“อยู่ด้วยกันเสียที่นี่แหละ เมื่อพ่อเจ้าไม่อยู่แล้ว ก็คิดเสียว่าลุงเป็นพ่อแทนเถิด”
มือบางประนมน้อมลงกราบชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนตั่งไม้มันวับ ณ ลานเฉลียงหินอ่อน สวมเสื้อราชประแตนและนุ่งโจงกระเบนสีกรมท่า เคียงข้างด้วยหญิงร่างแบบบาง กระนั้นก็ดูภูมิฐาน หล่อนสวมเสื้อลูกไม้ถักสีขาวสะอาดตา คาดแพรสะพายและนุ่งโจงกระเบนจับจีบอย่างประณีตบ่งบอกถึงฐานะได้เป็นอย่างดี มือทั้งสองของเจ้าพระยาราชภัลลภและท่านผู้หญิงเฟื้องที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยราวห้าสิบกว่าปี ลูบศีรษะเด็กหนุ่มแผ่วเบาพลางหันมองหน้ากันแช่มช้า แววตาสงสารปนเอ็นดูทอดมองไปที่ดวงหน้าน่ารักตรงหน้า
“หลานไม่มีสิ่งใดมีค่าพอตอบแทนคุณลุงและคุณป้า มีเพียงสมบัติจากคุณพ่อติดตัวมาเพียงน้อย หากมันจะช่วยเป็นค่าข้าวปลาอาหารหรือค่าใช้จ่ายใดที่พอจะจุนเจือคุณลุงและคุณป้าได้ หลานยินดีมอบให้ทั้งหมด” กานพลูเอ่ยเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดน้อยค่อยๆไหลอาบแก้มใส พลันคิดน้อยใจในโชคชะตาตัวเอง หากพระยาพิพัฒน์วรพงศ์ คุณพ่อของเขาไม่สิ้นไปเร็วเช่นนี้ เด็กหนุ่มคงจะไม่ต้องอาศัยบ้านใครอยู่ จากหน่อเนื้อเชื้อพระยาจะต้องระเห็จเร่ร่อนมาอยู่ที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง เขาไม่ใคร่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
“เจ้าเก็บไว้เถิด เพื่อจะได้มีทรัพย์สมบัติติดตัวไว้ในอนาคต อย่างไรเสียคุณพ่อของเจ้าก็เป็นเพื่อนรักของลุงมาแต่ไหน กานพลูก็เหมือนเป็นลูกของลุงอีกคน อีกอย่าง ที่บ้านนี้ก็ไม่ได้ขัดสนกระไร ออกจะมีเหลือใช้เสียด้วยซ้ำไป”
“จริงจ้ะ ทำใจให้สบาย มาอยู่ที่นี่ป้าจะดูแลกานพลูเอง ดีเหมือนกันจะได้คลายเหงาป้าไปได้บ้าง พี่นทีเขายังไม่กลับจากว่าราชการ มีหนูมาอยู่ด้วยก็จะดีไม่น้อยเทียว”
“กราบขอบพระคุณคุณลุงคุณป้าที่เมตตาหลาน”
.
.
ตึกใหญ่ตั้งตระหง่านริมหัวถนนสี่พระยา สีเขียวตองอ่อนสไตล์ยุโรป หน้าต่างสีเขียวเข้ม มุขหน้าบ้านฉลุลายสีขาว ภายในห้องโถงรับแขกใหญ่มีชุดเก้าอี้ผ้าไหมปักดิ้นทองงดงามพร้อมกับโต๊ะตัวเล็กทำจากไม้สักเนื้อเนียนและหวายถัก บนโต๊ะเล็กนั้นมีหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ฉบับวันที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๙ เป็นเครื่องหมายการันตีความรู้และความทันสมัยของคนในเรือนได้ดีทีเดียว ในยุคปฏิรูปประเทศให้ก้าวสู่ความเป็นสากลเพื่อให้ไม่น้อยหน้านานาประเทศเช่นนี้ หนุ่มสาวมากมายต่างพากันแต่งกายแบบสมัยนิยมตามฝรั่ง ใส่ชุดสูท รองเท้าหนังเงามันปลาบ รองเท้าส้นสูงคู่กับถุงน่องสีขาว อ่านหนังสือพิมพ์ วรรณกรรมฝรั่ง เรื่องสั้น หรือแม้กระทั่งบทละครต่างๆที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์
.
.
