CHAPTER V
Tell me where is fancy bred.
ผู้คนหลากไหลเป็นฝูงแกะถูกไล่ต้อน โรงละครคลาคล่ำคละชนชั้นยศถาบรรดาศักดิ์และสาบเสื้อเนื้อผ้าย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขุนนางชนชั้นสูงไม่บางตา ชนชั้นล่างก็หนาตาไม่แพ้ ที่นี่คือสรวงสวรรค์สำหรับผู้คนที่อยากสังสรรค์รื่นรมย์โดยปราศจากการแบ่งแยกราคาและฐานกำเนิดชีวิต
ที่นี่วุ่นวายราวกับคอกสัตว์ และมันเป็นอย่างที่คุณว่าไว้ไม่มีผิด อะไรก็ตามที่ทำให้ความนึกคิดของผมแบกสังขารมาถึงที่นี่ราวกับถูกบันดล ข้อกังขาหรือใดใด แม้ผมจะมาหวนตระหนักตนเอาถึงตอนนี้ บุหรี่มอดไหม้ไม่เหลือเศษซาก มันจวนสายไปเสียแล้ว กายปรารถนาและเจตจำนงอันเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นมอบเส้นทางเพื่อจุดประสงค์ความทรงจำพิศวาสชวนวอดวายตัวตนของผมนี้ ณ ยามสนธยาอาทิตย์อัสดง
ผู้คนอัตคัดไม่เว้นว่าง อัฒจันทร์เหนือหัวผู้ชมด้านล่างย่อมเป็นเช่นนั้นไม่มีอันใดแตกต่าง แสงไฟกระจ่างวูบไหว ไชล็อก อันโตนิโย บัสสานิโยและปอร์เซีย เหล่าตัวละครผู้ดำเนินและสรรค์สร้างเรื่องราวเมืองเวนิสอย่างราบรื่น เสียงสนทนาคนรอบข้างและเสียงสนธนาอันหวานฉ่ำของสองคู่รัก บัสสานิโยและปอร์เซีย
ตัวผมยังคงเฝ้ามองหาคุณอยู่เรื่อยมา หวังความบังเอิญที่ชะตาจะบันดลให้พบเจอ คุณนั้นอยู่ที่ใด ตัวผมอยู่ที่นี่
“The quality of mercy is not strain'd,
It droppeth as the gentle rain from heaven[1]”
[อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน]
อนึ่งคือความวายวุ่น แต่ทุนเดิมคือวอดวาย อาทิตย์อัสดงสิ้นสุดสนธยา ลอนดอนหลับใหล แจ็คอาจจะกำลังเคลื่อนไหวแต่ที่นี่กำลังสังสรรค์ ผมสลายตนเข้าไปในบทบาท พึมพำบทละครพ้องกันเคล้าคลอเป็นเสียงกระซิบ เมื่อความพยาบาทอาฆาตแค้นของไชล็อกพร่ำเพ้อถึงกฎหมายให้นึกสังเวชปรากฏที่ลานเวที ที่นั่งฝั่งซ้ายไม่มีผู้ใดหมายปอง ความว่างเปล่าและความเยือกเย็นจึงครอบครองไปโดยสมบูรณ์ เพดานผืนรัตติกาลพร่างพราวดวงดาวระยับ ผมเงยหน้ามองและยังคงพูดบทละครที่ดำเนินด้วยมันสมองนี้ที่จดจำได้ ไร้เลือดเนื้อใดใดหยดลงสู่แดนดิน ไชล็อกจึงสิ้นใจอาฆาตเมื่อมาถึงทางตัน หมดหนทางการสานใจประสงค์แก้แค้นนี้ และวินาทีเมื่อจรดดวงตาบนกลีบม่านแดง ผมพบเจอ
สการ์เล็ต
ริชาร์ด สมิธ คุณอยู่ที่นี่และยังมองตรงมา
