เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Scarlet (แดงดั่งวอดไวน์)sheisbreathing.
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน ภาคสอง: วินาศ II Spiral
  • ข้าพเจ้าคือนักเขียน ที่นิยมชมชอบการใช้ภาษาวกเวียน (spiral form) เหมือนดั่ง เฮนรี มิลเลอร์

     

     

    “สายันต์สวัสดิ์คุณนักสืบ”

    วันวานของรอยยิ้มดั่งเช่นนั้นของคุณ หวนคืนสู่ ณ ขบวนรถไฟ หินผาหิมะโพลนขาวในครั้งเคยเหมันต์ กระทั่งแคล้วคลาดจวบจนฤดูกาลวสันต์ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

     

    เรา ที่หมายถึงคุณและผม และปัจจัยเศษขยะที่เราจะไม่นึกถึง เรา ลัดเลาะมาตามบาทวิถีที่พึงจะนำพา เลียบแม่น้ำเทมส์ด้วยจังหวะฝีเท้าคร่อมเคืองหู ซึ่งโดยที่คุณ ริชาร์ด คุณผู้ปรากฏตัวมาอย่างพิลึกพิลั่น ราวกับสังขารและจิตวิญญาณเร้นกายผ่านมาในม่านมืดสีดำขลับ คุณเดินล้ำหน้าและเยื้องย่างออกไปทางด้านขวา ในตำแหน่งที่ไม่เพียงพอต่อการสังเกตเห็นเหล่าแรงพิสดารที่ปลุกปั้นสีหน้าของคุณระหว่างนั้นได้ ลมวสันต์กระทบหน้าเราสอง ในขณะเดียว ย่อมก่อกำเนิดกระแสคลื่นสามานย์ในใจของใครสักคน หนึ่งในเรา

    ผมมัวเมาเหม่อลอยทว่าครองสติคงมั่น เฝ้ามองกระแสคลื่นบนผิวแม่น้ำเทมส์ที่เคลื่อนไปทางฝั่งตะวันตก นึกพินิจคิดคำนึงอยู่เสมอ ว่าสิ่งใด นั้นบันดลคุณให้มาพบเจอผมในราตรีนี้ได้อย่างธรรมชาติ แต่เสียอย่างไรแล้ว สักวันเราต้องพบประจบเจอกันและกัน ทั้งจากวันนั้นและนับหลังจากสนธยานี้

    เราเดินมาได้สักพัก พริบตาหนึ่ง ผมยลยินถึงเสียงแผดแผลงสัปดนครางครวญมาจากตรอกมืดอีกฟากของฝั่งถนน เราทั้งคู่ต่างหันไปค้นแสวงหาต้นตอของสรรพเสียงเพรียกร้องครางขาด ดังเบา สูงต่ำ รวดร้าวและโหยหวน จุดชนวนทุกอย่างนั้น กลับเป็นเพียงเหงามืดและแมวดำที่วิ่งพุ่งออกมาจากเงาขลับอันซึ่งลี่ลับ

    “คุณว่าเขาทำด้วยท่วงท่าไหนกันรึ” คุณพูด โดยมิได้ผ่อนฝีเท้าแต่อย่างใด “บนกองขยะ ฝูงหนูออกรัง และมีน้ำเหม็นเน่าไหลออกมาตามท่อระบายจากภัตตาคาร นึกสภาพแบบนั้นดูเข้าสิคุณ”

    เมื่อยามนั้น ระยะห่างร่นเร้นหายไปเหลือเพียงแค่ระยะปลายนิ้ว คุณผ่อนฝีเท้าอย่างฉับพลัน และในทันท่วงที ชั่วพริบตาเดียว คุณหันมา ผมประสบพบเจอกลไกลบางอย่างเคลื่อนไหวเป็นวังวน ส่งกระแสบางสิ่งส่งมาจากเพียงนัยน์ตาคู่นั้น ทว่ามหาศาลที่อาจให้ผมหยุดฝีเท้าและนิ่งงัน วินาทีนั้น เพียงพริบตาเดียวผมอาจวินาศวอดวายด้วยอำนาจนั้นของคุณได้ หากผมพึงจะทำ “คนอย่างเรา มีสิทธิ์วิจารณ์ท่วงท่าคนพรรคนั้นได้ด้วยรึ” ผมเอ่ยถาม เหน็บแนมและนึกอัปยศ “เขา ไม่ต่างอะไรจากเรา

    “ผมแค่รู้สึกน้อยหน้าก็เท่านั้น”

    “แล้วยังไงต่อ” ผมเปล่งถาม “เสียงคงดังไปสองช่วงตึก”

    “แล้วคุณคิดว่ายังไง”