กานพลูก้าวขาเรียวเข้ามาในห้องโถง วางกระเป๋าใบใหญ่ลงข้างตัว พลันนั่งคุกเข่าราบ
“คุณพี่เที่ยวอุปการะใครต่อใครเข้ามาอยู่ในบ้านเช่นนี้ ระวังเถิดเจ้าค่ะ จะหันมาแว้งกัดเรา”
“อรุณประไพ หยุดประเดี๋ยวนี้ กานพลูมิใช่ใครต่อใคร เด็กคนนี้เป็นลูกของพระยาพิพัฒน์วรพงศ์ เพื่อนรักของฉัน ต่อแต่นี้ไปกานพลูจะมาอยู่ที่บ้านของเรา ยายเอื้อย ตาอ้าย อยู่ด้วยกันกับกานพลูก็คอยดูแลพี่เขาเสียด้วยล่ะ เรียกว่าคุณพี่กานพลู เข้าใจหรือไม่”
สายตาคอนแคะจากหญิงสาววัยกลางคนจ้องมาที่กานพลู ร่างสะโอดสะองคาดแพรสะพายติดเข็มกลัดเพชรระยับตา เสื้อลูกไม้ระบายเป็นชั้นๆสีม่วงสด นุ่งผ้าแพรสวยงามจับตา หากแต่กริยานั้นไม่ และหากกานพลูเข้าใจไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นภรรยาอีกคนของพระยาราชภัลลภ มีลูกสาวลูกชายที่เป็นลูกติดมาจากสามีคนก่อนติดสอยห้อยตามกันไปทางนั้นทีทางนี้ที ลูกสาวนั้นชื่อแม่เอื้อย ทาปากสีแดงชาด แต่งเนื้อตัวจัดจ้าน กลิ่นน้ำปรุงฝรั่งฟุ้งไปทั่วทุกทิศที่หล่อนเดินผ่าน ส่วนลูกชายผัวเดียวกันอีกคนชื่อพ่ออ้าย ดูท่าทางบุคลิกเรียบร้อยกว่าและไม่ห้อยตามแม่ไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างแม่เอื้อย ครั้นกานพลูจะหันไปทักทายพ่ออ้าย ท่านผู้หญิงเฟื้องก็เอ่ยปากชวนคุยเสียก่อน
“แน่ะ กานพลู ข้างๆตึกเล็กริมน้ำตรงโน้นมีสระบัว หากลูกชอบก็ไปนั่งเล่นพักผ่อนกายาได้ทุกเวลา” ท่านผู้หญิงราชภัลลภพูดพลางหยิบโครเชต์ขึ้นมาถักเป็นผ้าลูกไม้สวยงาม กานพลูมองตามอย่างเพลิดเพลิน “อีกไม่นานหนูคงจะได้พบกับคุณหลวงนที ลูกชายคนเดียวของป้ากับเจ้าคุณ คุณหลวงเธอกลับมาจากอังกฤษได้ไม่นานก็มารับราชการ ได้ขึ้นเป็นหลวง ต้องไปว่าราชการต่างจังหวัดอยู่ออกบ่อย เหมือนตัวคนเดียว”
.
.
กานพลูอาศัยอยู่ที่บ้านใหม่หลังนี้ บ้านของเจ้าพระยาราชภัลลภ คนในบ้านรักบ้าง ชังบ้าง แต่ดูจะโอนเอนไปทางชังเสียมากกว่า โดยเฉพาะคุณนายราชภัลลภและลูกสาว คุณเอื้อย ที่ทั้งค่อนแคะ ทั้งกระแนะกระแหนไม่เว้นแต่ละวัน เพียงเพราะคิดว่าการที่มีกานพลูเข้ามาอยู่ในบ้านนั้นทำให้สินทรัพย์ในบ้านจำต้องเจียดแบ่งกันใช้ และยิ่งด้วยเห็นว่าเจ้าคุณราชภัลลภดูท่าจะเอ็นดูเขามากกว่าลูกสาวลูกชายตนเองเสียอีก
“อย่างไรจ๊ะ พ่อกานพลูตัวดี ได้ข่าวว่าเมื่อเช้าเจ้าคุณเรียกหารึ แหม มิทันไรก็ประจบสอพลอจนท่านยกสร้อยทองให้ ไม่ยักรู้ว่าพระยาพิพัฒน์วรพงศ์เลี้ยงลูกมาให้เป็นโจร”
ดวงตากลมหลุบลงต่ำ น้ำตารื้นปริ่ม พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลสุกใสก็เปลี่ยนเป็นแววตาเศร้าสร้อย ผิดจากกานพลูคนเดิมที่เคยสดใสครั้งยังอยู่ในเรือนกับคุณพ่อ กานพลูดอกน้อยดอกนี้ช่างบอบบาง แต่ไม่ว่าจะโดนย่ำยีหัวใจเพียงใดก็จะยอมอดทน ไม่ให้ใครเขาว่าเอาได้ว่าบุตรพระยาพิพัฒน์วรพงศ์นั้นอ่อนแอและไร้ศักดิ์ศรี และที่สำคัญ เขาจะต้องอยู่คอยดูแลและตอบแทนพระคุณของเจ้าพระยาและท่านผู้หญิงราชภัลลภ
.