ผมแทบจะฉุดให้ตัวเองนั่งเอาไว้ไม่อยู่ ดวงใจกระตุกวูบราวกับทำหล่นหายไปชั่วขณะ ความเย็นยะเยือกแปรผันเป็นความรุ่นร้อนจนซอกสังขารต่างซับเหงื่อ เป็นดั่งผืนดินทั่วทั้งที่แห่งนี้และผู้คนลุกเป็นเพลิงไฟที่คล้ายจะไม่มีวันดับสูญ ทุกสิ่งอันเป็นปัจเจกที่ปรากฏในครรลองตาผม เป็นจังหวะเดียวกันที่คนทั้งหมดเริ่มจรดจดจ้องไปที่ลานเวทีกันอย่างตื่นตา เว้นไว้หนึ่งซึ่งคือผม นัยน์ตานั้นไม่เหมือนใครอื่น ความวอดวายเช่นนั้นหลังม่านแดงไม่มีผิดเพี้ยนไปจากเขาอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ
ในตอนซึ่งไร้โซ่ตรวน ก้นบึ้งแห่งคุกซึ่งเคยกักขังบางอย่างกลับปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระในชั่วอึดใจ ผมฉุดลุกขึ้นยืนทันใดแต่เมื่อมองศาลปอร์เซียผ่านไป หลังม่านแดงกลับไม่ปรากฏนัยน์ตาสีแดงอันวอดวายนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมกระวนกระวายเกินกว่าใครในที่แห่งนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดใส่ใจความผิดแปลกนี้หรอก ผมใคร่รู้ผมใคร่หา จึงกลายเป็นว่ายืนอยู่เช่นนั้นอย่างเนิ่นนาน ผมสมควรนั่งได้แล้ว แต่ไม่ ผมกล่าวขออภัยคนด้านหลังและเดินออกมา
การตามหาไล่ทุกสายตาไปตามแนวโค้งอัฒจันทร์และเหล่าบรรดาผู้คนมากมายที่ชั้นล่าง การที่ผมไม่เดินสะดุดเข้ากับขาของใครสักคน นั่นถือว่าโชคเข้าข้างเหลือเกินแต่เกินไป นั้นกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนตนกำลังตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ทั้งที่เคยมีอยู่และเห็นมันกับตา ทุกฝีก้าวล้วนพาลแต่จะทำให้ไฟพิศวาสในใจมอดดับลงทีไปละน้อย
ฝีเท้าผ่อนแผ่ว ลมหายใจสะเทือนอก
ความวายวุ่นปริวิตกอันหนักอึ้งราวกับโลกทั้งใบแบกไว้บนบ่า ชักนำพาให้ผมลากสังขารนี้เดินมาถึงหลังโรงละครแต่กลับไม่พบสิ่งใด มีแต่แสงไฟที่เล็ดลอด เศษขยะและความว่างเปล่าพกพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่เป็นของกำนัลฤดูหนาวทิ้งไว้เพื่อย้ำเตือนว่าจะหวนคืนมา คลอเคล้าเสียงป่าอันวังเวง เศษกิ่งก้าน การเสียดสีของใบไม้ แต่เพราะเหตุใดผมจึงสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่คล้ายกำลังจะบอกบางอย่างว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว
“Tell me where is fancy bred.[2]”
เสียงกระซิบกระซาบอันวาบหวิว สิ่งที่แตะสัมผัสหลังใบหูคือความเร่าร้อนของลมหายใจ สัญชาตญาณอันปราดเปรื่องและว่องไวคว้ามีดที่เก็บซ่อนขึ้นมาถือไว้อย่างมั่นหมาย แสงจันทราประทับทาบสะท้อนสีเงินคมกริบบนสันมีด ผู้มาจากที่ใดคนนั้นเกร็งคอระหงด้วยความพรั่นพรึง ถึงกระนั้น ก็ยังคงกรีดรอยยิ้มแสนพิสดารออกมา “Reply, reply. Charlie Reed” ผมสีบลอนด์หม่นแสง นัยน์ตาสีแดงในคืนราตรีเป็นดั่งสีไวน์ ตอบเอย ตอบถ้อย ล้วนแล้วเป็นเพียงเสียงกระซิบพริ้งเพลิด
“เป็นคุณ...”