    “แล้วคุณล่ะ” ผมถาม

    “เซ็กส์แบบไหน ก็เหมือนกันทั้งนั้น” ผมเบี่ยงหลบ จากนั้น ก็เดินนำขึ้นหน้าคุณไปหนึ่งก้าว “ไม่ว่าจะทำในป่า ในตรอกแคบหรือในราชวังแวร์ซาย คุณคงไม่พิสดารกลับหัวทำในแนวดิ่ง”

    คุณหัวเราะ

    ผมสบตาคุณนิ่ง “เอาล่ะ หากคุณหวังจะให้ผมกลั่นคำพูดวิปริตวิปลาสลามกอะไรแบบนั้นแล้วล่ะก็ อย่าเลยจะดีกว่า แต่ว่านะ...วันนั้น” ผมหยุด พลันรู้สึกร่องสังขารพลันร้อนรวดร้าว ราวกับจิตปลุกแต่งให้วันนั้นคือตอนนี้ “แม่งเหนียวเหนอะหนะเป็นบ้า”

    คุณยิ้มหัวเราะ “คุณหิวไหม ผมหิวจนไส้กิ่ว”

     

    ...

     

    เพียงแค่เราเลี้ยวไม่กี่มุมถนน ความวายวุ่นสับสนอลหม่านเริ่มเลือนลับทันใด เมื่อเราออกห่างจากถนนใหญ่เข้าไปทุกระยะฝีเท้าที่ย่างลึกเข้ามาในตรอกหนึ่ง ในจังหวะเคียงคู่ ไหล่เทียบเคียง จนกระทั่งเพียงพ้นเงามืดของตึกที่ตกทอดลงมา รูปร่างอย่างกับสัตว์ประหลาดกายดำมืด บาทวิถียืดยาว เมื่อทอดมองออกไป สุดมุมถนนด้านหน้าจะเห็นภัตตาคารหรูหราร้านหนึ่ง กระทั่งเราเดินมาถึง ผมได้ยินเสียงช้อนกระทบจาน แก้วแชมเปญชนฉลอง แม้ค่ำคืนอนธการก็มิสามารถอาจจองหองลำพองตน ข่มอำนาจดับแสงโคมเจิดจรัสและเสียงดนตรีสู้รบให้สิ้นสลาย คล้ายว่ารัตติกาลนี้จะไม่มีวันมลายมอดไหม้จนมิอาจหวนคืน คุณหันมายิ้มหน้าระรื่น และเอ่ยเชิญชวนด้วยมากคำพูดแฝงเล่ห์อันไหลลื่นไปกับวาทศิลป์

    “ไวน์สักแก้ว เนื้อสักจาน หรืออย่างน้อยก็ขนมปังสักก้อนเถอะ” คุณหันไปส่งสายตาให้กับบริกรเฝ้าประตู “ผมเลี้ยงคุณเอง”

    ผู้คนเดินสวนเราไป และผู้คนก็ไม่มีใครสนใจเรานัก ผู้คนอิ่มหมีพีมัน หลงระเริงไปกับมื้อสังสรรค์รสเลิศสลักบนลิ้นและฝังเอาไว้ในประสาท ผู้คนกลาดเกลื่อน เลื่อนลอยไปกับเรือนร่างคู่รัก และผู้คนก็เคลื่อนไหวราวกับเป็นภาพวาดของท่านศิลปินผู้อารมณ์เย็น สะบัดฝีแปลงด้วยท่วงท่าคล้ายดั่งรุ่งสางจะวายชนม์ ไม่นาน เราก็กลมกลืนไปกับผู้คนพวกนั้น เราเลือกที่นั่งใต้โคมระย้าแสงระยับ ห่างออกไปไม่ไกลเป็นพื้นยกระดับสำหรับนักดนตรีขับทำนอง ผมมองคุณ ในระหว่างการเว้นว่างของสนทนายามที่คุณเปิดใบเมนู เราสั่งไวน์แดงและเนื้อมีเดียมแรร์ครึ่งปอนด์สองที่

    วินาทียามนั่งเฝ้ารอคอยท่า เสียงดนตรีบรรเลงเคลียคลอเคล้าไปกับบทสนทนาจากทั่วทุกสารทิศ ชู้รักเกี้ยวพาน วงเหล้าเมื่อคืนวันวานและการเหยียดหยันโสเภณีที่ตนนั้นจ่ายเงินมากับมือ

    “คุณคิดอะไรอยู่รึ” คุณเอ่ยถาม ทุกสิ่งทุกอย่างในระหว่างนั้น ผมและคุณต่างจรดจดจ้องไม่ละสายตาไปจากกัน แม้สักพริบตาหนึ่ง ผมนึกประหม่ากับความเงียบเฉกเช่นนี้เหลือเกิน ริชาร์ด ผมเขย่าสั่นขาไม่หยุดนับตั้งแต่กระดูกก้นกบแตะเบาะนั่ง คุณถามว่าผมเป็นอะไรไปงั้นรึ ผมไม่ได้ตอบอะไรคุณทั้งนั้น “คุณเป็นหนองในรึยังไง”

