วิมานเหมันต์ (๒๔๙๕)
Theme song: ชั่วฟ้าดินสลาย – ศรีไศล สุชาติวุฒิ
กลิ่นดอกแก้วเจ้าจอมหอมตลบอบอวลไปทั่ววังสราญฤดีในเพลาสาย กอปรกับดวงอรุณที่ส่องแสงทองอร่ามท่ามกลางลมหนาวแรกของปี ทำให้สวนหย่อมเล็กๆ บัดนี้น่าพิศมัยยิ่งนัก ไม่รู้ได้ว่าเป็นเพราะดอกแก้วเจ้าจอมสีม่วงสดใส หรือเพราะดวงหน้าน่ารักที่กำลังเพ่งพินิจข้อความในหนังสือเล่มโปรด “วิมานลอย” กันแน่
วังสราญฤดี ตึกสไตล์โคโลเนียลสีไข่ไก่ที่ประดับประดาไปด้วยลวดลายฉลุตามขอบประตู หน้าต่าง หลังคา หรือกระทั่งช่องลมเล็กๆ มีสวนหย่อมเล็กๆไว้สำหรับนั่งพักผ่อน เดินเล่น หรือในยามที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจิบน้ำชา ซึ่งปลูกทั้งพันธุ์ไม้หายาก พันธุ์ไม้ดอก และพืชสวนครัวไว้สำหรับทำอาหารและขนมชาววังสูตรเฉพาะของวังสราญฤดี ทีเด็ดของสวนหย่อมนี้ เห็นทีจะเป็นศาลาสีขาวสะอาดตา ไว้สำหรับทั้งรับแขกและให้เจ้าบ้านได้พักผ่อนกายา ลมเย็นๆโชยอ่อนพัดพากลิ่นดอกแก้วเจ้าจอมหรือ “น้ำปรุงฝรั่ง” ให้อวลในศาลา หนังสือพิมพ์บนโต๊ะไหวเบาๆตามแรงลม จั่วหัวสยามนิกร วันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕
หม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ สราญฤดี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนสุดท้องของพระองค์เจ้าเกษมสโมสร สราญฤดี บุคลิกน่าเอ็นดูไม่แพ้หน้าตา แม้เป็นบุรุษแต่ก็ทรงการบ้านการเรือนได้ทุกอย่างไม่แพ้สตรีใดในวัง การเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตั้งแต่น้อย กอปรกับมีพี่สาวและพี่ชายคอยเอาใจ ไม่พ้นที่ท่านชายนริศจะทรงเอาแต่พระทัยและแก่นแก้วไปบ้าง
“พี่ช้อย วันนี้เด็จพ่อเด็จที่ไหนหรือ” เสียงใสเจื้อยแจ้วเอ่ยตามสาวรับใช้คนสนิท
“เสด็จวังอรุณวงศ์เพคะฝ่าบาท”
“วังอรุณวงศ์หรือ เคยได้ยินชื่อไม่”
“แน่แท้เพคะ ที่เสด็จไม่เคยเสด็จวังอรุณวงศ์เพราะไม่มีเหตุอันควรจะไป แต่ครานี้เห็นมีเหตุสมควร หม่อมฉันทราบมาว่าหม่อมๆที่วังนู้นแทบจะไม่อยู่วัง นั่งเรือบินไปกลับอังกฤษไทยเสียบ่อย เขาว่าไปเยี่ยมลูกชายที่เรียนอังกฤษเพคะ แต่ตอนนี้สองคุณชายกลับมา วังอรุณวงศ์เตรียมจัดงานต้อนรับเสียใหญ่โต” สาวใช้เล่าไปพลางจัดดอกไม้อยู่ที่พื้นศาลาสีขาวกลางสวนหย่อมวังสราญฤดี ส่วนเจ้านายหล่อนผละสายตาจากหนังสือเล่มหนา หยิบขนมจ่ามงกุฎสูตรเฉพาะวังสราญฤดีเข้าพระโอษฐ์
“งั้นหรือ แล้วนริศต้องไปกับเด็จพ่ออีกไหม”
“ไปซีเพคะ อย่างไรเสด็จก็ต้องรับสั่งให้ท่านชายไปด้วย”
“นริศไม่เห็นใคร่รู้จักคุณชาย คุณหญิง คุณอะไรต่อมิอะไร วังนั่นก็ด้วย”
“คุณชายวังนั้นท่านสวยโก้ทั้งสองคน กลับมาจากอังกฤษเห็นว่าเริ่มงานตำแหน่งใหญ่โตทีเดียว คนพี่เข้ากระทรวงคมนาคม คนน้องเข้ากระทรวงต่างประเทศ นริศไม่อยากไปรู้จักพี่ๆเขาเสียล่ะ” เสียงหวานจากพี่สาวคนโต หม่อมเจ้าวิมลรตี สวมชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวสะอาดตา หน้าตาสะสวย ฝีมือทำขนมเป็นเลิศ มิหนำซ้ำยังเป็นพระคู่หมั้นในเสด็จในกรม เยื้องกรายร่างผอมบางเข้ามานั่งเคียงประทับข้างน้องชายในศาลา
“ได้ยินนริศคุยกับพี่ช้อยด้วยหรือ พี่รตี”
“ได้ยินซีจ๊ะ พี่แน่ะรู้ดีว่าน้องคนเล็กของพี่เบื่อหน่ายออกงานสังคมเต็มแก่” มือบางเอื้อมไปลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดู หยิบผ้าพันคอลายสวยที่เจ้าตัวถักเองมาพันให้ด้วย “อดทนเสียเถิด เด็จพ่อรักเรามากจึงอยากพาเราให้ใครเขาดูกันทั่ว ถือเป็นตัวแทนพี่ๆแล้วกันนะจ๊ะ ในวังนี้เห็นจะมีแต่น้องเท่านั้นล่ะ ที่พูดภาษาฝรั่งเก่งที่สุด”
ดวงตาใสหลุบต่ำลง สุรเสียงเรียบนิ่ง “นริศเข้าใจ”
.