“...เป็นผม” ริชาร์ด สมิธ ผู้มาอย่างย่องเบาก็คือคุณ “สัญชาตญาณของคุณ ยอดเยี่ยมจนน่าตกใจ”
“ฝีเท้าคุณช่างเบา”
“งั้นหรอกหรือ” คุณตอบและแถมยังช่างปั้นหน้าออกมาได้เป็นปกติดีเลิศสิ้นดี ทว่าแม้สัมผัสเยือกเย็นของใบมีดยังจรดที่คออยู่เช่นนั้น “ผมจะถือว่านั่นคือคำชม”
“ฆาตกรล้วนฝีเท้าเบา คุณรู้เรื่องนั้นดีใช่หรือไม่”
ริชาร์ด ในคราบของความพิกลพิสดาร คุณนั้นช่างหาญกล้าเหลือเกิน ผมนับถือ คุณยกมือตนขึ้นมาแตะสัมผัสแผ่วเบาบนข้อมือของผมออกแรงผลักไสขับไล่ให้ออกห่างจากตนอย่างไม่หวั่นกลัว “ชาร์ลี คุณกำลังระแวงผมรึ”
เพียงแค่เขาเอ่ยผมก็สั่นไหว “ผมกำลังจะฆ่าคุณต่างหาก” ผมหยุด “เกือบจะฆ่าคุณ”
เขายิ้มหัวเราะและเงียบไปสักพัก จรดนัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างไม่กริ่งเกรงราวกับมั่นใจ ว่าต่อให้เหลือเศษขนมปังเพียงชิ้นเดียว ผมก็จะไม่มีทางฆ่าเขาให้สูญสิ้น “เป็นเกียรติของผมแล้ว ที่เกือบตายด้วยน้ำมือคุณ ชาร์ลี” เมื่อนั้น ถ้อยคำพึลึกพิลั่นของคุณซึ่งผมโปรดปรานเหลือเกินที่จะยลยิน ทำให้ผมยอมจำนน ลดมือลงแต่โดยดี “คุณมาที่นี่ทำไม มาทำอะไรรึ” ริชาร์ดไม่รอช้า ถึงพูดต่อ “เพราะบนอัฒจันทร์คุณดูเหม่อลอยไปไกล”
คุณกลับเห็นผมมาตลอดและนั่นทำให้ผมแปลกใจ ไยผมจึงสัมผัสถึงดวงตาที่จดจ้องมาไม่ได้เลยสักนิดเดียว “ก็แค่มาเท่านั้น” ซึ่งแม้แต่ผมก็ไม่แน่นักว่าตอบไปตามความจริง
“อ้อ...หรอกรึ แล้วหลังจากวันนั้น คุณไปอยู่ที่ไหนมา”
“คุณกำลังคิดว่าผมจะบอกที่อยู่ให้คนอื่นพร่ำเพรื่อเหรอ”
“ชาร์ลี อย่างเราถือว่ายังเป็นคนแปลกหน้าอยู่เหรอ” ริชาร์ดก้าวขึ้นมาข้างหน้าครึ่งก้าว ระยะห่างจึงกลายเป็นลมหายใจสัมผัสถึงกันและกัน “ทำไมคุณดูระแวงผมเหลือเกิน ผิดจากวันนั้น” นัยน์ตาคู่นั้นสั่นไหวราวกับพินิจพิจารณา “ชาร์ลี คุณไม่ใช่เพื่อนผมเหรอ”
“สมิธ ตอบคำถามผมมาข้อเดียว”
คุณเงียบไปสักพัก “ว่าอย่างไร”
“คุณคือแจ็ค เดอะ ริปเปอร์หรือไม่”
ทุกสิ่งราวกับเป็นใจ เสมือนดั่งฟ้าสวรรค์บันดลให้กาลเวลาหยุดนิ่งและตาย ให้โลกใบนี้วอดวายสูญสิ้นไปจนเกินจะเยียวยาให้หวนคืนศตวรรษใหม่ เว้นแต่เราที่ยังคงดำรงท่ามกลางความฉิบหายและหมดสิ้น รอยยิ้มอันซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความพิศวาส ผมจดจ้อง ริชาร์ดนิ่ง ผิดเพี้ยนกับดวงใจในอกของผม คุณไม่เอ่ยสิ่งใดจนกระทั่งวินาทีนี้
“หากผมตอบว่าใช่ คุณจะฆ่าผมไหม”
