Shylock and Portia (1835) by Thomas Sully
From Act IV, Scene 1 of William Shakespeare's The Merchant of Venice
CHAPTER IV
Reply, reply. The Globe.
สการ์เล็ต สมิธ
ชื่อนี้ ผมนิยาม
ช่างเหมาะสมยิ่งเสียกว่าคืนฤดูหนาวเงียบสงัดคลอเคล้าไปกับเสียงเปราะแตกของฟืนในเตาผิงไฟหรือไม่ ผมคิดเช่นนั้นตลอดการสนทนาของคุณเสมอ ความสงัดคือทุกสิ่ง ความวอดวายและการปะทุแตกก็คือคุณ เหนือสิ่งอื่นใดยังมีความคงไว้ของรอยยิ้มแสนพิศวาสของคุณ พิศวาสหรอกหรือ ผมเล็งสังเกตเห็นถึงความผิดแปลกนี้ราวกับว่าทุกร่องลึกตามรอยหยักในสมองจะมีแต่คำว่า พิศวาส ปรากฏอย่างเด่นหรา
ผมเบี่ยงหน้าออกข้างนอก ทิวทัศน์กลุ่มสีฤดูหนาวเหล่านั้นช่างกระจัดกระจายจนยากจะจับจ้องสิ่งสิ่งหนึ่ง เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง คุณเองก็มองกลุ่มสีพวกนั้นอยู่เหมือนกัน
“ชาร์ลี คุณชอบฤดูหนาวหรือไม่”
“ไม่พิสมัยกับมันสักเท่าไร คุณล่ะ”
“ผมเช่นกัน” เขาหยุด “ร่องรอยบนหิมะขาวโพลนมักกวนใจผมเสมอ”
ไม่ว่าผู้ใด เป็นริชาร์ดหรือเป็นผม เราต่างก็เพลิดเพลินไปกับอำนาจบางสิ่งซึ่งกลมกลืนไปกับการสดุดีสรรเสริญ วิลเลียม เชกสเปียร์[1] พวกเราคุยถึงเรื่องของเขากันอยู่เกือบสองสถานี และครานี้เป็นคุณที่เอ่ยเสนอถึง As you like it[2] [ตามใจท่าน] “ชาร์ลี คุณเคยอ่านหรือไม่ อัศจรรย์ในมุมมองของวิถีมนุษย์โดยสิ้นเชิงเลยล่ะ” คุณหมายถึงอะไรหรอกหรือ ริชาร์ด คุณหมายถึงความร้ายกาจเพื่อดำรงแต่โศกศัลย์เพราะสูญเสียมือบริสุทธิ์หรือกระไร “คุณหมายถึงจาคส์[3]หรือ” คุณพยักหน้า แววตาเปล่งประกายราวกับผลเชอร์รี่สุกปลั่ง
คุณสานผมเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ พิลึกพิลั่นสิ้นดี “ที่นั่นเงียบเหงา” ริชาร์ดเป็นผู้ดำเนินมาถึงตรงนี้ แน่นอนว่ารอยยิ้มเหล่านั้นก็ด้วย ซึ่งผมเดาได้ว่าเขากำลังหมายถึงโรงละครโกลบ “บางครั้งก็วุ่นวาย”
“คำพูดฉอเลาะสำหรับผมแล้ว วุ่นวายเป็นที่สุด” จานเนื้อสเต็กและเครื่องเคียงเหลือมากพอจะให้หมาหนึ่งตัวอิ่มไปหนึ่งมื้อ “หรือคุณมีอะไรที่สาหัสมากกว่านั้น”
“ก็สาหัสไม่น้อย เมื่อหลายเดือนก่อนคานม่านแดงร่วงลงมาใส่หัวนักแสดงจูเลียตเข้า” คุณพูด ลองแววตาหม่นหมอง “หล่อนสูญเสียความทรงจำ”
“เกินเยียวยาเลยหรือ”
“อดีตของเธอถูกพระเจ้าริบคืนไปแล้ว”
“นั่นไม่ดีเลย”
“มันผ่านมานานพอสมควรแล้ว” เขาเงียบไปสักพัก “ชาร์ลี คุณน่าจะมาที่นั่นสักครั้ง ผมยินดี”
“ไม่มั่นใจ ไม่รับปาก แจ็คอาจจะกำลังเคลื่อนไหว”
ริชาร์ดยิ้ม “ฆาตกรมีเวลาลับมีด คุณเองก็ต้องมีสิ”
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น”