    “ไม่ใช่” ผมก็มองเฉียดไหล่ข้ามคุณไป “นี่ ฟังนะ...ถ้าคุณจะสบประมาทหรืออะไรเอาตอนนี้ อย่าเลยจะดีกว่า ได้โปรดอย่าขัดผมตอนที่ผมกำลังสนุก ไม่สิ—วุ่นวายกับงานจนประหม่าไปหมดได้ไหม”

    “คุณสนุกกับการลอบมองคนอื่นๆ รึยังไง”

    “ใช่ ที่หมายถึงผมกำลังทำงานอยู่” ผมแก้

    “คุณคิดว่าที่นี่มี แจ๊ครึ”

    โลกคือละคร[1]

    “แล้วตอนนี้” คุณวางศอก ยกประสานมือ “ใครคือผู้โชคดีล่ะ”

    ผมกลับมาสบตาคุณอย่างพึงใจ “ชู้รักคู่นั้น”

    ท่าทีที่คล้ายจะหันของคุณแต่กลับไม่ คุณซ่อนความพิสดารไว้ในรอยยิ้ม “คุณรู้ได้ยังไงว่านั่น คือชู้รัก ไม่ใช่คู่รักล่ะ”

    “ฝ่ายหญิงไม่มีแหวนสวมที่นิ้ว ฝ่ายชายกลับมี”

    “เธออาจไม่นิยมใส่ก็ได้” คุณโต้กลับ

    สมิธ คุณไม่ใช่นักสืบอย่างผม” ผมเอ่ยน้ำเสียงอย่างสิ้นหวัง วังวนกึกก้องในปล่องหู แปลกแปร่งแผ่วโผย นึกประหลาดใจสมเพชตนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน “คุณจะรู้อะไร”

    คุณสบตาผมสักพัก จากนั้นแล้ว ก็กะพริบตาปิดเปลือกตาลงหนึ่งครั้งถ้วน ดั่งว่าเนิบช้า ดุจว่านิ่มนวล “ผมอยู่ตรงหน้าคุณแท้ๆ ชาร์ลี” คุณพูด “คุณกลับสนใจฉากหลังผม”

    สิ้นเสียงของคุณ ทั้งหมดที่ผมทำ คือการแบกสังขารและจิตวิญญาณอันวิจิตรพิสดารนี้ ไปกับการถนอมตนในกองวอดวายที่ลุกไหม้ ผมหลับตาและเห็น ก้อนเนื้อที่แดดิ้น สั่นร้าว พลุ่กพล่าน พังทลาย และการโลดแล่นไปตามกระแสเลือดอุ่นในเส้นเลือด “เพราะผมอ่านคุณไม่ออก” ผมว่าอย่างหงุดหงิด ริชาร์ด ทว่าเหตุใดคุณจึงยิ้มออกมาอย่างไม่มีแก่นสาร นั่นแหละ อย่างนั้น คือจุดชนวนทุกสรรพสิ่งทิ้งซากไว้ให้ผมไขว้เขว พิศวงและสับสน จนมิอาจหาญกล้าพอจะอ่านคุณ “เพื่อตรวจอาการ ว่าผมไม่ได้บกพร่องไป”

    “แล้วเป็นอย่างไร”

    “ผมบกพร่อง” ผมหยุด “อย่างสาหัส”

    คุณยิ้ม “ยังไงรึ”

    “ผมอ่านคุณไม่ออก แต่ผมอ่านเธอตรงนั้นออก นั่นหมายความว่า... อืม—ผมหวังว่าคุณกำลังเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังสื่อ”

    “ชาร์ลีเอ๋ย ผมช่างโง่เง่า”

    “งั้น โชคร้ายสำหรับคนอย่างคุณ ผู้พระเจ้าไม่รัก” ผมกระตุกคิ้ว “ผมชอบคนฉลาด”

    “ว่าเธอเป็นชู้กับชายคนนั้นน่ะรึ”

    ผมถอดถอนทุกสิ่งออกจากปอด ถอนหายใจออกราวกับจะถอนลำไส้ออกจากช่องท้อง สิ้นสุดลม ผมหัวเราะหึในลำคอ และพูด “ก็ใช่น่ะสิ คุณกำลังจะหาว่าผมบกพร่องหน้าที่การงานรึไง”

    “เมื่อครู่คุณว่าแบบนั้น”

    “นั่นมันสำหรับคุณ”

    ผมเห็นคุณไหว่ไหลและปั้นสีหน้าเย้ยหยัน “แล้วนักสืบน่ะ” คุณหยุด เมื่อยามเอนแผ่นหลังแนบอิงไปกับพนัก ริชาร์ดผายมือมาทางผม เห็นชัดว่าคุณกำลังสนุกสนานกับการสนทนาพาทีหนนี้มากเสียเหลือเกิน “มันเป็นยังไงล่ะ คุณต้องแสดงให้ผมเห็นชัดกว่านี้สิ” และคล้ายจะมากไปเสียด้วย