ผมมาที่นี่ในฐานะอะไร ผมย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างไร้คำอธิบาย กลุ่มก้อนงานรื่นรมย์เฉกเช่นนี้เหมาะแก่การพรางตัวตามครรลองของฆาตกรและหาเหยื่อในรายถัดไป ปาดคอ คว้านท้อง ชำแหละสมองและคว้านเอากระดูกลิ่มผีเสื้ออันงดงามไป นั่นคือสิ่งที่แจ็คพึงกระทำโดยชอบและผมมีลางสังหรณ์ ว่ามันจะเกิดขึ้นที่นี่ ที่โรงละครโกลบของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใดและหนักหนายิ่งกว่าถึงขั้นที่มิอาจสรรหาคำเพื่อสาธยายให้ผู้คนดาษดื่นเข้าใจได้ ศพนี้ตายมาแล้วกี่ชั่วโมง ผมหยั่งรู้ กะโหลกศีรษะนั้นเป็นของสตรีหรือบุรุษ ผมตอบได้ อายุร้อยหรือพันปีของเศษซากที่ถูกทับถม นั่นง่ายดายผิดกับการอธิบายว่าอะไรจมใต้ก้นบึ้ง ผมจึงหลงใหลปนเปกับความสงสัยในตัวริชาร์ด การที่เขาเป็นแจ็คหรือไม่นั่น ผมจำเป็นต้องพิสูจน์สักวิถีทาง
“แล้วคุณประสงค์แบบนั้นรึ” ผมถาม
“หากผมคือแจ็คอย่างที่คุณว่าแล้ว ตัวผมจะยังคงเป็นริชาร์ด สมิธเพื่อนของคุณอยู่หรือไม่ คุณนักสืบ”
ผมเงียบไป คุณนิ่งงันและสุดท้ายเราทั้งคู่ต่างก็เงียบไป เสียงของผู้คนในโรงละครหวีดหวิวพกพร้อมมากับสายลมวสันต์ ถึงกระนั้น เราก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมเหมือนดั่งวินาทีก่อนไม่มีผิดเพี้ยนไป เราที่หมายถึงแค่เรา คุณและผม เราเพียงสบตาแต่เราเงียบและเรากลายเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกบางสิ่งหลอมรวมใต้ฟ้ารัตติกาล ซีกใบหน้าริชาร์ดสลับสว่างและดำมืด แสงไฟที่เล็ดลอดตกกระทบให้ดวงตาเขากระจ่างจับประกาย มันกลายเป็นสีเพลิงที่อาจสันดาปเขย่าขวัญผู้คน แผดเผาเมืองนี้ให้กลายดินแดนฉิบหายไม่ต่างจากสงคราม ในทางกลับกัน ซีกที่คล้ายจะมืดบอดเสมือนดุจดั่งสีของไวน์ไม่มีวันลดพร่อง
ริชาร์ดปลุกปั้นบางสิ่งบางอย่างในตัวผมให้เกิดแรงปรารถนาอันแรงกล้าเกินกว่าจะฉุดรั้งด้วยกำลังตนเอง เส้นด้ายที่ผมยืนใต้ล่างคือหุบเหวร่องลึกไม่มีก้น ผมพร้อมร่วงหล่นลงไปได้ทุกพริบตาหากแต่คุณไม่คว้าจับต้องบางสิ่งออกจากตัวผมไป เมื่อนั้น ถ้าตอนนั้นมาถึงและหากอะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นความพิศวาสในตัวผมนี้ที่จะบันดล “ลมแรงเหลือเกิน ใบไม้ติดผมคุณหมดแล้ว” ริชาร์ดปลุกปั้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูด “ชาร์ลี คุณไม่ได้โกนหนวดเลยรึ”
ผมสั่นไหว “ไม่”
“ชาร์ลี ตอบผมมาเถิด” ริชาร์ดมีสีหน้าคล้ายหวั่นเกรง นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายหรือไม่ “ตอบมาเถิดไม่จำเป็นต้องปรานีผม คุณระแวงผมใช่ไหม”
“ใช่”
“แต่คุณจะยังเป็นเพื่อนของผมอยู่ ใช่ไหม”
“คุณเป็นได้เสมอ” ผมพูด “อย่างที่คุณได้เป็น”