ขบวนรถไฟไม่เคยปราศจากความเงียบ เมื่อใดเทียบท่าสถานี ย่อมมีคนมากมายถึงที่หมายแต่มีอีกหลากหลายพึ่งถึงจุดเริ่มต้น ขุนนางและครอบครัว พวกเขาเหล่านั้นเยื้องกรายเข้ามาทำลายความเงียบนี้ลง ผมมองพวกเขาลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกระแคะระคาย ริชาร์ดหรือ เขาไม่มีท่าทีจะสนใจคนพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ทำเหมือนว่ามีแค่ผมและเขาเหมือนดั่งวินาทีก่อน เพียงแค่เราเท่านั้น บทสนทนาเราสองจบสิ้นลงนับตั้งแต่นั้นมา ท้องของผมอยู่ตัวเกินพอไปถึงเที่ยงวัน อีกไม่นานเราจะถึงลอนดอนตอนบ่ายอ่อนๆ ผมเบี่ยงหน้าออกข้างนอกอีกครั้ง ครานี้ ผมมองใบหน้าริชาร์ดแสนเลือนรางทว่าไม่ผิดเพี้ยนสะท้อนลงกระจก สักพักหนึ่ง ผมหันเพียงสายตากลับมามองใบหน้าที่แท้จริง เฝ้าสังเกตแววตาที่ประกายทิวทัศน์เคลื่อนคล้อยตามความรถของรถไฟ “อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว” คุณพูดขึ้น เราสบตากัน “ยินดีต้อนรับสู่ลอนดอน ชาร์ลี รีดด์”
ความเร็วเริ่มผ่อนแรงจนน่าใจหาย ผมตระหนักขึ้นมาได้ว่าเราสองคุยกันมานานแค่ไหน เรามาถึงลอนดอนโดยสมบูรณ์
คุณเอ่ยลา “เจอกันที่ลอนดอน ชาร์ลี”
“เจอกันที่ลอนดอน” สการ์เล็ต “สมิธ”
หลังจากผมส่งจดหมายลาพักร้อนถึงรัฐบาลอังกฤษเพื่อบอกเจตจำนงดั่งเดิมที่มุ่งหมาย ทว่าความมากมายของเหตุการณ์ที่ลื่นไหลไปตามเส้นถนนเบอร์มิงแฮมรวดเร็วจนน่าตกใจ ราวกับว่าความสุขทั้งชีวิตของผมมิอาจสามารถเทียบกับคืนนั้นที่เบอร์มิงแฮมได้ นั้นจึงเป็นเหตุผล เหตุผล ที่ทำให้หัวสมองเริ่มมอดดับเสียจนทำให้ผมไม่ลังเลที่จะตัดสินใจมาลอนดอนเร็วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ผมอยู่ที่ไปรษณีย์และจะเขียนจดหมายแก้เจตจำนงเป็นปัจจุบัน เนื่องจากมันเหนือความคาดหมายมากเกินไป ผมต้องเขียนอะไรสักอย่างให้พวกเขารับรู้ว่าผมกำลังอยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะมีจดหมายฉบับหนึ่งถึงผมพอดี
“คุณสมิธ มีจดหมายถึงคุณ”
ผมเดินออกจากที่ทำการไปรษณีย์ เพราะสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญและนึกอัศจรรย์ใจกับความไวของข่าวลือ ลมระลอกหนึ่งผ่านมา มือที่ถือซองเปล่ายกขึ้นมาทัดปอยผมยาวไล้กรอบหน้าไว้หลังใบหู พวกเขารับรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ ใช้เวลาไม่นานมากนักในการอ่านเนื้อความ แก่นสารที่เหลือท้ายบรรทัดไม่มีอะไรที่ควรเพ่งเล็งเป็นพิเศษนัก เพราะคำเหล่านั้นล้วนแต่จะเป็นอักษรประดิดประดอยประจบสอพลอตามธรรมเนียม คงจะตระเตรียมกับบรรณาธิการมาเป็นอย่างดีเลยทีเดียว จากนั้น ผมก็รู้สึกถึงบางสิ่ง สัมผัสเฉี่ยวผ่านแผ่นหลังไป “โอ...”