.
บ่ายแก่ๆวันนั้น เหล่าราชนิกุลวังสราญฤดีประทับกันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารในห้องรับแขกเล็ก เสวยขนมช่อม่วงสูตรใหม่จากท่านหญิงรตี บ่าวรับใช้พร้อมกันหน้าประตูทางเข้าห้องรับแขกเล็ก รอรับใช้ตามพระบัญชาของหม่อมทุกๆองค์
“แน่ะช่อม่วงนี่อร่อยเหมือนเคย” เสียงทุ้มของท่านชายองค์กลางแห่งวังสราญฤดี หม่อมเจ้าปรีดียากานต์ เสืออากาศแห่งกองทัพไทย เอ่ยชมขนมช่อม่วงของพี่สาวไม่ขาดปาก
“ค่อยๆซีจ๊ะ ขนมไม่หนีไปไหนดอก” ท่านหญิงเอ็ด “วันนี้อยู่เสวยสำรับเย็นกับเด็จพ่อนะปรีดี ประเดี๋ยวพี่จะบอกให้คนจัดเผื่อ อย่าเหลวล่ะ”
“อ้าว เย็นนี้หม่อมมีนัดแล้วท่านหญิง ขอเชิญท่านหญิงกับท่านชายอยู่เหวยกันเองเถิดกระหม่อม” ท่านชายปรีดีปฏิเสธด้วยสุรเสียงติดขี้เล่น เอาตัวรอดจากสำรับมื้อเย็นกับเด็จพ่อ เรื่องที่จะตรัสเห็นทีไม่พ้นเรื่องเสกสมรส
“นัดที่ไหน ไนต์คลับอีกหรือ” เสียงใสเอ่ยถามพี่ชาย ท่านชายปรีดียักคิ้วให้แล้วรับสั่ง “ไปด้วยกันไหมล่ะกระหม่อม”
“เห็นทีว่ามิได้ คืนนี้นริศต้องอยู่เตรียมตัวไปงานสโมสรค่ำพรุ่งนี้” ท่านหญิงรตีตอบแทนน้องชาย รับสั่งเสียงเข้ม เป็นอันรู้กันว่ามิควรขัดหรือเถียงต่ออีก หม่อมเจ้าปรีดียากานต์ยักไหล่ หันไปมองหน้าน้องชายคนเล็กอย่างอ่อนใจ ส่งซิกให้กรายๆว่า “ทำใจเสียเถิด”
อันที่จริงท่านชายนริศก็มิได้โปรดปรานไนต์คลับกระไรนั่น เพียงแต่ไม่เคยได้ออกไปไหนเลยเท่านั้น ส่วนพี่ๆยังได้ทำอะไรต่อมิอะไรตามใจตน เหลือเพียงแต่เขาที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ท่านหญิงรตีแม้จะใจดีและรักน้องมาก กระนั้นก็ไม่เคยเข้าใจในตัวเขาจริงๆเสียที มีเพียงพี่ชายคนรองที่คอยชวนไปไหนต่อไหนเท่าที่จะไปได้เพราะสงสารน้อง แต่รายนั้นก็อยู่ไม่ค่อยจะติดวังเท่าใดนัก จึงทำให้นริศรู้สึกเหงา และในช่วงนี้เหงาเป็นพิเศษ หากตัดฐานันดรศักดิ์ออกไป เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบเก้าคนหนึ่งเท่านั้น
หม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ ชันษาสิบเก้าปี ไม่เคยมีเพื่อนสนิท ไม่เคยไปเต้นรำที่สโมสรอย่างวัยรุ่นคนอื่น ไม่เคยไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง ไม่เคยแม้แต่ไปโรงเรียน วังสราญฤดีเป็นโรงเรียนเดียวที่ท่านชายนริศรู้จัก แม้จะได้รับการศึกษาจากครูที่เก่งที่สุดในทุกๆแขนง กระนั้นเขาไม่เคยรู้จักคำว่าเพื่อน มีเพียงพี่สาว พี่ชาย คนรับใช้ และหนังสือเท่านั้นที่ท่านชายตัวน้อยรู้จัก ด้วยรูปงามและปฏิภาณไหวพริบ ท่านชายนริศเปรียบเสมือนตัวแทนของวังสราญฤดี ออกงานสังคมต่างๆแทบทุกวัน ไปกับพระองค์เจ้าเกษมสโมสรบ้าง ไปด้วยองค์เองบ้าง หากตีเป็นชั่วโมงทำงานที่ได้สตางค์เห็นทีจะรวยล้นฟ้าเสียกระมัง
“ฝ่าบาท หม่อมจะเข้าไปนะ”
เสียงตะโกนคุ้นเคยที่หน้าประตูทำให้นริศผละจากภวังค์ และทันทีที่เสียงเงียบลงเจ้าตัวก็มายืนอยู่ในห้องเขาเสียแล้ว ปานหายตัวได้
“พี่ปรีดีก็ชอบแกล้งอยู่ได้ บอกแล้วมิใช่หรือไม่ต้องเรียกน้องฝ่าบาท ไปเรียกพี่รตีโน่น ใครอยากเป็นกันล่ะฝ่าบาท” นริศขมวดคิ้วยุ่ง หันหน้าเข้าโต๊ะทรงอักษรแล้วเอ่ย “พี่ปรีดีมีธุระกระไร”
“เอ้อเฮอ ห่างกันเดี๋ยวเดียวไม่กี่วัน น้องรักของพี่พูดจาเหินห่างอย่างนี้เชียว ต้องมีธุระพี่ถึงจะมาหาน้องได้หรือ” ท่านชายปรีดีขยับองค์เข้าใกล้น้องชายตัวเล็ก “เอาเถิด นริศ พี่รู้ว่าน้องอึดอัด หากน้องโตขึ้นอีกหน่อยเด็จพ่ออาจประทานอนุญาตให้ไปที่อื่นได้บ้าง พี่จะลองช่วยพูดเหมือนเคย”