ริชาร์ดมีแรงขับเคลื่อนบางอย่างที่ผมเองก็หยั่งไม่ถึงแก่นสารเหล่านั้น รอยยิ้มพิศวาส นัยน์ตาอันแดงฉาน การลูบไล้กรอบหน้าและการคลึงปากให้คล้อยเคลื่อนไปตามเรียวนิ้วของเขา มันทำให้ผมคลั่งจสนจะแตกดับ คล้ายกับว่าไม่มีใครไม่ยลยินสิ่งอื่น แม้กระทั่งเสียงหอบครางหนึ่งในเรา จะผู้คน การแสดงหรือดนตรี ภายใต้การเสียดสีของเรา นั่นเป็นของแน่นอน ภายนอกโรงละครมีลำแสงตามช่องว่างซึ่งไม่สามารถสกัดกั้นเล็ดลอดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวเฉกเช่นผู้คนในเมืองนี้ ที่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านนอนหวั่นใจกายสั่นกลัวกับเพชรและเงินทองเมื่อยามอัสดง มิหนำซ้ำ แสงเหล่านั้นมีการเคลื่อนคล้อยวูบไหวราวกับปีติสานติ์ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผู้คนกำลังหลากไหลลุกออกจากที่นั่ง แล้วจะกลับบ้านไปนอนซุกใบหมอน ยกเว้นเรา ถ้าตอนนั้นมาถึงซึ่งมันก็มาถึงแล้ว ริชาร์ดสามารถปลุกปั้นแรงปรารถนาของผมให้ตกตะกอนเป็นตัวเป็นตนในครรลองที่เกิดความกระหายอย่างแรงกล้า
การโรมรันไม่เว้นว่างของลิ้นริชาร์ดทำให้ผมวอดวาย
เพียงพริบตาก็พลันรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกสันดาปและแตกดับเดี๋ยวนั้น พริบตาเดียวกัน ริชาร์ดผละใบหน้าตนออกมา ลมหายใจอันหอบกระหายส่งถึงมาถึงผมอย่างเร่าร้อน บ้าคลั่งและหื่นแบบโหดเหี้ยม ริมฝีปากฉ่ำวาวระยับจับประกาย ผมจ้องมองอย่างหลงใหล แผ่นอกของคุณสะท้าน ผมลูบไล้และวางประทับ จับเนกไทของเขาหวังจะปลดมันให้คลายสิ้นสลายและย่อยยับคามือผมนี้ “เราจะตายกันหรือไม่ ถ้าแจ็คอยู่ที่นี่” แม้ริชาร์ดจะกล่าวเช่นนั้นก็ตาม แม้ดูไร้เดียงสาอ่อนหัดจนน่าขัน ถึงกระนั้นแววตาทั้งหม่นมืดและพร่างพราว น้ำเสียงด้วยสำเนียงถิ่นกำเนิดอันเด่นชัดกลับเป็นในทางกลับกันโดยสิ้นเชิง มากไปด้วยเล่ห์แลเหลี่ยมอย่างมีชั้นเชิง รอยยิ้มอันกรีดคมน่าสะพรึงกลัวและงดงามในแบบบุรุษอย่างเขาจะสรรค์สร้าง
“เขาอาจจะลั่นไกไม่ออกและขัดลำอยู่ที่ใดสักที่”
“ชาร์ลี อะไรที่ทำให้คุณไม่กลัวตายถึงขั้นนี้ ถึงขั้นมาจูบใคร่ครางกับผมในป่า ข้างหลังเรามีคนตั้งมากมายที่ไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา” คุณว่า พลางส่งนิ้วตนเข้ามาโรมรันในปากผม “ผมรู้สึกบาปยังไงก็ไม่รู้” เขาหยุดและเชิดหน้ากดตาอย่างเย้ยหยัน “รู้สึกบาปจนอยากตะบี้ตะบันย่ำยีให้คุณแหลกสลาย”
เราสบตากัน และหลังจากนั้นเราก็เหลวแหลกหลอมรวมเข้าไปกับความมืดมิดอาศัยเพียงอำนาจของรัตติกาลสวรรค์เปิดในการจรดดวงตาแอมเบอร์ลึกลงไปในนัยน์ตาสีของความฉิบหาย วอดวาย ดั่งไวน์ไม่มีลดพร่อง
สการ์เล็ต ความฉิบหายกำลังจะมาและพึ่งจะเริ่มต้น
Author @sheisbreathing
เชิงอรรถ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in