สองสามก้าวก็ไหวตัวคว้าจับคอเสื้อเด็กหนุ่มนั้นไว้ได้อยู่หมัด “ขอกันก็ได้ ไม่เห็นต้องหยาบคายกันเลย” ภายใต้ใบหน้าสกปรกแปดเปื้อนคราบเขม่าซ่อนใบหน้าพริ้มเพราไร้เดียงสาไว้ “นี่ แม่หนู แถวนี้มีร้านขายบุหรี่ไหม” สองดวงตาใสกระจ่างกะพริบถี่ จดจ้องราวกับเห็นผียามบ่ายก่อนจะชี้นิ้วไปทางหนึ่งโดยไม่ละสายตานี้ไป “ขอบคุณ” ก่อนจะหยิบเศษเหรียญก้นกระเป๋าสูทโยนให้เด็กน้อยนั่นไป “เอาไปซื้อเศษขนมปังกินซะ แม่หนู”
“อย่าเรียกผมแบบนั้น”
“เอาล่ะ ไปซะพ่อหนุ่ม”
เราทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อเพียงเพราะเนื้อกายมีเลือดอุ่น พระเจ้าทรงเมตตาหรอกหรือ ไม่ พระเจ้าไม่ใช่ประเภทที่จะก่อตั้งสมาคมเหล่าเทพมาประชุมถึงการเมตตาแก่สรรพสัตว์โสมมเฉกเช่นเรา ต้นเหตุไม่ใช่เพราะบาเบล[4]ที่เราร่วมกันสร้าง วาดฝันว่าท่านจะเห็นถึงประสงค์เจตจำนงของเรา นี่ต่างหาก ที่ท่านประสงค์พึงชอบจะกระทำ กลั่นแกล้ง เสแสร้งว่าเมตตา เห็นหรือไม่ ท่านก็แค่เป็นประเภทเสพศิลป์การละครมัวเมาคล้อยเคล้าไปกับมื้อสุดท้าย ไวน์และขนมปัง เกลียดชังรังเกียจจึงยิ้มแสยะแลสุขจากการเสพทุกข์ยามเห็นเราต่างแดดิ้นเพื่อเศษเหรียญแลกเศษขนมปัง
ตราบใดที่เรามอบละครให้แก่ท่าน ท่านก็จะไม่สิ้นโลก
เมื่อครู่เพราะไม่ใส่ใจจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าในซองจดหมายพวกเขาแนบแผ่นแผนที่ติดมาด้วย ผมเห็นจึงนึกขันขยาด “ขนาดนี้แล้ว ไม่แนบโฉนดที่ดินให้เลยล่ะ สวะเอ๊ย” และแน่นอนว่ามีคนได้ยินผรุสาทเหล่านั้น แต่ก็ไม่มากมายให้ใส่ใจนัก ผมไล่สบตาพวกเขาทีละคนก่อนจะหันหลังให้พวกเขา แล้วเดินจากไปทั้งอย่างนั้น
เลี้ยวผ่านตรงนั้น เดินตรงมาทางนี้ สองฝีเท้าเหยียบย่ำบาทวิถีไวท์ชาเปล[5]ตลอดทั้งเส้นทาง เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ ตรอกซอยที่นี่ดูลึกลับพิสดารสิ้นดี ผมคิด แม้นว่าจะไม่มีสิ่งใดน่าภิรมย์พิสมัย ทว่าหากกล่าวถึงความโสมม ไวท์ชาเปลย่อมไม่เป็นสองรองใคร ผู้กำเนิดในฐานะชนชั้นต่ำถูกจองจำ มิหนำซ้ำยังกักขังผู้คนให้จมดิ่งอยู่กับความยากไร้ เหล้ารสปะแล่ม กลิ่นเน่าของขยะและโสเภณี พวกหล่อนไม่งดงามในเรื่องของกริยา แต่เป็นเลิศทางวาจาสำเนียงและเนินนม มารยาหว่านเสน่ห์พวกหล่อนย่อมพกติดประจำกาย หล่อนคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ ผมยิ้มไม่ย้อมตาส่งกลับไป หล่อนทักทาย ผมเอื้อนเอ่ยเรื่องหลอกว่ามีธุระติดพันอย่างใหญ่หลวง
“นี่คุณ อย่างน้อยก็เหล้าสักแก้วกับฉันเถอะนะ นี่ อย่างงี้ดีไหม”