.
แสงอาทิตย์ทอประกายระยับในยามรุ่งสาง กอปรกับเสียงนกกางเขนและนกกาเหว่าร้องประสานเสียงกัน แพขนตาหนากระพือเบาๆราวกับปีกนก ร่างบางขยับตัวเล็กน้อยพลางลุกขึ้นนั่งลงบนเตียง แม้ผ่านไปเกือบจะครึ่งปีที่เด็กหนุ่มจำต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านพระยาราชภัลลภเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงคิดถึงบ้านเก่าเสมอ บ้านที่เรียกได้ว่าเป็นบ้านอย่างเต็มปาก กระนั้น กานพลูดอกน้อยยังคงสดใสเสมอด้วยตัวของมันเอง
“หลับสบายดีหรือ เจ้ากานพลู” เสียงก้องทุ้มกังวานของเจ้าคุณราชภัลลภเอ่ยถามเด็กหนุ่มบนโต๊ะรับประทานอาหารเช้า สำรับวันนี้ถูกจัดอย่างดีด้วยแซนด์วิชและชาแบบฝรั่ง กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว หลังรับอาหารมื้อหลักแล้ว ข้ารับใช้ก็ยกข้าวยาคูมาเสิร์ฟสามที่สำหรับเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง และกานพลู ที่ร่วมโต๊ะสำหรับกันในยามอรุณรุ่งนี้
“หลานหลับสบายดีทุกวัน เพราะคุณลุงคุณป้าดูแลอย่างดี คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงหลานเลย”
เสียงใสตอบรับ แม้ในใจจะเก็บความทุกข์ระทมไว้เพียงใด หากแม้คุณลุงคุณป้าจะปฏิบัติกับเขาราวกับลูกหลานแท้ๆ กระนั้นท่านทั้งสองก็ต้องออกปฏิบัติราชการหรือออกงานสังคมเกือบทุกวัน น้อยเต็มทีนักที่จะมีเวลาอยู่ที่บ้าน แต่ทุกครั้งที่ท่านผู้หญิงไม่ได้ออกไปไหน ท่านจะสอนการบ้านการเรือน ประดิดประดอยและแกะสลักอาหาร ร้อยมาลัย ให้กานพลูเสมอ หรือแม้แต่ข้าวยาคูเช้านี้ก็เป็นฝีมือของกานพลูเอง โดยได้อาจารย์ดีอย่างท่านผู้หญิงราชภัลลภคอยสอน
“ข้าวยาคูวันนี้กานพลูทำเองเชียวค่ะคุณพี่ คุณพี่ลองชิมฝีมือหลานดูสิคะ” เสียงหวานสุขุมของท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้น แล้วว่าต่อ “ราวๆวันสองวันนี้นทีก็คงจะกลับมาถึงบ้านแล้ว หากคุณหลวงไม่มีกิจการใดต้องสานต่อก็คงจะว่างมาอยู่เป็นเพื่อนหลาน จะได้ไม่เหงา เพราะดูท่าแล้วกับยายเอื้อยตาอ้ายก็คงจะไม่ได้สุงสิงกันเท่าไหร่นัก จริงไหม”
“กับคุณอ้ายก็คุยกันดีครับคุณป้า เพียงแต่คุณอรุณประไพไม่ค่อยให้เข้าใกล้หลานเท่านั้น” กานพลูนึกสงสัยว่าเหตุใดคุณนายราชภัลลภกับคุณอ้ายจึงจงเกลียดจงชังเขานัก แม้จะเข้ามาอยู่บ้านนี้อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆมาช่วยจุนเจือ แต่เขาก็ช่วยทำการเรือนทุกอย่างจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นนายก้นครัว หรือแม้แต่เมื่อคุณนายกับลูกๆต้องการสิ่งใด เขาก็ทำให้อย่างดีไม่เคยขาด แต่คงเรียกได้ว่าไม่ถูกอกถูกใจ