“น้องโตป่านนี้ หากจะมีกระเปลี่ยนคงจะเปลี่ยนไปเสียนานแล้ว เห็นทีน้องจะอยู่เฝ้าวังไปจนตาย ตายไปก็ยังเป็นผีเฝ้าวัง”
“อย่างนี้ดีไหม คืนนี้โมงครึ่งพี่จะพาไปดูหนัง น้องเตรียมตัวกระไรเสร็จก็ปีนหน้าต่างลงมา พี่จะรอรับด้านล่าง ดูหนังเสร็จแล้วเราไปกินไอศกรีมกันต่อค่อยกลับวัง” ท่านชายปรีดีเสนอความคิดพิลึกพิลั่น อย่างที่นริศไม่เคยนึกถึงมาก่อน กระนั้นดูเข้าท่าดี ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง!แต่เมื่อนึกได้ถึงบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อบ่ายแก่วันนี้ ก็ได้รับสั่งถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงฉงน “เอ พี่ปรีดีมีนัดที่ไนต์คลับมิใช่หรือ”
“ไนต์คลับกระไรกันล่ะ พี่แค่เบื่อที่จะฟังเด็จพ่อรับสั่งเรื่องเสกสมรสเต็มแก่ ปดไปอย่างนั้นล่ะ”
“วิเศษ! นริศจะไปดูหนังกับพี่ปรีดี ศาลาเฉลิมกรุงใช่ไหม รอแทบไม่ไหวไม่เคยลองไปสักที เห็นแต่ภายนอกเวลานั่งรถผ่านเห็นมีคนแยะ ดูท่าทางโก้เต็มไปหมด แล้วเราจะไปกินไอศกรีมที่ไหนกัน” ดวงหน้าน่ารักเปลี่ยนสีกลายเป็นระเรื่อด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาแวววาวสั่นระริก ท่านชายปรีดีคลี่ยิ้มบางให้น้องชาย เอื้อมแขนแกร่งปิดหน้าต่างบานใหญ่ยามลมเย็นพัดโชยเข้ามา
“รอดูก็แล้วกัน อากาศเย็นอย่างนี้เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยเล่า ประเดี๋ยวเป็นกระไรไปจะโดนเอ็ด พี่ไปก่อน แล้วพบกันตามเวลานะฝ่าบาท”
คืนวันนั้นนริศตื่นเต้นเป็นพิเศษ ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มาแสนนานจนจำไม่ได้ว่าคราวสุดท้ายที่รู้สึกคือตอนไหน นึกขอบพระทัยท่านชายปรีดีนักที่ยังเมตตาสงสารน้อง เห็นทีนริศคนนี้จะน่าสงสารเหลือทนจนพี่ชายต้องยอมเสี่ยงถึงเพียงนี้ หากเด็จพ่อหรือแม้แต่พี่รตีรู้เข้าคงมิแคล้วโดนไล่ตะเพิดออกจากวังเป็นแน่ ครั้นแต่งตัวเสร็จดูเวลาโมงครึ่งแล้วก็ชะโงกไปดูนอกหน้าต่าง เห็นท่านชายปรีดีโบกมือไหวๆอยู่ข้างล่าง ข้างๆบันไดยาวที่พาดมาตรงหน้าต่างห้องพอดิบพอดี เจ้าตัวเล็กหลับตาปี๋ กลั้นหายใจ เพียงอึดใจเดียวเท้าก็เหยียบพื้นดิน เห็นคนงานสองคนวิ่งเหยาะๆมายกบันไดไป
ร่างบางกระชับเสื้อคลุมตัวนอกยามรถยนต์คาดิลแลคสีแดงชาดเปิดประทุนคันโก้เคลื่อนที่ออกไป พระนครยามค่ำคืนสวยงามไร้ที่ติ โดยเฉพาะคืนนี้ที่นริศรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตากลมจ้องมองทิวทัศน์รอบกายไปเรื่อยๆจนรถมาหยุดจอดที่หน้าศาลาเฉลิมกรุง โรงหนังที่เป็นศูนย์รวมผู้คนมากหน้าหลายตา หม่อมเจ้าปรีดีก้าวฉับไปซื้อตั๋ว นริศสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงแยะทีเดียวที่มองตามหลังพี่ชาย หนุ่มสังคมพระนครเป็นอย่างนี้ดอกหรือ เขานึกขันในใจ
“เท่าไหร่พี่ปรีดี” เสียงใสเอ่ยถาม
“คนละ ๓ บาท ๕๐ เที่ยวนี้ต้องนั่งข้างล่างกันล่ะ หนังรอบดึกวันนี้คนแยะ ทีแรกพี่จะพาไปนั่งข้างบน”
“นั่งที่ไหนได้ทั้งนั้น ยืนก็ยังได้”
สองพี่น้องพากันเดินขึ้นไปที่โรงหนัง ค่ำนี้ศาลาเฉลิมกรุงฉายเรื่อง “โรมรำลึก” นริศตื่นเต้นไม่เคยดูหนังมาก่อน จึงดูเพลินและรู้สึกไม่อยากให้หนังจบในตลอดเวลาที่หนังฉายอยู่บนจอ