ผมรู้ว่าหล่อนต้องการอะไร แน่นอนว่าไม่ใช่การร่วมรักในคืนเงียบสงัด หล่อนต้องการเงิน ถึงแม้หล่อนจะชอบเสพสังวาสมากแค่ไหน อย่างไรก็ตาม หล่อนต้องการเงิน เงินเก็บที่มากพอจะออกไปจากที่นี่ “สายัณห์สวัสดิ์ คุณผู้หญิง”
เราทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อเพียงเพราะเนื้อกายมีเลือดอุ่น
ทั้งชีวิตเกย์ทั้งหมดนี้และหลังจากนี้ที่เหลืออยู่
ได้ยินแต่เพียงเสียงแมวตัวเมียติดสัดเท่านั้น
อันที่จริง ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ห้องพักแบบใดเป็นพิเศษ ขอแค่วอลล์เปเปอร์ไม่ใช่สีแดงก็เพียงพอ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสอง ผมหยุดจ้องมองอยู่ที่ประตูตึกหลังหนึ่ง พวกเขาไม่ได้มอบกุญแจไว้ในซองจดหมาย นั้นหมายความว่ามีใครสักคนรอผมอยู่ที่นี่ อยู่ในนั้น ชั่วขณะหนึ่งเพียงกะพริบตา ผมได้ยินเสียง เป็นน้ำหนักฝีเท้าที่หนักแต่เพียงส้นและบางเบาบนพื้นพรม ผมคาดเดาว่าอาจจะเป็นหล่อนใครสักคน สตรีสวมส้นสูงส่วนสูงเทียบไหล่ผมได้ หญิงแม่บ้านทรวดทรงมาตรฐานคนยุโรปทั่วไป ถึงกระนั้นไม่รีรอ ผมจับห่วงทองเหลืองเคาะประตูเบาๆ แต่ก้องกังวาน เมื่อนั้น เส้นผมสีแดง[6]ปรากฏ หล่อนชูคอเยื้องกายเผยใบหน้าออกมาจากซอกบานประตูบานนั้น นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างเพริศพรายประกายระยับ “คุณคือ...”
“ผมตามมาจากจดหมายซองนี้” ว่าแล้ว ผมยื่นซองจดหมายมอบให้หล่อน ท่าทีไร้ความกล้าเปี่ยมของกลัวของหล่อนยังคงไม่จาง มองหน้าผมสลับกับซองจดหมายในมืออยู่หลายหน “เคยมีคนแปลกหน้ามาเคาะประตูรึ”
“ไม่หรอกค่ะ คุณก็รู้ว่าคนที่นี่กลัวใคร” ใคร ท้ายเสียงของหล่อนแผ่วหายราวกับว่าหากเอ่ยถึงมัน อาชญากรตัวฉิบหาย แจ็ค ท้องของหล่อนจะระเบิดเผยไส้แล้วจากนั้น หล่อนก็ตาย กะโหลกจะถูกชำแหละอย่างอ่อนโยน กระดูกลิ่มผีเสื้อ[7]ของหล่อนจะถูกขโมยไป ณ เดี๋ยวนั้นอย่างไรอย่างนั้นแล หล่อนนำซองไปอังแสงแดด ภายใต้เส้นใยและเนื้อหยาบปรากฏร่องรอยชื่อบริษัทโรงงานผู้ผลิต “ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ ฉันเพนนี แชปแมน เป็นแม่บ้านค่ะ” หล่อนยื่นมือมา ซอกเล็บเต็มไปด้วยเศษดิน “โอ้... พอดีฉันทำสวนอยู่น่ะค่ะ”
“ผมเริ่มหิวแล้ว คุณทำอาหารอเมริกันเป็นไหม”
ฤดูวสันต์ใกล้เข้ามา บั้นปลายท้ายสัปดาห์ก็ครอบงำเราเสียรอดเร็วจนน่าตกใจ ไม่ใช่แค่เราและใครอีกมากมายแต่เป็นทั้งลอนดอนนี้ กลับมาคึกคักพลุกพล่านท่ามกลางความหวาดหวั่นสะพรึงกลัว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว ทำให้ผมหวนนึกถึงริชาร์ด “อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว” ผมคิดถึงเขาในแง่ของความทรงจำฤดูหนาวศตวรรษนี้ เยือกเย็น ลำบากแสนเข็ญต่อการสบตาและความตื่นกลัวว่าวันใดวันหนึ่งไม่ใครก็เราจะถูกฆ่า แจ็ค ยังคงลับมีดซ่อนในอยู่ความมืดที่ใดสักแห่ง