ครั้นทำกิจการต่างๆในบ้านเสร็จ กานพลูชอบมานั่งเล่นที่ริมสระบัว เฝ้าแต่คิดถึงคุณพ่อ เขายังเด็กนักและต้องการคนดูแลทั้งทางกายและทางใจ อยู่ที่บ้านนี้แม้จะได้รับเกียรติสูงส่งทัดเทียมใครๆในบ้าน แต่กระนั้นกานพลูไม่เคยนิ่งดูดาย คอยช่วยหยิบจับสิ่งต่างๆเสมอ จึงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนบ้านที่เคยอยู่ โดยเฉพาะความสุขสบายทางจิตใจที่เขาไม่เคยได้รับเลยแม้สักครา ร่างบางนั่งห้อยขาอยู่ริมสระบัว นั่งมองดิกบัวสีสวยงามน้อยใหญ่ในสระ มีทั้งสีชมพู สีม่วง แต่ที่กานพลูชอบที่สุดก็คือสีขาว มือบางเอื้อมจับดอกบัวดอกน้อยกลีบสีขาวนวล สัมผัสนุ่มลื่น ชวนให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายความเศร้าหมองไปได้มาก แต่ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงแวดแหวเป็นเค้าลางความหายนะมาแต่เนิ่นๆ กานพลูหลับตาลงพลันถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“กานพลู เก็บดอกบัวให้ฉันหน่อยซิ ดอกใหญ่ที่สุดตรงโน้นแน่ะ เร็วซี ชักช้าอยู่ใย”
“คุณเอื้อย คงเก็บไม่ถึงหรอกครับ มันอยู่ไกลทีเดียว”
“ไม่ถึงก็ต้องถึง ฉันอยากได้แกก็ต้องเก็บมาให้ได้ บัดนี้ เดี๋ยวนี้”
กานพลูเอื้อมมือน้อยไปให้ถึงดอกบัวสีม่วงสดดอกเดียวที่บานสะพรั่งเด่นเหนือดอกไหนๆในบ่อ ทว่าอยู่ไกลเกินเอื้อมมือนัก กระนั้นเขาก็ไม่อาจเอ่ยวจีปฏิเสธใดได้นอกจากยอมอ่อนโอนตามคำสั่งอย่างเคย แต่ครานี้เห็นทีจะยากนัก แม้เอื้อมสุดแขนแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะถึงปทุมมาศสีสดดอกนั้น กานพลูใช้ความพยายามเฮือกสุดท้าย มืออีกข้างจับกับหลักไม้ที่ปักอยู่ริมขอบสระ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสได้เพียงผิวขรุขระของก้านบัวเท่านั้น พลันเท้าเล็กก็ลื่นไถลไปกับขอบสระโดยไม่รู้เลยว่าตัวการยืนหัวร่อคิกคักอยู่ใกล้ๆตรงนั้น
แต่ไม่ทันที่จะลื่นไถลจนตกลงไปในสระบัวอย่างที่คาดไว้ แขนแกร่งของใครบางคนก็ดึงร่างเล็กขึ้นมาได้ทันการณ์ กานพลูตัวสั่นระริกราวกับลูกนกตกจากรัง น้ำตาใสเอ่อที่ขอบตา เขาหลุบตาลงเพื่อไม่ให้ใครเห็นน้ำตาแม้เพียงหยาดหยดเดียว ดวงหน้าหวานกำลังเงยมองบุรุษตรงหน้าแต่ก็ถูกขัดจังหวะให้ชะงักโดยน้ำเสียงทุ้มก้องกังวานของเขา ที่พาเอาหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
“อย่าทำแบบนี้กับคนของฉันอีก ไม่เช่นนั้นเรื่องจะถึงหูเจ้าคุณพ่อ จะไปไหนก็ไป”
“คุณพี่!” เสียงแหลมแว้ดใส่คนพูดอย่างไม่พอใจ
“บอกให้ไป”
แขนคู่นั้นได้โอบอุ้มเขาไว้ และโอบอุ้มทั้งดวงใจของกานพลู ใบหน้าคมรับกับดวงตาคู่นั้น นัยน์ตาประกายระยับแต่ก็ดูสุขุมชวนมอง ตั้งแต่คราแรกที่ได้เห็น กานพลูไม่เคยลืมใบหน้านั้นได้ลงแม้สักวินาที และยังอยากจะเห็นไปอีกตลอดชั่วชีวิต
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ขอบคุณครับ” เสียงใสเปล่งออกมาอย่างสดใสที่สุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ คงจะเป็นเพราะอะไรไปไม่ได้
“อ้อ พี่นทีเอง กานพลูใช่ไหม ตัวจริงน้องน่ารักกว่าในจินตนาการพี่เสียอีก คุณแม่เขียนมาเล่าให้ฟังเสมอ ตั้งแต่วันแรกที่น้องเข้ามาอยู่ที่นี่”
“คุณหลวงนที..”
