าค่าย จนผ่านพ้นปีใหม่ แจนก็ยังดูตัวสูงกว่าผมนิดๆ อยู่ตลอด

    และในการวัดขนาดร่างกายเดือนกุมภาพันธ์ ผลก็ปรากฏว่า เธอมีส่วนสูง 152 ซม. สูงกว่าผมครึ่งเซนติเมตร

    การพ่ายแพ้ต่อแจนช่วยยืนยันถึงความพังพินาศของผมในช่วง ป.5 ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ความย่อยยับสมัย ป.6 จะเดินทางมาถึง  







เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in