พอหนังเลิก ท่านชายปรีดีพบปะพระสหายเป็นโขยงที่นริศไม่รู้จักสักคน คุยกับคนโน้นทีคนนี้ที ร่างเล็กเฝ้ามองดูพี่ชาย รู้สึกอิจฉาเล็กๆในใจที่ท่านชายปรีดีมีแต่คนรู้จัก มีเพื่อนแยะ หากเขาได้มีเพื่อนสักคนบ้างคงจะดีไม่น้อย คิดเพลินๆขาเรียวก็ก้าวลงบันไดไปพลาง เคราะห์ไม่ดีเท่าใดที่พลาดเหยียบไม่โดนขั้นถัดไปจนเกือบล้มหน้าคะมำ แต่หาล้มหน้าคะมำได้ไม่ เพราะมีหนึ่งแขนแกร่งโอบรับรอบวรกายผอมบางได้ทันการ พลันพักตร์สีระเรื่อดูน่ารักก็ซบลงที่ไหล่กว้างพอดิบพอดี สายตาสองคู่สอดประสานอยู่ในห้วงภวังค์เล็กๆ นัยน์ตาสุกสกาวระยิบเหมือนดาวทั้งจักรวาลของคนในอ้อมกอดตรงหน้าช่างตรึงใจชายหนุ่มให้มองลึกเข้าไป ครั้นคนตัวเล็กรู้สึกตัวก็รีบผละออกก่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว “ขอโทษ... และขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นกระไรใช่ไหม” เสียงทุ้มไม่ได้ตอบรับ หากแต่ซักแทนคำตอบ
“ไม่ครับ คุณล่ะ”
“ไม่ดอก คราวหน้าก็เดินระวัง ประเดี๋ยวล้มคว่ำไปจะไม่งาม” รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าคมคาย ดูเย็นชาในบางทีแต่ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก “ดึกแล้ว มาคนเดียวหรือ ไปส่งเอาไหมล่ะ”
นริศคิดว่าเขาคงเห็นว่าตนดูเด็กกว่ามาก จึงพูดจาเป็นกันเองเหลือเกิน แต่ก็อบอุ่นพิลึก เจ้าตัวจึงตัดสินใจจะปิดบังฐานันดรที่แท้จริง “มากับพี่ชาย กำลังจะกลับครับ ขอบคุณ”
“โอ๋ยโย๋ ฉันมาคนเดียว ยังไม่รู้จักใคร คิดว่าจะได้เพื่อนใหม่เสียแล้ว เห็นทีต้องกลับคนเดียวตามเดิม” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกระแอมเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วเธอชื่ออะไรเล่า”
“เอ่อ ชื่อ.. ชื่อนริศครับ แล้วคุณ..” ชายหนุ่มตรงหน้ายังไม่ได้ตอบกระไรจนคำเดียว ก็มีเสียงตะโกนแทรกเข้ามาในโสตประสาทของนริศ
“ชะอ้าว คุณชายประพัทธ์ ได้ยินข่าวว่ากลับมาจากอังกฤษ ไม่เจอเสียนานโตเป็นหนุ่มแทบจำไม่ได้”
“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า ผมกลับมาได้สักสองสามวันเห็นทีต้องปรับตัวอีกมาก คุณลุงคุณป้าสบายดีหรือครับ”
“คนแก่เจ็บบ้างออดแอด แน่ะ คุณชาย ไว้เจอกันอีกทีที่งานเลี้ยงวังอรุณวงศ์แล้วกัน ลุงกับป้าง่วงเหลือเกิน แก่แล้วคราวหน้าเห็นทีออกไปไหนค่ำมืดไม่ไหว ฝากความคิดถึงท่านพ่อด้วย”
หม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ที่ตอนนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆชื่อนริศ จ้องมองคุณชายประพัทธ์แห่งวังอรุณวงศ์อยู่เสียเป็นนาน ครั้นคุณชายหันกลับมามอง ดวงหน้าน่ารักก็แสร้งพิศไปทางอื่น คุณชายก้าวขายาวลงมาขั้นบันไดที่ต่ำกว่านริศ มองดูหน้าเขาอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “คำตอบตามที่เธอถามเมื่อครู่ ฉันต้องกลับเสียที หากมีโอกาสขอให้ได้พบกันอีก นริศ”
.
.
.
เวลาสองยาม ท่านชายนริศบรรทมไม่หลับ มองเพดานที่สว่างเพราะแสงจันทร์ไปมา ไม่รู้ได้ว่าที่นอนไม่หลับนั้นเป็นเพราะอากาศเย็นในหน้าหนาว หรือเป็นเพราะดวงหน้าแสนตรึงใจของคุณชายประพัทธ์กันแน่ ราชกุลก็ฟังดูคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ศีรษะน้อยๆสั่นไปมาราวกับอยากให้ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวหลุดออกไป แต่พยายามเท่าใดก็ยากเหลือเกิน คิดอยู่ทั้งคืนจนในที่สุดก็บรรทมหลับไป
.
รุ่งสาง ณ วังสราญฤดีอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกแก้วเจ้าจอมเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้ช่างหอมเป็นพิเศษสำหรับนริศ และหนาวเป็นพิเศษเพียงแค่ลมอ่อนๆโชยพัดมา ร่างบางคลี่ยิ้มน้อยๆโดยมิรู้สาเหตุ แก้มใสขึ้นสีระเรื่ออ่อนๆกำลังน่ารัก สรงน้ำเสร็จก็ลงไปเสวยเช้ากับบรรดาหม่อม กิจวัตรเป็นไปดั่งเช่นทุกวัน แต่ที่แปลกไปคือใจดวงน้อยของท่านชายที่มีความรู้สึกประหลาดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..