“คุณหลวงรึ คุณหลวงกระไรกัน เรียกว่าคุณพี่สิ เด็กเอ๋ย”
“ครับ คุณพี่” แก้มใสๆที่บัดนี้ค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นเลือดฝาดสีแดงชาดระเรื่อขึ้นให้เห็น คุณหลวงนทีคลี่รอยยิ้มบาง
“ได้ข่าวจากคุณป้าว่าคุณพี่นทีไปว่าราชการต่างจังหวัดเสมอ ครานี้คุณพี่กลับมาน้องยินดีนักที่ได้พบหน้ากัน”
“พี่ก็ยินดีเหลือเกิน”
.
.
เพลาย่ำค่ำเป็นเพลาของสำหรับเย็น ที่โต๊ะสำรับวันนี้มีแต่อาหารของโปรดคุณหลวงนทีแทบทั้งสิ้น เป็นเพราะนานๆคุณหลวงจะกลับมาบ้าน จากคราวล่าสุดที่กลับมาก็เมื่อสามเดือนที่แล้ว วันนี้จึงค่อนข้างเป็นวาระพิเศษที่ทุกคนในบ้านมารับประทานอาหารด้วยกันพร้อมหน้า คือเจ้าพระยาราชภัลลภ ท่านผู้หญิงเฟื้อง คุณหลวงนที กานพลู และคุณนายราชภัลลภกับลูกของหล่อนอีกสอง
“นที วันนี้มีแต่ของโปรดของลูกทั้งนั้นจ้ะ แม่กับกานพลูลงมือเอง”
“ตั้งแต่ลูกกลับมาสำรับแยะทุกมื้อ ตอนอยู่ที่อื่นคิดถึงข้าวปลาอาหารที่บ้านเต็มทน เห็นทีคราวนี้จะต้องอยู่บ้านนานๆแล้วซีครับ”
“แหม สำเริงสำราญขนาดนี้ทุกวันคงได้ผลาญสมบัติคุณพี่จนหมดแน่แหละค่ะ”ช่วงเวลาที่สุขสราญมักถูกขัดโดยคุณนายราชภัลลภเสมอ ครานี้ก็เช่นกัน นทีจ้องเขม็งไปที่หล่อนพลางเอ่ยตอบ กระนั้นดวงหน้ายังคงเรียบเฉย แต่ก็ทำให้คุณนายราชภัลลภและคุณเอื้อยถึงกับตัวแข็ง
“สมบัติบ้านเรามีมากโขอยู่แล้วครับคุณน้า เอามาลงกับสำรับอาหารเท่านี้มันจะเสียไปอีกสักกี่มากน้อย ดีกว่าเอาไปลงกับอย่างอื่นที่มันไร้แก่นสาร”
คุณนายอรุณประไพลุกยืนขึ้นและทำเสียงกระฟัดกระเฟียด เดินออกไปจากโต๊ะสำรับเย็นพร้อมกับคุณเอื้อยที่ตามไปติดๆ ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็เกรงคุณหลวงนทีเสมอ ทั้งเกรงและเกลียด เกรงยิ่งกว่าใครๆในบ้าน เพราะบุคลิกท่าทางเป็นคนจริงจังและเอาจริง ทั้งตั้งแง่กันมาแต่ไหน สองแม่ลูกจึงพลอยไม่กล้ายุ่งกับกานพลูไปด้วยตั้งแต่คุณหลวงนทีกลับมา เพราะทุกๆครั้งคุณหลวงจะคอยปกป้องเสมอ กานพลูแอบคิดในใจว่าอยากจะให้คุณหลวงคอยปกป้องเขาที่นี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากไม่มีนทีแล้วเจ้ากานพลูน้อยคงจะเหี่ยวเฉาไร้กำลังใจจะสู้ต่อไป เขาเป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาชั่วชีวิต ตั้งแต่คุณพ่อจากไป คนที่ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้งก็คือคุณหลวงนที ชายหนุ่มนัยน์ตาคมที่อยู่ตรงหน้านี้เอง
“ข้าวยาคูนี่ เห็นว่าน้องทำเองหรือ กานพลู อร่อยมากทีเดียว หากจะขอให้น้องทำใส่ปิ่นโตให้พี่ไปว่าราชการคราวหน้า น้องจะยินดีหรือไม่”
“น้องยินดีเสมอ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณพี่ชอบใจ”