กาแฟในวันที่แปด ฝีมือแชปแมนยังคงจืดชืดไม่มีผิดเพี้ยน
“เพนนี ผมต้องการกาแฟ”
“ที่คุณกินมันไม่ใช่หรือคะ”
“จืดชืด นี่มันไม่ใช่กาแฟสักนิด” ผมช้อนตามองหล่อน รุ่งอรุณวันนี้ฟ้าเบิกแสง แดดยามเช้าผ่านเข้ามาโลมไล้ใบหน้ากระและเส้นผมสีแดงเสมือนอิฐ ผมยังคงมองหล่อนอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ละสายตาไปที่ใด “แชปแมน ผมอยากเปลี่ยนวอลล์เปเปอร์”
“ทำไมคะ ฉันว่าสีแดงก็สวยดี”
อย่างนั้นหรือ ลวดลายริ้วพลิ้วแดงประดับขับกรอบรูปสีทองหม่นแสงอย่างเด่นหรานั้นหรือ มันราวกับทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังยืนอยู่กลางที่พิพิธภัณฑ์ผลงานอาชญากรรมจากดาบทองเหลืองเสียมากกว่า ผมจ้องมองและนั่งจินตนาการที่โต๊ะอาหารยามเช้า “สีเขียวก็ดี”
“ได้ ฉันจะลองถามสมิธดูค่ะ”
ผมชะงัก “สมิธรึ”
ก้นบึ้งที่ถูกทับซ้อน ชั่วขณะหนึ่งผมพลันคิดว่าเป็นเขาไปโดยปริยาย “ค่ะ ฉันจะไปดูที่ร้านที่ย่านเมย์แฟร์” ผมพยายามเหลือเกิน บากบั่นมากเกินพอที่จะพยายามกดทับให้ทุกสิ่งปรากฏอย่างเด่นชัด ว่านั่นไม่มีทางเป็นสการ์เล็ตได้ “คุณสมิธเป็นเพื่อนของพ่อฉันค่ะ คุณรู้ไหมคะ เขาเป็นคนที่ดื่มค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว” หล่อนว่าขณะเช็ดโต๊ะ “ชาร์ลี คุณต้องการสีเขียวแบบไหนรึคะ”
ผมก้มมองแก้วกาแฟในมือและมันสั่นไหว “ไม่รู้สิ ขอผมคิดดูก่อน”
“ชาร์ลีคะ ไม่ควงมีดเล่นแบบนั้นได้ไหมคะ ฉันขอคืน” หล่อนยื่นมือแบมือขอของกลับคืนอย่างระมัดระวัง ชะงักกระตุกเพราะความหวั่นหวาดเสียว ทันทีทันใดเมื่อมือขวาผมว่างเปล่า ผมถามเธอว่าวันนี้มีหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่หรือไม่ เหตุใดผมจึงไม่เห็นมันวางอยู่บนโต๊ะทานอาหาร “อ่า เดี๋ยวฉันไปเอาให้ค่ะ”
“ไม่ ไม่ต้อง” ผมยกมือปฏิเสธ “ผมหยิบเอง อยู่ตรงไหนล่ะ”
“อ้อ ฉันวางไว้ที่โต๊ะหน้าเตาผิงค่ะ”
บ้านเลขที่ 256 อบอุ่นและอ้างว้าง ข้าวของเครื่องใช้ต่างวางอย่างเป็นระเบียบ เพนนี แชปแมน จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องการได้อย่างเรียบร้อย นิยามว่าหล่อนเป็นคนสุภาพ บางครั้งก็แสนหยาบคาย ผมได้ยินหล่อนผรุสวาทศัพท์สถุลกับตัวเองอยู่หลายครา เดิมเลือดเนื้อของหล่อนไม่ใช่แม่บ้านรับใช้เฉกเช่นนี้ หล่อนแค่สันทัดงานบ้านก็เท่านั้น ผมสังเกตเห็นถึงงานอดิเรกของหล่อนได้ เพราะมันชัดเจนราวกับว่าหล่อนเขียนมันไว้ที่กลางผาก ความคลั่งไคล้การปลูกต้นไม้ของหล่อนเพื่อรอวันออกดอกผลิบาน