    “ด้วยศาสตร์ไหนล่ะ”

    “ด้วยศาสตร์ของคุณน่ะสิ”

    “ด้วยศาสตร์ของผม กระดูกเปราะๆ ผมก็ระบุได้ว่าเขาคือใคร ต้นตะกูล ชาติกำเนิดหรือแม้กระทั่งอายุขัยหลังกลายเป็นเถ้าถ่าน”

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณตอบรับกลับมาเป็นเสียงหัวเราะและนัยน์ตาอันแดงฉานสลับประกาย สการ์เล็ต การที่คุณจ้องมองดั่งเช่นนั้น ที่ทำอย่างกับว่าอาจหาญมากพอจะทำให้โลกนี้ได้วินาศพังทลาย และหยุดลงด้วยอำนาจพิสดารของคุณที่มี

    “อย่างมากสุด ที่นี่ก็มีแต่กระดูกที่เรากินเสร็จแล้ว” คุณเอ่ย วางคู่นิ้วออกแรงหมุนแก้วไวน์อย่างช่ำชอง คุณครองมวลทุกหยดไวน์ให้กลายเป็นคลื่นกระแสวน หรือแม้กระทั่งห้วงอารมณ์ก้นบึ้งตกตะกอนนอนก้นในแก่นกายผม ถูกปลุกเร้า

     

    หากเค้าโครงห้วงอารมณ์ของเราสองเป็นเรื่องธรรมดา จักรวาลแตกสลายก็คล้ายเรากะพริบตาก็ไม่ปาน

     

    “มีสิ เว้นแต่ ไม่ใช่ที่นี่เท่านั้น” ผมสบตาคุณ “หากคุณไม่ถือสา ว่าต้องทานน้ำชาแค่เฉพาะตอนเช้ากับแดดอรุณเท่านั้น ผมจะดีใจมาก”

    และวางศอกประสานมือ จรดจ้องเฝ้ามองวินาทีทุกท่าทีของคุณ ที่ดูคล้ายว่าคล้อยจะยินดีกับการได้รับคำเชิญกะทันหันครั้งนี้ ผมเห็นคุณนั่ง และกรีดยิ้มปั้นสีหน้าอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าถือวิสาสะความคุ้นเคยที่เราต่างทะลวงคว้านกันและกัน ผมคิด ในความคิดนั้นเป็นคุณ ครรลองหนึ่งซึ่งแหวกว่ายกลางห้วงพิลาสพิสดาร ภาพที่คุณนั้น ผุดลุกขึ้นและหยัดยืน ภายใต้ม่านมืดที่กลืนกินสรรพสิ่งโดยรอบ ผู้คนล้วนหายไปราวกับไม่เคยดำรง เสียงเพลงดับฝัน เคล้าโคลงแปลกประหลาดที่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ก่อตัวเป็นสิ่งอื่น ความมืดสามานย์ เงียบงันจนน่ากลัว ภาพของคุณที่ลอบมองเที่ยวค้นบางสิ่งกับเรือนร่างของผม จรดปลายนิ้วทิ้งสัมผัสลงบนโต๊ะ พินิจพิจารณาด้วยจรรยาพิศวาสยั่วเย้า พลันชั่วพริบตา ก่อนจะขยับเขยื้อนมือเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา ราบเรียบไปบนผืนผ้าสีขาว คุณยกเข่าขวาคลานขึ้นมา สร้างร่องรอย หลังจากนั้น ก็ทิ้งรอยยับบนผืนผ้าที่พลันพริบตา แก้วไวน์ก็ร่วงหล่นได้กลายเป็นสีทับทิม แจกันก้านกุหลาบประดับแตกสลาย กลีบแดงหล่นร่วงโรย แสงระย้าทอประกายลงมาประทับร่างคุณเสียก่อนจะมอดไหม้เป็นริ้วดำขลับ เถ้าถ่านที่คุณสันดาป ความพิลาสที่คุณสรรคสร้าง แววตาที่โหยหา ทะลวงลึกเสียดแทงหยั่งลงมา สลักฝั่งทิ้งพิษไหลตามกระแสเลือด ผมคับคั่งทรหด

    หากแต่ผมไม่ขลาดเขลาเบาปัญญาไปเกินกว่านั้น ห้วงพิสดารนี้จะมอดดับด้วยสติอันเพียงเศษเสี้ยวชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลือ พร้อมจะผุดพุ่งขึ้นมาย้ำเตือนจากสิ่งเร้าทั้งหลาย