บนโต๊ะเสวยเช้า ณ วังสราญฤดีในเช้าวันเสาร์ อากาศสดชื่นในเหมันตฤดู กระนั้นก็ยังมีแสงแดดรำไรชวนให้อบอุ่น หม่อมทุกองค์ประทับกันพร้อมหน้า เครื่องเสวยวันนี้มีแกงมัสมั่นหอมกรุ่น แสร้งว่ากุ้ง และล่าเตียง ส่วนสำรับหวานมีรังนก และสังขยาหน้าไข่
“พรุ่งนี้ค่ำๆ วังอรุณวงศ์มีงานราตรี ลูกไม่ลืมใช่ไหม นริศ” พระองค์เจ้าเกษมสโมสรรับสั่ง คลี่ยิ้มบางให้ลูกชายคนเล็ก
“ไม่ลืมพะยะค่ะเด็จพ่อ” เสียงใสตอบรับ เสวยสังขยาหน้าไข่ไปพลาง
“แน่ะ นริศ เสวยสำรับคาวอิ่มแล้วหรือ เหวยสังขยาเสียแล้ว” หม่อมเจ้าวิมลรตีรับสั่งถามน้องชาย
“อิ่มแล้วครับ พี่รตี เห็นทีต้องขอตัวไปอ่านหนังสือเสียก่อน มีกระไรก็ให้คนไปตามน้องแล้วกัน” ร่างเล็กเดินฉับออกไปจากห้องเสวย ท่านชายปรีดีเห็นท่าทีแปลกประหลาดของน้องเล็กจึงคิดไปว่าคงเป็นเพราะไม่อยากไปงานราตรีสโมสรกับเด็จพ่อในวันพรุ่งนี้อีกตามเคย จึงแสร้งสร้างบรรยากาศในห้องเสวยให้พระองค์เจ้าเกษมสโมสรกับหม่อมเจ้าหญิงวิมลรตีได้เบนความสนใจจากนริศไปเสีย
กระนั้นเห็นทีท่านชายปรีดีจะคิดผิด หม่อมเจ้านริศราฯอยากไปงานสโมสรเสียจนใจแทบขาด เมื่อระลึกขึ้นมาได้ว่าวังอรุณวงศ์นั้นเป็นของใคร พักตร์งามของชายหนุ่มที่พบเมื่อคืนยังคงตรึงใจมิรู้คลาย “คุณชายประพัทธ์ อรุณวงศ์” หากแต่อีกใจหนึ่งก็กังวลเหลือคณาที่ไม่รู้จะบอกคุณชายอย่างไรว่าตัวเข้าแท้จริงแล้วเป็นถึงหม่อมเจ้าชายแห่งวังสราญฤดี วังใหญ่ขนาดสามตึกติดกันที่มุมหัวถนนสุโขทัย
.
.
.
วังอรุณวงศ์ ตึกใหญ่ตั้งตระหง่านแสนวิลิศมาหราใจกลางถนนเพชรบุรี ตึกสีฟ้าอ่อนตัดกับลายฉลุไม้สีขาวรอบตัวตึก ฝั่งปีกซ้ายเพิ่มเสาแบบศิลปะกรีกตรงประตูทางเข้า และยังมีรูปปั้นรูปเทวดาคิวปิดสไตล์ยุคบาโรกตั้งอยู่กลางบ่อน้ำพุหน้าวัง ลวดลายต่างๆ ของประดับ และเครื่องเรือนในตัววังก็ล้วนแล้วแต่เป็นของราคาแพงนำเข้าจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าเรือนได้ดีทีเดียว
หน้าวังและตัววังขณะนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ล้วนแล้วแต่เป็นราชนิกุลชนชั้นสูง หรือไม่ก็พ่อค้าวาณิชย์ระดับมหาเศรษฐีพระนครที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกันทั้งสิ้น รวมถึงพระองค์เจ้าเกษมสโมสรและหม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ด้วย วันนี้นริศใส่ชุดสูทพอดีตัวสีน้ำตาลอ่อน เชิ้ตตัวในเป็นสีขาว ทรงผมเรียบแปล้เนี้ยบสมเป็นหม่อมเจ้าชายรูปงามแห่งวังสราญฤดี แม้เป็นงานราตรีสโมสรที่ดูช่างครื้นเครง กระนั้นใจของนริศกลับกระวนกระวายนัก หรือนี่จะเป็นความรู้สึกที่ภาษาฝรั่งเขาว่า “มีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง” กันแน่
นัยน์ตากลมใสเฝ้ามองหาบุรุษที่อยู่วนเวียนในใจเขามาตั้งแต่คืนนั้น ที่ศาลาเฉลิมกรุง และฟ้าช่างเป็นใจให้คุณชายประพัทธ์ อรุณวงศ์ ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเขา ณ บัดนี้ ร่างสูงโปร่งยิ้มร่าเมื่อมองเห็นเด็กหนุ่มตัวน้อยที่มีนัยน์ตาระยิบราวกับบรรจุดาวเป็นล้านดวง สรรพสิ่รอบกายพลันนิ่งงันไปเสียครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยทัก
“นริศจริงหรือ จำฉันได้ใช่ไหม”
“จำได้สิครับ คุณชายประพัทธ์” รอยยิ้มบางๆระบายบนใบหน้าหวาน น่ารักจนคนมองต้องหลบสายตา
“มาที่นี่ด้วยหรือ เธอมากับใครล่ะ ฉันรู้จักไหม บ้านเธอนามสกุลกระไร” คุณชายซัก คนตัวเล็กกระแอมเบาๆแล้วตอบ “เอ่อ นามสกุล.. นริศ กิจพานิชย์ครับ”
“ฉันเห็นรู้จักไม่ แล้วครอบครัวเธอทำธุรกิจกระไรเล่า เผื่อฉันจะได้แวะไปสักหน่อย”
“ขายยาจีน ที่ราชวงศ์ครับ ผมอยากไปห้องน้ำสักหน่อย ขอตัวประเดี๋ยวนะคุณชาย” ร่างบางทำท่าจะเดินออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนตรงหน้า แต่ก็โดนมือหนาดึงแขนไว้เสียก่อน
