1.
long time no GREEN
การเที่ยวช่วงเทศกาลเป็นอะไรที่สยองสุดๆไม่ว่าจะเทศกาลไหนแต่เพราะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบพวกเราทุกคนต่างก็ต้องยอมจำนนต่อความสยองนี้อย่างเต็มใจ
"เนื่องจากการจราจรทางอากาศหนาแน่นทางเราจำเป็นต้องเล่ื่อนเวลาออกไปอีก35 นาที“
เสียงทุ้มจากกัปตันเครื่องบินที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อนพูดใส่ไมค์บอกกับมนุษย์ทุกคนบนเครื่อง ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ณ ตอนนั้นเรานึกถึงคำโฆษณาของNetfilxเลย #ไม่ไปไหนไปNetflix แต่จะลงจากเครื่องหิ้วกระเป๋ากลับบ้านไปดูซีรี่ย์ก็ทำไม่ได้แล้ว เอาวะเที่ยวทั้งที happyๆหน่อย จัดแจงผ้าห่ม หมอนเหมินเรียบร้อยก็ทำการหลับยาวไปเลยจร้าา
การมาไต้หวันคือครั้งที่สอง แต่สำหรับ Alishan คือครั้งแรก ภาพจำผ่านๆของสถานที่แห่งนี้คือรถไฟสีแดงอย่างเดียวเลยที่เรามี แต่มันมีมากกว่านั้นวะ ป่าสนสีเขียวเข้มตัดกับลำต้นของมันเองอย่างลงตัว นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้ถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ว่าแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้จะซึบซับออกซิเจนหรือความสดชื่นอะไร มันเดินขึ้นเขาลงเขาเหนื่อยเว้ยย!
taroko national park
taroko national park
taroko national park
taroko national park
2.
long time no SEA
ทุกครั้งที่เรามีโอกาสไปทะเลเราจะนึกถึงตอนๆหนึ่งใน หนังพาไป (รายการท่องเที่ยวแนวประหยัดทางช่องThaiPBS)จำได้ว่าเป็นประเทศกรีซ สองพิธีกรพี่บอลพี่ยอดเดินทางไปที่เกาะแห่งหนึ่งมีซีนซีนนึงคนพื้นเมืองเข้ามาถามพิธีกรของเราว่ามาจากประเทศไหน? ทันทีที่ผู้ถามรู้คำตอบ เขาก็พูดประโยคนึงออกมาที่ทำให้เราจำมาถึงทุกวันนี้ “คุณมาที่นี่ทำไม ทะเลบ้านคุณสวยจะตาย"
เป็นประโยคคำถามที่เราก็ เออวะ!แต่ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนเรารึเปล่านะถ้าเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ สถานที่ที่นึงที่อยากไปคือ "ทะเล" เราว่าทะเลแต่ละที่ก็ให้ความรู้สึกต่างกันไปทั้งสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ และผู้คน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราว่าทะเลเป็นที่ที่ไม่หวือหวาดีอะ สีฟ้าของน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบฝั่ง หาดทรายหรือกรวดหิน และผู้คนรอบๆหาดแค่นั้น มันเป็นที่ที่ผู้คนล้วนแต่มีปฏิกิริยาคล้ายๆกันเมื่อได้มาหาทะเล มันเหมือนเรารับรู้ความสุขของกันและกันได้โดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา
3.
wish you good luck
วัดหลงซาน...ครั้นก้าวเท้าเข้าในตัววัดเราก็สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตของวัดนี้อย่างบอกไม่ถูก เราเกิดมาในครอบครัวคนจีน วัดจีนต่างๆก็เข้ามาไม่น้อย ในวันที่เข้าไปผู้คนส่วนใหญ่กำลังตั้งใจสวดมนต์อย่างขมักเขม้นอาจเป็นสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความมีชีวิตและความเชื่อจากใจจริงประกอบกับบรรยากาศรอบตัวทั้งควันจากธุป ที่ปกติเมื่อเราเจอฝุ่นหรือควันก็มักจะเบือนหน้าหนีหรือหาทางออกไปจากที่ตรงนั้น แต่ผิดกับควันธูปที่วัดผู้คนต่างกอบโกยควันนั้นเข้าหาตัว เข้าใบหน้าหรือแม้แต่กระเป๋าสตางค์ หรือจะเสียงกระทบของไม้ปวยกับพื้น ยังไม่รวมถึงส่วนของการแก้ปีชงต่างๆที่ผู้คนต่างต่อแถวเขียนประวัติของตัวเองหรือคนที่เรารักลงไปอย่างตั้งใจ ตัววัดมีขนาดไม่ใหญ่นะเดินวนรอบๆไม่ถึง10นาทีก็พอแต่มันเป็น10นาทีที่เราชอบมากๆ
ในยุคสมัยที่ศาสนามีอิทธิพลกับคนรุ่นใหม่น้อยลง 51% ของคนญี่ปุ่นไม่นับถือศาสนา การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างพระญี่ปุ่นที่มาเป็นบาร์เทนเดอร์เพื่อให้คนที่เข้ามารู้สึกผ่อนคลายและกล้าที่จะระบายเรื่องราวต่างๆออกไป การที่สามารถแต่งงานมีลูกได้ ไว้ผมยาว หรือใส่เสื้อผ้าทั่วไป และที่เห็นได้ชัดและได้รับความนิยมอย่างมากอย่างเครื่องราง(omamori) ที่ถึงแม้คุณจะไม่นับถือศาสนาแต่ก็ขอซื้อติดกระเป๋าไว้ก่อนสอบให้อุ่นใจ กับวัดหลงซานก็เช่นกันผู้คนต่างต่อแถวเลือกหยิบเครื่องรางตามแต่ใจปราถนาหรือตามออร์เดอร์ที่เพื่อนฝากซื้อ ในยุคที่คนไปวัดน้อยลงทั้งหมดที่กล่าวมานี่ก็ล้วนเป็นการปรับตัวให้ศาสนายังคงดำรงอยู่ต่อไป
4.
long time no see ยาวนาน...เท่าความคิดถึง
นานเท่าไหร่ ถึงเรียกว่านานกันนะ..?
เราว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเราคิดถึงมันแค่ไหน ยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่ คำว่านานก็ยิ่งนานขึ้นเท่านั้น 4 ปีที่แล้วเรามาไต้หวันครั้งแรกกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต้องมาทำกิจกรรมร่วมกัน นอนร่วมกัน กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน เที่ยวด้วยกัน ทั้งสนุก ทั้งเบื่อ ทั้งเหนื่อยไปด้วยกันตลอด21วันบนเกาะแห่งนี้ และก็เป็นครั้งแรกที่เราตั้งกระทู้พันทิปรีวิวทริปนี้ทั้งทริปด้วยรูปถ่ายล้วนๆ (ไม่รู้ว่าใช้คำว่ารีวิวได้ไหมนะ วาร์ปได้ที่
แดดลมฝนในฤดูร้อนใต้ฟ้าไต้หวัน21วัน)ไต้หวันในตอนนั้นเราชอบมันมากๆถึงกับโพสรูปพร้อมแคปชั่นก่อนกลับว่า
”ไปแล้วน้าาไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไร เพราะยังไงฉันก็จะกลับมาอีก“
ความคิดถึง ความทรงจำต่างๆยังคงวนเวียนอยู่ทั้งสถานที่และผู้คน
การได้กลับมาไต้หวันอีกครั้งยังคงทำให้เรารู้สึกเหมือนได้หายใจไม่เปลี่ยนไปเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in