    และมันเป็นเสียงบางเสียง เสียงซึ่งกะเทาะเปลือกให้ร้าวราน ภาพความจริงแทรกปรากฏขึ้นมาหลังม่าน เสียงบริกรเอ่ยพูดในแบบที่พูดมานับไม่ถ้วน ผมเร้นหนีจากทุกสิ่ง ปิดเปลือกตา ถอนหายใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปด้วยความรู้สึกใดทั้งสิ้น โล่งอกหรือน่าเบื่อสิ้นดี จานที่วางลงตรงหน้า ผมจึงได้พบความจริงตรงหน้าที่เป็นเพียงความเงียบไร้สี ระหว่างนั้นและหลังจากนี้ หยาดยิ้มของคุณ เมื่อยามกรีดปลายมีดจรดลงชิ้นเนื้อสุกและดิบ ดุจดั่งคุณกรีดเยื่อบางๆ ที่ผิวของผมออกไปด้วยเช่นกัน เลือดที่ซึมผ่านริ้วลายเนื้อแดงตลอดจนการนำมันเข้าปากที่คุณทำ ผมไม่ละสายตา

    คราแล้วคราเล่า เราต่างผลัดกันรินไวน์ให้เต็มแก้ว เวลาแคล้วคลาดไปสักเท่าไร แต่ตราบใด ที่ไวน์มิเคยพร่องลดลงหรือเหือดแห้ง ทั้งฟลอร์เต้นรำนี้จะไม่มีวันจบเป็นดุจกัน การรบราจะไม่มีใครพ่าย ไม่ว่าผู้ใดจะแตกสลาย

     

    ความบิดเบี้ยวหนึ่งในเรา คือตลอดกาล

     

    “คุณยิ้มอะไรของคุณ” ผมถาม หรี่แววตาซ่อนความเคลือบแคลงไว้หลังม่านขนตา

    “คุณ” คุณพูดและยิ้มอีกครั้ง “ผมใคร่สงสัยเสมอ ว่าถ้าหากคุณมัดรวบเพื่อการถูกทึ้ง” แล้วคุณก็เว้น “จะเป็นอย่างไร หรือจะเหมือนเธอคนไหนในวรรณกรรมนักเขียนสำส่อนที่บรรยายเกินจริง”

    เราเงียบกันไปสักพัก และเงียบไปนานที่สุดเท่าที่ผมรู้สึกได้ โอ้...ริชาร์ด คุณอาจหาญด้วยพลังการปลุกปั้นเป็นแรงขับเคลื่อน ด้วยอำนาจอันคึกคามคึกคะนองเลื่อนลอยในคราบความเอื่อยเฉื่อย ดั่งราวก้อนเพลี้ยขาวเร้นหลบอยู่หลังใบ และหลังจากนั้น ก็กลายผันเป็นความโหยหิวที่กัดกร่อนไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว สองขาที่พัวพัน เคลื่อนคล้อยไล่ระดับขึ้นมา ขยี้บดที่แก่นกลางใต้โต๊ะและหลังผืนผ้าคลุมโต๊ะ กระทั่งครานั้น ไวน์ในแก้วสั่นเป็นคลื่นที่ใครต่างก็ไม่รู้เห็นถึงมัน มื้อค่ำ และผู้คนนั้นเดินผ่านไปมา แต่ทว่าไม่มีใครรู้เห็น แม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้า คุณคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ประกายสะท้อนจากโคมระย้าเคลือบลงบนรองเท้าหนังข้างนั้นของคุณ ยามโผล่พ้นออกมาจากผืนผ้าคลุมโต๊ะ พลันทำให้ผมสมองชา น้ำหนักที่คุณกดลงมาที่ไม่แม้แต่จะปรานี ภายใต้การเสียดสีและการสัมผัส

    สรรพสัตว์เดินดิน ใต้ผืนพิภพหรือลึกไปกว่านั้น ล้วนกลวงเปล่าราวเป็นเถ้าถ่าน มิมีผู้ใดอาจหาญเกินพอจะสามารถแหวกว่ายดุจไส้เดือนดิน แต่ใครจะใคร่รู้รึ ถึงการแหวกว่ายวนเวียนเกี่ยวพันโรมรันพันตู หากคุณไม่ขุด คุณจะไม่มีคูคลองหรือทิวทัศน์งดงามมากอัตลักษณ์วัฒนธรรมอย่างแม่น้ำวิสตูลา[2]ทางตอนใต้โปแลนด์

    เดิมทีกางเกงของผม มันควรเป็นดั่งผืนผ้าราบเรียบแสนตึงดุจหนังวัวหน้ากลอง แต่แล้วก็เกิดสงครามนองเลือด ที่หลากไหลคับคั่งผ่านมา กลายผันเป็นกองพะเนินศพคนตายเป็นดุจกัน ภายใต้การสัมผัสตื้นลึกของฝีเท้าคุณ คุณยิ้ม การที่คุณปลุกปั้นมันสำเร็จ คุณจึงยิ้มอย่างนั้นรึ ผมเคลื่อนมือลงข้างใต้และลากนิ้วร่นขอบกางเกง เราะรายที่ตาตุ่มหยอกเย้าข้างนั้นของคุณเล่น หากที่นี่ มีเพียงเราและแสงระย้า ก็ไม่วายว่าผมคงหยิบยกทุกเรือนร่างเพื่อแนบอิงจุมพิต หรือสูดดม

    “เนื้อเรื่อง เป็นไปตามที่คุณรังสรรค์”

     

    ...