“ฉันพาไปแล้วกัน บ้านฉัน ต้องต้อนรับแขกให้ดี แน่ะ แล้วเรียกฉันว่าพี่ชายพัทธ์ก็ดี ไม่ต้องพิธีรีตองกระไรดอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ พี่ชายพัทธ์”
ปีกซ้ายของตึกใหญ่วังอรุณวงศ์ เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของคุณชายประพัทธ์ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องพักผ่อนหย่อนใจ และห้องหนังสือ ส่วนปีกขวาเป็นของน้องชาย คุณชายปราโมทย์ อรุณวงศ์ หลังนั่งคุยกันเสียพักใหญ่ รับประทานอาหาร และเต้นรำจนเบื่อ คุณชายประพัทธ์ก็พาเด็กหนุ่มลูกพ่อค้าเชื้อสายจีนเข้ามาที่พักผ่อนส่วนตัวของเขา ทั้งคุณชายพัทธ์และนริศต่างคิดว่าทั้งคู่เข้ากันได้ดีมาก ในหลายๆเรื่องก็คุยกันได้อย่างถูกคอ นริศเป็นเด็กฉลาด มีความรู้มาก แม้ไม่เคยไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศเหมือนกันกับคุณชาย แต่ก็เฉลียวฉลาด ไหวพริบดี ทั้งกริยามารยาทงาม หน้าตายังแสนจะน่ารักและเอ็นดู
นริศเดินดูทั่วห้องหนังสืออย่างสนใจ จนคุณชายเอ่ยปากถาม “ชอบอ่านหนังสือมากหรือ”
“ครับ ที่บ้านก็มีแยะเทียว แต่เห็นจะไม่เท่าทีนี่” เสียงใสเจื้อยแจ้วตอบพลางกวาดสายตามองไปรอบๆชั้นหนังสือ
“ระหว่างเต้นรำกับอ่านหนังสือเล่า ชอบกะไรมากกว่า”
“เห็นทีเลือกไม่ได้ อาจมีสิ่งที่ชอบมากกว่า แต่นริศเคยได้ทำไม่ ส่วนใหญ่อ่านหนังสือและเต้นรำเวลาออกงานสังคม”
“แล้วนริศอยากทำกระไร ลองบอกพี่ซี”
“อยากลองไปตีเทนนิส เต้นรำที่สโมสรหรือไม่ก็ไนต์คลับ อยากไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุงอีก นริศเคยไปแค่หนเดียว” ร่างบางตอบ เปิดดูหนังสือเล่มที่เลือกมาไปพลาง คุณชายขยับเข้ามาใกล้แล้วถามคำถามแปลกพิลึก
“ถ้าอย่างนั้นไปกันไหมล่ะ”
“ตอนนี้หรือครับ”
“ก็ใช่ซี ไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหนเล่า งานที่วังเห็นทีอีกนานโข พี่เบื่อแล้ว น้องไม่เบื่อหรือ”
“นริศอยากไป แต่เสด็.. เอ้ย คุณพ่อจะเอ็ดเอา” สีหน้ากังวลหากแต่ซ่อนแววตาเป็นกายเอาไว้ จ้องมองคุณชายอย่างเป็นนัยน์ๆว่าต้องการความช่วยเหลือ
“ไปเถิด หากมีกระไรเกิดขึ้นพี่จะรับผิดเอง อย่ากลัวเลย”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็ซ่อนความกังวลไว้ภายใน แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจคัดค้านหัวใจตัวเองได้ คุณชายประพัทธ์กำลังตกหลุมรักเสียแล้ว กับคนตัวเล็กตรงหน้าที่ทำเขาเก็บไปฝันเพ้ออยู่ได้เป็นหลายวัน และในวันนี้ฟ้าก็ดูช่างเป็นใจให้ได้มาพบเจอกับนริศอีก แล้วมีเหตุผลกระไรอีกเล่าที่จะไม่ใช้เวลาที่มีในวันนี้ให้คุ้มค่า ถ้าหากพ้นคืนนี้ไป เขากับนริศอาจไม่ได้พบกันอีกก็ได้
รถยนต์เบนลี่สีดำเป็นมันเคลื่อนที่ออกจากวังอรุณวงศ์ มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาเฉลิมกรุงย่านวังบูรพาภิรมย์ตามประสงค์ของนริศที่อยากจะไปดูหนังอีกสักหน คืนนี้ศาลาเฉลิมกรุงฉายเรื่องนางนาคพระโขนง
“หนที่แล้วหนังสนุกที่สุด นริศชอบมาก โดยเฉพาะนางเอกที่เล่นเป็นปริ๊นเซสแอน พี่ชายพัทธ์ชอบไหม” เสียงเจื้อยแจ้วซักระหว่างทั้งสองกำลังเดินขึ้นบันไดไปที่โรงฉายหนัง
“ชอบซี ออเดรย์ เฮปเบิร์น ดาราฮอลลีวูดหน้าใหม่ หนังสนุกดี”
“เสียดายจบไม่แฮปปี้เอนดิ้ง เพราะพระเอกมารู้ทีหลังว่านางเอกเป็นเจ้าหญิง…” เสียงใสยังคงเจื้อยแจ้วเจรจา กระทั่งมือหนากอบกุมมือบางเอาไว้ ใจดวงน้อยๆสั่นไหว สมองขาวโพลนราวกับจะล้มวูบเสียตรงนั้นให้ได้ “จับมือพี่ไว้เถิด คนแยะประเดี๋ยวจะหลงกัน”
เหตุผลที่ว่ามานั้นหาใช่ความจริงไม่ เพียงแต่หม่อมราชวงศ์ประพัทธ์แทบจะทนไม่ไหวเมื่อได้อยู่ใกล้คนตรงหน้า ได้เห็นใบหน้าแสนน่ารักนี้แบบที่เข้าไม่เคยได้เห็นจากที่ไหน เพียงแค่พิศมองดูชั่วครู่ก็ติดตรึงไปชัวนิรันดร์
.
