แม้จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง แต่โชคดีที่เราแทบไม่มีอาการ jet lag ในวันถัดไปเลย ถึงจะโชคดีเรื่องนี้แต่เรื่องปรับตัวกับสภาพอากาศที่นี่คือไม่รอดนะ เราดันมาถึงที่นี่ในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูจากฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวพอดี ช่วงสัปดาห์แรกที่มาถึงที่นี่เราก็หนีไม่พ้นอาการเจ็บคออย่างรุนแรงถึงขนาดเสียงแหบแห้งแถมกลืนอะไรแทบไม่ลงอีก หวัดก็มี คัดจมูกอะไรก็มาหมด ด้วยความสงสัยว่าจะติดโควิดรึเปล่า เราจึงทำการตรวจโดยใช้ ATK ที่เราพกมาจากไทย นับว่ายังโชคดีที่เดินทางบนเครื่องบินนานข้ามวันข้ามคืนถึง 30 ชม. แถมเปลี่ยนสนามบินเยอะขนาดนี้แต่ก็ยังรอดจากโควิดมาได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าการใส่ mask ตลอดเวลาที่บินตั้งแต่ไทยมาจนถึงอเมริกาในช่วงนี้เป็นอะไรที่ลำบากมากจริงๆ
อากาศที่นี่ค่อนข้างแปรปรวนมาก บางวันหนาว บางวันหนาวมาก ช่วงที่เรามาถึงอุณหภูมิจะอยู่ที่เลขตัวเดียวตลอด บางวันก็ติดลบ คงไม่แปลกถ้าเราจะป่วยได้ง่ายๆ
กว่าจะหายป่วยก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์ และกว่าจะปรับตัวให้ชินกับอากาศหนาวและแห้งของที่นี่ได้ก็ปาเข้าไปเป็นเดือนเหมือนกัน ช่วงเดือนแรกไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่รู้สึกหนาวจนสั่น ถึงแม้เราจะประโคมใส่เสื้อกี่ชั้นรวมถึงใส่หมวกไหมพรมแล้วก็เถอะ ก็เหมือนจะยังเอาไม่อยู่กับอากาศสุดโหดของที่นี่ ยิ่งช่วงเข้าฤดูหนาว บางวันหนาวกว่าแคนาดาเลยก็มี
นี่คือวิวหลังบ้านเราช่วงที่เรามาถึง ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มและกำลังจะร่วงโรยต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เป็นวิวที่เราตื่นมาเจอแล้วอยากนั่งมองบ่อยๆ
เราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่สวนสัตว์ที่ดังและใหญ่ที่สุดใน Nebraska เรายังได้ยินมาอีกว่าที่นี่ติด Top 5 ของสวนสัตว์ระดับโลกด้วย พอมาเห็นกับตาก็อาจจะจริง เพราะที่นี่ใหญ่มาก เดินวันเดียวก็ไม่หมด ที่เห็นในภาพนั่นคือโดมแก้วขนาดใหญ่สำหรับสัตว์เขตทะเลทราย ด้านในร้อนใช้ได้ แตกต่างจากอากาศที่หนาวเย็นข้างนอกมาก
นี่เป็นด้านนอกของอควาเรียมที่เรากำลังจะเข้าไปชมโลกใต้น้ำกัน ตัวอควาเรียมก็ใหญ่ไม่แพ้โดมแก้วเลยทีเดียว
ส่วนตัวเราค่อนข้างประทับใจในความอลังการของอควาเรียมที่นี่จริงๆ อุโมงค์ใต้น้ำที่นี่ใหญ่และยาวเกินพอที่จะให้เราเพลินเพลินกับบรรดาสัตว์น้ำจนลืมเวลาราวกับหลงมา