     

    ผมอิ่มท้องไปกับไวน์เสียมากกว่ามื้ออาหารกลิ่นฉุนโรสแมรี แล้วก็ใบไธม์ ผมสารภาพกับคุณว่าการทานเนื้อสเต็กเฉกเช่นนั้น ล้วนแล้วไม่ต่างอะไรกับการโยนวัวทั้งตัวลงไปในกองไฟ “คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอ” ผมถามคุณ คุณอยากจะให้มันสุกสักแค่ไหน คุณก็แค่พลิกร่างมันและรอ แต่หากคุณอยากจะเคี้ยวจนเข็ดฟัน คุณก็แค่ตายเสียสักชาติ แล้วคุณจะได้เนื้อแข็งและเหนียวสมใจ

    เราพูดคุยกันและคุณก็หัวเราะขำขัน พลันหนึ่งเดียวเท่านั้น เราก็พูดถึงความสัมพันธ์ของฝรั่งเศสและเมืองต่างๆ เมื่อยามเหยียบย้ำไปบาทวิถีเรืองสลัว ตัวผมเล่าเป็นนัย ว่าก่อนมาที่นี่ ที่ลอนดอน มันเกิดขึ้นเสียก่อนจะได้พบเจอคุณที่สถานีรถไฟ ผมหลงระเริงไหลหลง ดำรงจิตวิญญาณและลำแข้งไปกับเหล้าฝรั่งเศสเถื่อน แล้วคืนนั้น ที่เบอร์มิงแฮมกับหนุ่มแน่นเลือดอังกฤษ ตาสีอ่อนเฉกเช่นกันกับผม เรือนผมสีเข้มเฉกเช่นกันกับผมเป็นดุจกัน เขาพร่ำเพ้อหลับละเมอมัวเมาราวกับติดอยู่ในห้วงยุโรป หมอนั่นยังคงอยู่ที่นั่น นั่นคือคำพูดสุดท้ายของผม ก่อนจะจุดไฟและสันดาปบุหรี่ไปพลางกับการรับลมวสันต์ในคืนราตรี หมอกควันลอยล่องอย่างบ้าคลั่ง แรงลมพลังมหาศาลดันผืนน้ำก่อเป็นคลื่นเล็กๆ ทว่าทั่วทั้งผืนแม่น้ำ ล่วงเลยผ่านไปหลายนาที ผมจึงรู้ว่าหนนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่คุณเงียบหายไปนานที่สุด

    “ชาร์ลี คุณรู้อะไรไหม” คุณหยอดถ้อยคำ “มนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมจมูกและนิ้วสิบนิ้ว แต่ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับเรื่องของพระเจ้า[3]

    “เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เรากำลังพูดอยู่รึ”

    คุณยิ้ม “ผมเอียนฝรั่งเศสเกินพอแล้ว”

    “เว้นแต่คุณจะเพิ่มอีกสักสองหรือสาม”

    คุณยิ้มหัวเราะ “ผมจะพิการหรืออะไร”

    ผมแสบเคือง กะพริบตาไล่ควันบุหรี่ปลายมวน ไหวไหล่ราวกับผมเองก็ไม่เข้าใจสิ่งตนพูดออกไปนัก แต่ทว่าโดยเที่ยงแท้ในแก่นสารเหล่านั้น ทั้งหมดล้วนปลุกปั้นและเสแสร้งอย่างกับเด็กไร้เดียงสา ที่ยังไม่เข้าใจแม้กระทั่งภาษามนุษย์ดั่งตน

    “ผมหมายถึง จะไม่มีการงอกใหม่หรือแตกก้านเหมือนกิ่งไม้ มันแค่จะเพิ่มเข้าไป ทางใดทางหนึ่งในตัวคุณ” และผมคงไม่เล่นตลก นึกจะเจาะนิ้วเข้าในจมูกคุณ ผมหัวเราะกับความคิดตัวเอง “ไม่ใช่การพิการหรอกนะ ผมนับว่ามันคือการเติมเต็มเสียมากกว่า” เราสบตากันสักพัก “หรืออะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่นิ้ว”

    ริชาร์ดหยุดเดิน แล้วโคลงศีรษะพินิจมอง “คุณหัวเราะอะไรรึ”

    “เปล่านี่ ผมแค่คิดว่าผมคงไม่เล่นพิเรนทร์มากพอจะเจาะนิ้วเข้าไปในจมูกคุณ”