.
กว่าหนังจะเลิกเป็นเวลาสี่ทุ่ม รถเบนลี่ของคุณชายประพัทธ์ก็มาจอดเทียบที่ไนต์คลับ ย่านราชดำเนิน ร่างสูงจูงมือคนตัวเล็กข้างกายเข้าไปนั่งที่โต๊ะ สั่งเครื่องดื่ม และพอเพลงโปรดเล่นก็ออกไปเต้นรำกลางฟลอร์ ทั้งจังหวะบีกิน วอลซ์ จนไปถึงชะชะช่า เพลิดเพลินจนลืมเวลาเสียสิ้น ทุกจังหวะที่สองร่างโอบกอดกัน เลือดในกายชายหนุ่มพลันร้อนรุ่ม อยากสัมผัสให้นานกว่านี้ ในเมื่อเขาก็รู้ดีว่านริศรู้สึกเหมือนกัน กระนั้นความเป็นสุภาพบุรุษของคุณชายประพัทธ์ก็ห้ามเขาไว้จากความคิดทุกๆสิ่ง พาคนตัวเล็กนั่งพักและดื่มน้ำ
“เหนื่อยหรือยัง ขากลับพี่จะพาแวะที่หนึ่ง”
“เหนื่อยครับ กลับบ้านตอนนี้โดนคุณพ่อเอ็ดแน่ จะทำอย่างไรดี”
“พี่ก็เหมือนกัน ค่อยคิดแล้วกัน ตอนนี้ขึ้นรถก่อนเถิด”
.
.
สนามหลวงยามสามนี้ มีเพียงแค่รถยนต์เบนลี่สีดำขลับคันเดียวจอดอยู่ ส่วนสองร่างบัดนี้นั่งบนพื้นหญ้ามองดาวน้อยใหญ่และพระจันทร์สีทองอร่าม แสงจันทร์กระทบผิวกายเนียนละเอียด ชวนให้คนมองต้องขยับมือหนาไปสัมผัสทีแก้มใส ดวงตากลมป๊องช้อนมองชายหนุ่มข้างกาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ราวกับความฝันที่ทั้งคู่ไม่อยากให้หายไป ร่างสูงถอดเสื้อคลุมตัวนอกห่มให้นริศพลางกระชับให้แน่นพอดีตัวร่างเล็กข้างกาย อากาศหนาวคืนนี้ไม่เหงาเลย เพียงแค่มีกันก็สุขหัวใจ
คุณชายประพัทธ์โน้มตัวเข้าใกล้คนข้างกาย มือหนายังคงครอบครองแก้มนุ่มอยู่ไม่วาง ครั้นยิ่งขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กก็ยิ่งโน้มตัวหนี แขนแกร่งโอบรอบร่างบางเหมือนกับคราแรกที่ได้เจอ ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงนริศให้เข้ามาใกล้ ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจผะแผ่ว ร่างสูงทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา ไล้มาที่สันจมูกโด่ง จนถึงริมฝีปากอิ่ม นุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างที่นริศไม่เคยได้รับมาก่อน และในคืนเหมันต์นี้ ทั้งคู่ก็ได้มอบหัวใจให้แก่กันอย่างสมบูรณ์
หากแต่เรื่องราวคงไม่แฮปปี้เอนดิ้งอย่างง่ายดาย เมื่อเวลาที่แสนสุขสมได้หมดลง เสียงโวยเอ็ดตะโรดังมาจากอีกฟาก หันมองไปก็เห็นเป็นพระองค์เจ้าเกษมสโมสร หม่อมเจ้าวิมลรตี และหม่อมเจ้าปรีดียากานต์ เสด็จมาตามหม่อมคนสุดท้องถึงสนามหลวงแห่งนี้ ในเวลายามสาม ทันทีที่เห็นและพอจะปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ คุณชายประพัทธ์ก็รู้ได้ทันทีว่าเขานั้นช่างบังอาจเสียจริงที่พาตัวหม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ออกมาไกลจากวังสราญฤดีถึงเพียงนี้...
.
.
.