วันก่อน มีฮัมมิงเบิร์ดสีขมิ้นบินทะยานขึ้นไปทำรังบนต้นแอปเปิลที่สวนด้านหลัง ผมใคร่รู้อยากเห็นมัน จึงเผลอเหยียบหย่อมสวนเพาะเดซี่ของหล่อนเข้าให้ จังหวะแห่งความฉิบหายนรกมาเยือนของผม แชปแมนผ่านมาเห็น อ้าปากเตรียมพร้อมจะสบถด่าผมเมื่อนั้นทันที อาหารการกินที่นี่ไม่มีปัญหา รสชาติประหลาดไปบ้างเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็นับว่าพอใช้ได้พอสมควร เว้นแต่เครื่องดื่มยามเช้า หล่อนชงชาขมฝังลึกถึงโคนลิ้น กาแฟจืดชืดคล้ายว่าลิ้นไม่รับรส หล่อนมีปัญหาด้านการกะตวง ซึ่งนั้นมันแน่นอน
เพนนี แชปแมน หญิงสาวผมสีแดงหล่อนเคยเป็นสาวเสิร์ฟที่ร้านเหล้า ทั้งหมดทั้งมวลกับการตกตะกอนความคิดเหล่านี้ ล้วนเป็นผมที่หยาบคายคอยเฝ้ามองและเสียมารยาทคิดพิเคราะห์หล่อนทั้งหมดเองอย่างลับๆ ที่ 256 ทั้งสัปดาห์
“ชาร์ลี เจอไหมคะ” เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่หล่อนว่า “เจอแล้ว”
การแกะร่องตามรอยพิรุธของแจ็คถือเป็นงานหินในรอบปีของผม บางวินาที ผมเผลอไผลเชยชมเนื้อหาหน้าอื่นๆ ร้านขนมปังตรงหัวมุมถนนเบเกอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โรงม้าฤดูกาลนี้พันธุ์ดีพร้อมลงพนัน ร้านเหล้าและบาร์ตามตรอกซอยต่างตักตุนเหล้าและไวน์เพราะคาร์ล มาร์กซ์[8]มาเยือนถึงถนนแฮมป์สตีทแล้ว นั้นเป็นสัญญาณดีจนอดหน่ายในฐานะนักสืบคดีพิสดารไม่ได้ ลอนดอนจืดชืดธรรมดาดาษดื่นอย่างที่คุณว่าไว้ สการ์เล็ต
“โอ้ โรงละครโกลบกลับมาทำกิจการแล้วเหรอคะ หลายเดือนก่อนปิดตัวไปเพราะมีนักแสดงบาดเจ็บ” หล่อนโผล่มาพร้อมกับไอควันลอยเหนือแก้วช้า “ข่าวดังเลยรึ” ผมถาม
“เด่นหราหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งสัปดาห์เลยล่ะค่ะ เขาบอกกันว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ ฉันไม่เข้าใจตะกละคนที่คิดอะไรแบบนั้นเลย เห็นชัดๆ อยู่ว่ายังไงมันก็เป็นอุบัติเหตุนี่” แชปแมน หล่อนเป็นประเภทช่างพูดและไร้เดียงสา “นี่ค่ะ ชา”
“แชปแมน นี่เธอดูสนใจมันนะ อยากไปหรือไร”
หล่อนแทบจะปฏิเสธทันควัน “เปล่าค่ะ เปล่าเลย แค่มาอยู่ใต้ชายคาหลังเดียวกับนักสืบคดีอาชญากรตัวฉกาจแบบนี้ ฉันก็กลัวเกินกว่าจะก้าวขาออกจากบ้านแล้วค่ะ” หล่อนว่าเช่นนั้น ก่อนจะเดินหันหลังหายลับไปในสวนอีเดนของหล่อน
“โรงละครโกลบกลับมาทำกิจการอีกครั้ง การแสดงฉลองการกลับมา The Merchant of Venice [เวนิสวาณิช] บทละครโดย วิลเลียม เชกสเปียร์”
“แชปแมน ผมจะไปนะ โรงละครนั่น”
Author @sheisbreathing
เชิงอรรถ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in