ดวงตาใสสุกสกาวที่ไม่ว่าใครได้มองก็ต้องหลงคิดไปว่าเป็นดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งหรือมิฉะนั้นก็คงเป็นบุหลันดวงนวลในยามค่ำคืนทอดมองไปที่คุณหลวงนทีพร้อมกับส่งรอยยิ้มแสนหวานให้คนตรงหน้า นทีทอดมองดวงหน้าสีแดงระเรื่อแสนน่ารักที่เขาเฝ้าดูทุกวันอย่างรักใคร่ หากกานพลูจะรู้ใจเขาบ้างคงจะดีไม่น้อย แรกเริ่มเดิมทีที่แค่เพียงได้เห็นร่างบางนั่งเล่นอยู่ที่ริมสระบัว ก็ตราตรึงใจเขามิรู้ลืม ยิ่งรู้ว่ากานพลูโดนรังแกอยู่เสมอเขาก็ยิ่งอยากจะปกป้องเด็กน้อยให้พ้นจากสิ่งอันตรายทั้งปวง ทั้งทางกายและทางใจ
.
.
วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๐ เด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ประจำวัน สยามประกาศตัวเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ากับอังกฤษและฝรั่งเศสแล้วหลังจากถูกประเทศมหาอำนาจทั้งสองกดดันให้เลือกข้างมาเนิ่นนานหลังจากวางตัวเป็นกลางถึงสามปี บรรดาชาวประเทศฝ่ายอักษะอันได้แก่เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีที่อาศัยอยู่ในสยามจำต้องระเห็จระเหเร่ร่อนออกจากประเทศไปหรือไม่ก็โดนจับเป็นเชลย
“สงครามในยุโรปร้ายแรงนัก เห็นท่าจะแย่เสียแล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยพลันขมวดคิ้วเป็นปม นัยน์ตาที่สดใสแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกหลังจากได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ อีกเสียงหนึ่งจึงว่าตามมา
“ในพระนครก็ดูจะยังสงบอยู่ถึงแม้ว่าในหลวงจะทรงประกาศเลือกข้างแล้ว แต่น้องได้คุยกับเจ๊กหยงเมื่อเช้า เห็นเขาว่าห้างของพวกเยอรมันถูกปิดหมด จริงหรือคุณพี่”
“ใช่ ตอนนี้นายห้างเยอรมันถูกจับตัวเป็นเชลยหมด เพราะสยามประกาศเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร สินค้าของพวกเยอรมันถูกยึดหมด อีกสองวันต่อจากนี้พี่ต้องไปดูของที่ถูกยึดและเจรจาแทนพระองค์เจ้ากฤษดา ห้างของท่านรับสินค้ามาจากเยอรมันทั้งหมด พี่เป็นข้าพระบาทท่าน คงต้องเจรจาอย่างสุดความสามารถที่สุด”
“ขอให้คุณพี่เจรจาเป็นผล น้องจะรอให้กำลังใจคุณที่อยู่ที่นี่เสมอ”
คุณหลวงนทีหยุดเดินอยู่ที่ตรงกลางสะพานไม้สีขาวริมสระบัวทันทีที่สิ้นเสียงใส กานพลูส่งสายตาสงสัยเป็นนัยถาคนพี่ว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือไม่จากคำพูดของเขาเมื่อครู่ นทีแย้มยิ้ม ส่งแววตาหวานซึ้งให้คนตรงหน้า นัยน์ตาคมขลับฉายแววระริก
“น้องพูดจริงหรือ”
“ไม่รู้จะโกหกคุณพี่ไปทำกระไร”