    คุณเพียงเงียบเฉกเช่นนั้น หรืออาจก็เพื่อเสแสร้งว่ากลั้นขำไว้แทบไม่อยู่ คุณวาดรอยยิ้มชวนให้วินาศพังทลาย เราทั้งคู่หยุดเดินราวกับนัดหมาย ยามประกายไฟลุกไหม้ที่ปลายมวนเมื่อสูบอัดกระทั่งท่วมท้น มันกำลังแทรกซอนอยู่ในเลือดเนื้อสลักฝังพิษราวปรสิต ความสัปดนผิดแปลกของรอยยิ้มคุณ ก่อกำเนิดและบังเกิดผล ภายในของผมแหลกลาญคล้ายจะวายวอด หัวใจของผมตกหล่นไปทุกชั่วขณะราวกับลิฟต์ร่วงสลิงขาด หยาดหยดเหงื่อกาฬผุดซึมตามขมับ การจับจังหวะฝีก้าวคู่นั้นทุกคราที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เมื่อคู่นิ้วของคุณคีบบุหรี่ของผมไป จรดสูดสนองและแหงนเงยเพื่อพวยพ่นดั่งราวว่าแต่เดิมเป็นของตน จนในที่สุด ดุจราวกับโลกทั้งเปลือกเกลือกกลิ้งบนทางช้างเผือกไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วงทว่าสังขารทั้งลำแข็ง กลับถูกฉุดด้วยอำนาจมองไม่เห็น

    โอ้ พระเจ้า ไอแซค หากผลแอปเปิลไม่ร่วงหล่นแล้วล่ะก็...ผมคงตายขณะโผบิน ผมคิดอุทาน

    “ผมชักสงสัยขึ้นมาแล้ว คืนนั้น นั่นจะไม่ใช่ทั้งหมดที่คุณมี” คุณพูด

    ท่วงท่าคุณ จรดจนไปถึง แววตาคู่นั้น แสบสันไม่เผื่อผู้ใด

    “ใครจะรู้” หรือแม้กระทั่งตัวผมเอง ริชาร์ด

    แล้วคืนนี้ก็แคล้วคลาดผ่านมา แม้ราตรีสีหม่น ที่จันทร์จะหมองมัวกว่าทุกคืนวาน คราบหมองเหล่ามวลเมฆขมุกขมัวก้อนหนาและสีมัวหมองบดบังดวงดาว ในคราวที่เรามาถึง 256 เงียบสงัดและมืดสนิท คุณก้มพินิจพื้นและเศษดินหินกรวดกระเด็นกระดอนที่นำพาเราเข้ามา ในระหว่างที่ผมมองคุณ มือวายวุ่นค้นควานหากุญแจดอกทองเหลืองเปื้อนคราบเก่าในเสื้อโค้ท กลไลลั่นดาลเปิดเสียงสลักขัดกลอนดังขึ้นทำลายความเงียบที่รายล้อมเราชั่วพริบตาก็เท่านั้น ผมหันไปมองคุณ ที่นัยน์ตาอันวอดวายในยามวิกาลนี้ หมดความสนใจกับบาทวิถีและเศษกรวดบ้าบอนั่น เราสบตากันเช่นนั้น ราวกับหลังบานประตูและความมืดมิดคือลานฆาตกรรมไร้สีเลือด ฆาตกรรมที่จะเชือดใครสักคนในทรวงสังวาสและทวารรอยแยกอนันต์ไม่มีก้นรองรับการร่วงหล่น

    “ไม่มีผี ไม่มีแฟรงเกนสไตน์ มีแต่ไวน์และมีไพ่”

    คุณหรี่ตา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ผมต้องสนใจเรื่องนั้นด้วยรึ”

    “ไม่” บานประตูเปิดออก “ขอแค่คุณถามผม”

    “ถามรึ”

    “คุณจะยินดีที่ได้อภิสิทธิ์นั้น” ผมพูด “คุณเชื่อผมเถอะ”

    ในยามที่ผมวุ่นวายกับการถอดเสื้อตัวนอกบนลาดไหล่คุณ คุณไล่ระดับสายตาราวกับถูกมนต์สะกดในบันดล คุณคล้ายจะเอ่ยบางสิ่งทุกการพริบตา สิ่งใดก็ตามที่ผมเองก็พอจะทราบ ตราบใดที่คุณยังมิเอ่ยร้องฟ้องถาม ยามนี้ ผมจะให้คุณได้ดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความใคร่ครวญรัญจวนพิสดารสงสัย แต่เหตุใดคุณจึงเพียงหันมาสบตาและสูดลมหายใจ

    “คุณไม่นึกอยากจะถามอะไรหน่อยรึ กับของพวกนี้

    “คุณอยากให้ผมถามอะไร”

    “แล้วคุณไม่อยากรู้หน่อยหรือยังไง” ผมพูด “ถามมาสิ”