เป็นเวลาแรมเดือนที่หม่อมเจ้านริศราฯเทียวไปเทียวมาที่วังอรุณวงศ์เพื่อมาขอพบกับคุณชายประพัทธ์ หากแต่เขาหลบเลี่ยงเสีย ไม่ยอมพูดกระไรด้วยแม้จนคำเดียว ร้อนถึงหม่อมเจ้าทั้งสองผู้เป็นบิดาและมารดาต้องขอร้องแกมบังคับให้เขาออกไปพบกับท่านชายนริศ และในทันทีที่เห็นร่างสูงที่คุ้นเคยเดินออกมาจากตึกวังอรุณวงศ์ น้ำตาใสร่วงหล่นแทบจะในทันที ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคนที่เขาคิดถึงสุดหัวใจ
“พี่ชายพัทธ์จะโกรธนริศก็ย่อมได้ จะด่า จะว่า หรือทำกระไรก็สุดแล้วแต่ ขอเพียงอย่างเดียว พี่ชายอย่าเกลียดน้อง เพราะหากเป็นเช่นนั้น น้องก็คงเหมือนตายทั้งเป็น”
“แล้วหม่อมไม่เหมือนตายทั้งเป็นดอกหรือ ที่ฝ่าบาททรงเห็นว่าหม่อมเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในความสนุกของฝ่าบาทเท่านั้น”
“น้องไม่เคยคิดว่าพี่ชายเป็นสิ่งของ หรือเป็นกระไรอย่างที่ว่า สำหรับน้องแล้ว พี่ชายคือคนสำคัญ สำคัญที่สุด..” ร่างบางโผเข้ากอดบุรุษตรงหน้าผู้เป็นทั้งดวงใจ พลันซบพักตร์ลงบนแผ่นหลังกว้างแสนคุ้นเคย แต่ไม่อบอุ่นเหมือนที่เก่า พี่ชายพัทธ์ที่ใจดีคนนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงคุณชายประพัทธ์ที่ไม่เคยรู้จักหม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ผู้สูงศักดิ์แม้เพียงสักนิด
“ความผิดน้องน่าละอาย หากแต่น้องมาขอเพียงความเห็นใจ ถ้าพี่ชายยังจำได้ว่าเราเคยรู้สึกอย่างไรต่อกัน... เพราะในวันนี้น้องตั้งใจจริงเพื่อจะมาบอกพี่ชายว่า นริศคนนี้รักพี่ชายพัทธ์ รักเหลือเกิน รักแบบที่ทั้งชีวิตไม่เคยมอบหัวใจให้ใคร นอกจากพี่ชายพัทธ์เพียงคนเดียว” เสียงสะอื้นกอปรกับร่างน้อยที่สั่นสะท้านไปทั้งตัวพาให้หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบ หม่อมราชวงศ์ประพัทธ์ อรุณวงศ์คนนี้ จะใจร้ายกับเด็กน้อยได้ลงคอเชียวหรือ ดวงหน้าน่ารักยามรอยยิ้มสดใสประดับบนหน้า นัยน์ตาระยับที่ทำให้เขาตกหลุมตั้งแต่แรกเจอ ทุกอย่างที่ประกอบรวมกันเป็นคนคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่นริศ คนธรรมดาคนหนึ่ง หรือจะเป็นหม่อมเจ้านริศรากัลยาณกิติ์ก็คือคนที่เขารักสุดหัวใจ
“หากหม่อมจะขอกระไรสักอย่าง มันคงจะไม่มากไปใช่ไหมฝ่าบาท” ร่างสูงผละออกช้าๆ หันหน้ามาหาท่านชายนริศที่หัวใจแทบสลายอยู่ตรงหน้าเขา
“หากหม่อมจะขอทูลในฐานะพี่ชายพัทธ์กับนริศ ไม่ใช่ในฐานะหม่อมราชวงศ์ต่ำต้อยกับหม่อมเจ้าผู้สูงส่ง...” หัวใจของนริศแหลกสลาย เขากำลังร้องไห้ไปทั้งหัวใจ ยอมรับกับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
“...ว่าพี่รักนริศ รักเหลือเกิน รักจนเมื่อรู้ว่าน้องเป็นใครพี่ก็รู้นับแต่นาทีนั้นว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะดินจะไม่มีวันได้ดึงฟ้ามาแปดเปื้อน พี่ไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยมาก่อนในชีวิตจนรู้ว่าตัวเองบังอาจไปรักใคร”
“แต่พี่ชายรู้ไหม ทั้งชีวิตนริศไม่เคยอยากเกิดมาเป็นหม่อมเจ้า หรือหม่อมกระไรทั้งนั้น อยากเป็นแต่เพียงคนคนหนึ่งที่ได้รักใครสักคนอย่างสุดหัวใจ..” นริศเพิ่งเคยรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ครั้นจะพยายามพูดให้จบ แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ทนไม่ไหว จนต้องหยุดพักเสียก่อน “..นริศจะยอมทุกอย่าง เพียงขอให้พี่ชายกลับมารักกันเหมือนเดิม น้องจะยอมสละฐานันดรและทรัพย์สมบัติทุกอย่าง ขอแค่พี่ชายอยู่กับน้อง รักน้องไปนานๆ ขอแค่บอกสักคำว่าพี่ชายจะอยู่ น้องจะไม่ไปไหนเลย”
“พี่จะอยู่รักนริศ รักไปจนชีวิตจะหาไม่ เราจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ถึงแม้จะไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใด ขอเพียงใจเรามีกันและกันตลอดไป แต่งงานกับพี่นะคนดี”
.
.
ดอกแก้วเจ้าจอมหอมอวลกลิ่นไปทั่วในเหมันตฤดู ลมเย็นพัดกระทบผิวกายแผ่วเบา กระนั้นก็อ่อนโยน หากหมดฤดูหนาวนี้ไป ดอกแก้วเจ้าจอมจะร่วงหล่นจนหมดพร้อมที่จะผลัดใบในฤดูใหม่ที่จะกำลังย่างกรายเข้ามาแทนที่ แต่หัวใจของประพัทธ์ จะมีนริศคนนี้ที่เป็นดั่งแก้วเจ้าจอมของเขาไปตราบนิจนิรันดร์
ชั่วดินฟ้ารักเธอ เสมอใจ ที่ฉันรำพัน ทุกวันฝันไปถึงเธอ
อยากให้เธอหวานใจ อยู่ใกล้พรอดรัก ร้อยเรียง ร่วมเคล้าเคียง ฉันและเธอ
ก่อนเข้านอน ฉันวอน ฝันไป เพ้อครวญภาพรักหลอน ให้ชวนละเมอ
อยากให้เป็นของเธอ ชั่วฟ้าดินได้ อย่ามี อันใดพรากไป ไกลกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in