อยู่อีกมิตินึงยังไงยังงั้น เราไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงติดหนึ่งใน Top 5 ของโลก
หลังจากเดินในอควาเรียมอยู่นานเราก็ได้ไปดูสัตว์อีกสองสามแห่ง ถ้าจะเดินให้หมดสวนสัตว์จริงๆเราคงได้ขาลากแน่ วันเดียวไม่พอสำหรับที่นี่จริงๆ ใครได้มา Nebraska อย่าลืมมาแวะเยี่ยมชมความอลังการของสวนสัตว์แห่งนี้กันได้นะ
เข้าใกล้เดือนธันวาคมก็เข้าใกล้ Christmas เข้าไปทุกที
host family เลยพาเรามาซื้อต้นสนไปประดับบ้านซะหน่อย แต่ซื้อแบบธรรมดาได้ซะที่ไหน นี่เป็นการซื้อต้นสนแบบมาตัดเอง ใช่ค่ะ มาตัดเอง ทุกคนอ่านไม่ผิด ครั้งแรกที่ host ทั้งสองบอกเรา เราก็ยังคิดว่าล้อเล่น แต่นี่เป็นเรื่องที่ปกติสำหรับคนที่นี่เลยก็ว่าได้
เมื่อเราไปถึงฟาร์มที่ปลูกต้นสนสำหรับขายในช่วงก่อน Christmas นั้น เราก็ต้องตกใจกับจำนวนผู้คนที่ต่างพากันมาเลือกซื้อเลือกตัดต้นสนจริงประหนึ่งช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้ายังไงยังงั้น
ทุกคนต่างพาลูกๆหลานๆมาช่วยกันเลือกต้นสนที่จะนำไปประดับในเทศกาลอันแสนสำคัญนี้อย่างร่าเริง
เลื่อยพร้อม คนพร้อม ก็จัดการตัดๆเจ้าต้นสนขนาดต่างๆตั้งแต่ต้นที่สูงเมตรกว่าๆไปยันสองเมตรกว่าๆ ส่วน host เรานั้นเลือกต้นที่สูงเกือบๆสองเมตรได้ พอใส่สแตนเข้าไปก็สูงเกือบติดเพดานบ้านเลยทีเดียว ภาพด้านบนคือเลื่อยต้นสนที่ต้องการเสร็จก็เอามาวัดส่วนสูงและคิดราคาค่าตัวต้นสนที่ตัดมา
ต้นสนที่ถูกตัดก็จะถูกลำเลียงลงมาด้านล่างเขาที่ปลูกต้นสน อาคารที่หน้าตาเหมือนกระท่อมนั้นก็คือที่พัก
และรับรองลูกค้าที่เหน็ดเหนื่อยและต้องทนหนาวตอนตัดต้นสนด้วยตัวเอง ด้านในอาคารจะมีเครื่องดื่มอุ่นๆเล็กๆน้อยๆให้ดื่มฟรีด้วย
สิ่งที่ดูเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ดูเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเราไม่ใช่น้อย จะเรียกว่าเป็น Culture Shock นิดๆก็ว่าได้ ด้านบนคือภาพที่ทุกคนขนต้นสนขึ้นรถหลังจากที่เจ้าต้นสนทั้งหลายถูกห่อด้วยตาข่ายอย่างแน่นหนา
เพืี่อรักษาสภาพของต้นสนไว้ไม่ให้หักหรือพังซะก่อนได้ใช้งานจริงระหว่างถูกขนส่งบนหลังคารถตามภาพที่เห็น
นี่คือภาพที่ทุกคนจะเห็นได้ในช่วงเข้าฤดูหนาวและใบไม้ร่วงจากต้นไม้เกือบหมดทุกต้น เป็นภาพที่ทำให้เรานึกถึงภาพในอัลบั้ม Evermore ของ Taylor Swift ตลอด และก็อดไม่ได้ที่บรรดาเพลงในอัลบั้มนั้นของ Taylor จะวนเข้ามาในหัวเราอย่างซ้ำๆทุกครั้งที่ผ่านวิวทิวทัศน์ข้างทางแบบนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in