ร่างบางเอ่ยพลันก้มหน้าหลบสายตาบุรุษที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา เพียงเสี้ยววินาทีที่สบตา หัวใจดวงน้อยของกานพลูเต้นแรงไม่เป็นระส่ำ ร่ำร้องเพียงแต่จะหาคุณหลวงนทีอยู่ร่ำไป
“คุณแม่พี่ชอบดอกบัวมาก พี่ก็ชอบเช่นกัน บ้านเราจึงมีสระบัวให้น้องได้ชมอย่างนี้..” มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงสแลคสีน้ำตาลเข้มรับกับสูทตัวนอกสีเดียวกันตามแบบยุโรป วัตถุสีนากในมือคุณหลวงระยิบระยับรับกับแสงแดดที่อ่อนๆทาบทอลงมา
“สร้อยคอรูปดอกบัวเส้นนี้ คุณแม่มอบให้พี่ตั้งแต่ยังเล็ก พี่เก็บติดตัวอยู่เสมอยามอยู่ไกลบ้าน กานพลู พี่มอบให้น้องเก็บรักษามันไว้แทนพี่ ให้เป็นเหมือนตัวแทนของพี่ที่จะอยู่กับน้องทุกเวลา ขอให้น้องเข้มแข็งและอดทนไม่ว่าจะต้องประสบกับอะไรก็ตาม แล้วพี่จะกลับมาดูแลนะ กานพลูของพี่ พี่จะรอวันที่เราได้เจอกันอีกครั้งที่นี่ ริมสระบัวของเรา”
“น้องจะรอคุณพี่เสมอไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
.
.
ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่คุณหลวงนทีต้องไปว่าราชการและเจรจากับทางการเรื่องสินค้านำเข้าที่ถูกยึด แต่ก็ไร้วี่แววว่าจะมีข่าวสารใดส่งมาถึงที่บ้านให้ได้รู้สารทุกข์สุขดิบ กานพลูไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักวัน ด้วยว่าเป็นห่วงนทีจับหัวใจ ทุกยามค่ำคืนได้แต่เฝ้ารอนับเวลาให้ถึงวันพรุ่งไวๆเพื่อที่อาจจะมีข่าวคราวของเขาส่งมาบ้าง แต่วันแล้ววันเล่าก็ยังว่างเปล่า
จนเมื่อในเช้าของสัปดาห์ที่สามที่คุณหลวงนทีจากบ้านไป โทรเลขได้มาถึงมือของท่านผู้หญิงราชภัลลภ มีใจความว่า ‘คุณหลวงถูกส่งไปอินเดีย’ ร่างแบบบางของท่านผู้หญิงล้มลงทันควันราวกับเอนอ่อนไปตามแรงลมโชยที่พัดมาเข้ามาทางหน้าต่าง เหล่าบรรดาข้ารับใช้รวมถึงกานพลูต้องรีบช่วยกันตามหมอมาตรวจ
หัวใจดวงน้อยของกานพลูสลายลงไปกับตาเมื่อรู้ข่าว คุณหลวงนทีถูกส่งไปค่ายกักกันเชลยที่โชลาปูร์ ประเทศอินเดีย ข้อหาเป็นกบฏเข้ากับข้างเยอรมัน พร้อมกับชาวเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีอีกนับพัน ได้เพียงแต่ภาวนาให้คุณหลวงปลอดภัยและได้กลับมาหาเขาตามสัญญาที่ได้เคยให้ไว้ มือบางกำจี้รูปดอกบัวฝังทับทิมสีแดงสดและเพชรเม็ดเล็กๆไว้แน่น คุณพี่นทีเป็นเหมือนหัวใจของกานพลูดอกน้อยที่บอบบางไม่ต่างจากกลีบดอกบัวสีนวล ในช่วงเวลาอันแสนยากลำบากและทรมานถึงเพียงนี้ เขาเป็นดั่งน้ำทิพย์โชลมใจ เป็นวีรบุรุษที่ฉุดรั้งบัวในตมให้ชูช่อออกดอกสวยงาม คุณหลวงเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวสำหรับกานพลู รักแรกและรักเดียวที่เขาจะไม่มีวันเปลี่ยน
.
.