    “ของพวกนี้...” คุณยื่นมือไปสัมผัส “เป็นของจริงใช่ไหม”

    “ใช่ ทั้งหมด” ผมเฝ้าสังเกตประกายเพริศพรายที่แหวกว่ายในดวงตาของคุณอยู่เสมอและไม่แคล้วคลาดไปสักชั่วพริบตาหนึ่ง “เป็นของจริง”

    คุณหันมาสบตาผมอีกครั้ง “ได้...ผมจะถาม” คุณเอ่ยกล่าวโดยไม่สนใจไยดีอะไรผมมากมายนักตามสมควร คุณพลุ่งพล่านร่านระทึกใจเหลือเกินกับชิ้นกระดูกเหนือหมุดพินตรึงปีกผีเสื้อ “ชาร์ลี นั่น...ตัวอะไรรึ”

    “แล้ว คุณอยากจะลองทายดูไหม”

    “สัตว์กินเนื้อ...”

    เยี่ยม อย่างนั้นแหละ ริชาร์ด “พลังกรามมันรุนแรงมาก”

    “ผมเดาว่ามันคือสิงโต”

    ผมยิ้ม “และเพศผู้ด้วย”

    คุณเงียบไปสักพัก ไล่ระดับสายตาไปกับการพินิจโครงกระดูกตรงหน้าตน “ผมคิดว่ามันจะใหญ่กว่านี้เสียอีก” คุณเอ่ย “แค่เคยคิด”

    “ทุกคนย่อมคิดเช่นนั้น” ผมพูด “ก็เพราะขนฟูๆ ของมัน”

    โอ้...ลายปีกแบบนี้ เหมือนในนิทานปรัมปราเลย ชาร์ลี”

    ถูกต้อง อย่างนั่น ริชาร์ด

    คุณต้องถามผมอย่างนั้น แววตาแบบนั้น แสดงท่าทางอย่างนั้น หนนี้เสียที  ที่ผมจะเป็นฝ่ายกลืนกินความใคร่คุณ “สะสมเศษของตาย นั่นคืองานอดิเรกผม” ผมพูด “แปลกกว่านี้ก็มี ถ้าคุณอยากจะดู” คุณสบตาผม ราวกับไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าว่ามีอยู่จริง เราทั้งคู่แนบชิดอิงแอบ หากอากาศนั้นเป็นเลือดเนื้อ ต้องแตกสลายเป็นผุยผงปลิดปลิวถึงจะผ่านพ้นช่องแคบพิสดารนี้ไปได้ ครั้นคุณกะพริบตา คุณสลักประกายเพลิงแดงปลายเทียนและแสงโคมระย้าแห่งความกระหายไว้หลังม่านตา เบาบางและมากชั้นเชิง “ถ้าคุณอยากจะดู ผมมีเวลาทั้งคืนเพื่อตอบคำถามจากคุณ”

    “ผมไม่ทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นหรอกนะ”

    “...”

    “ผมอยากจะรู้เรื่องในวันนั้นมากเสียกว่า”

    “แจ็คน่ะรึ คุณก็รู้ ผมพูดอะไรมากไม่ได้”

    “ก็ได้ แต่ตกลงว่าคุณจะทำให้เรื่องวันนี้ของเราน่าเบื่อหรือยังไง” คุณปลีกตัวออกห่าง เดินข้ามไหล่ผมไปอีกฟากฝั่งของห้องนั่งเล่น “คุณเล่นเปียโนเป็นด้วยรึ” ริชาร์ดเอ่ยเสียก่อนจะจรดเรียวนิ้วลูบไล้เคลื่อนผ่านไปบนลิ่มขาว

    “อย่างกลับเบโธเฟนกลับชาติมาเกิดเลยล่ะ นั่งลงสิ” รู้ตัวอีกที ผมประทับตัวลงนั่ง “ผมจะเล่นให้ฟัง”

     

     

    Author @sheisbreathing


     

    เชิงอรรถ

    1. ^ โลกคือละคร คำกล่าวดังกล่าวมาจากผลงานเรื่อง As You Like It ผู้เขียนคือ วิลเลียม เช็กสเปียร์
    2. ^ แม่น้ำวิสตูลา หรือ แม่น้ำวิสวา แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศโปแลนด์ 
    3. ^ มนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมจมูกและนิ้วสิบนิ้ว แต่ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับเรื่องของพระเจ้า คำพูดจาก ฟร็องซัว-มารี อารูเอ (François-Marie Arouet) หรือ วอลแตร์ เขาเป็นนักเขียน นักปราชณ์ และนักประวัติศาศตร์ของฝรั่งเศส อีกทั้ง เขายังสนับสนุนเสรีภาพทางการพูด และศาสนา วอลแตร์ มีคำพูดที่ดีมากมาย จนเรียกได้ว่า เขามีปากกาเป็นอาวุธ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in