วันแล้ววันเล่าที่เจ้าดอกกานพลูบุบสลายลงเรื่อยๆ กำลังใจที่มีช่างเหลือน้อยเต็มที ความหวังที่ริบหรี่ก็ยิ่งมืดลงเมื่อเวลาผ่านไปแรมปียังคงไม่ได้ข่าวคราวคุณหลวงเลยแม้เพียงน้อย กระนั้น หัวใจรักของกานพลูเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงแข็งแรงเสมออย่างที่เขาเคยเอ่ยวาจาเอาไว้ และต่อให้เหลือความหวังเพียงเท่าแสงหิ่งห้อย กานพลูก็จะรอบุรุษผู้เป็นที่รักให้กลับมา กลับมาดูแลหัวใจตามสัญญาที่เคยให้กัน สะพานไม้สีขาวริมสระบัวเปรียบเสมือนสถานที่แห่งความหวังและคำสัญญา เป็นที่ที่กานพลูมานั่งรอพบคุณหลวงทุกวันดั่งที่ได้เคยเอื้อนเอ่ยคำมั่น เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท เรียกร้องถึงแต่คุณหลวงนทีอยู่มิคลาย ร่างบางทอดมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา หวังเพียงสักวันจะมองเห็นว่าบุรุษผู้เป็นที่รักนั้นอยู่แห่งหนใด และแม้จะพยายามอดกลั้นเพียงใดก็มิอาจทนได้ นัยน์ตาใสบัดนี้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ทรมาน หากจากเป็นหรือจากตายต่อกันก็ยังดีเสียกว่าที่ไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ส่วนคนที่รอก็รังแต่จะทรมานเท่านั้น
กานพลูเห็นเงาไหวไปมาตรงทางเดินสะพานลางๆ ตากลมที่เอ่อไปด้วยน้ำตากระพริบถี่ๆเพื่อให้มองเห็นเงานั้นชัดขึ้น ร่างสูงของคนที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาใกล้จนหยุดตรงหน้า นั่งลงข้างร่างบาง มือหนาของเจ้าตัวเอื้อมไปเช็ดน้ำหน้าให้อย่างแผ่วเบาและอบอุ่น เขาไม่รู้ว่านี่คือความจริงหรือความฝัน หากแต่ความรู้สึกร้อนผะแผ่วที่หน้าและทั่วทั้งร่างกายทำให้คนตัวเล็กรู้ว่ามันไม่ใช่เพียงฝันหรือละเมอ แต่คุณหลวงนทีอยู่ตรงนี้ ที่นี่ กับกานพลูแล้วจริงๆ แขนแกร่งโอบรอบกาย ลูบไปมาอย่างปลอบประโลม
“พี่กลับมาแล้ว ตามสัญญาที่ให้ไว้ ไม่ต้องร้องแล้วนะ”
“คิดว่าคุณพี่จะทิ้งน้องไปเสียแล้ว”
“พี่ไม่มีวันทิ้งน้องไปไหนได้ หัวใจของพี่อยู่ที่นี่ อย่างไงก็ต้องกลับมาดูแล ลูกผู้ชายราชภัลลภพูดแล้วไม่คืนคำ อย่างที่กำลังจะบอกอยู่ตอนนี้ ว่าพี่รักกานพลู รักหมดหัวใจ”
“น้องก็รักคุณพี่อย่างที่ไม่มีวันจะเลิกรัก สร้อยดอกบัวอันนี้น้องเก็บมันไว้อย่างดี มันคอยย้ำเตือนว่าคุณพี่ช่วยดึงน้องขึ้นมาจากดินให้บานสะพรั่งอย่างงดงาม รอวันคุณพี่กลับมา”
สองร่างโอบกอดแนบชิดกันท่างกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่ทอลงมาฉาบทาทั่วทั้งสะพานสีขาวให้กลายเป็นสีเดียวกับแสงอาทิตย์ยามเย็น น้ำในสระบัวระยับรับกับดวงตะวันพร้อมทั้งดอกบัวทุกดอกที่บานสะพรั่งราวกับกำลังยินดี นทีมองคนในอ้อมกอดอย่างทนุถนอม สันจมูกคมทาบทับลงบนแก้มใสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอ่ยคำรักที่เขาเก็บไว้ในใจมาแสนนาน แต่หากแม้จะไม่เอ่ยคำใด กานพลูก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขารักอยู่เพียงใด รักตั้งแต่แรกเห็น อยากปกป้องและดูแลไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หลังจากที่สงครามสงบ นทีรีบกลับมาที่บ้านเพราะรู้ดีว่าจดหมายที่ส่งกลับมาที่บ้านไม่เคยมาถึงสักฉบับ และตัวเขาเองก็เป็นกังวลเรื่องของกานพลูยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด บัดนี้คนตัวเล็กอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ต่างจากดอกบัวในสระที่ยังคงบานสะพรั่งอยู่มิคลาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in