แด่ นิยายของข้าพเจ้าที่ดำเนินด้วยกระแสจิตสำนึกของชายหนุ่มอเมริกัน ชาร์ลี รีดด์
และเนื้อหาต่อจากนี้ของภาค วินาศ จะไม่เหมือนภาค วอดวาย อีกต่อไป ท่านจะพบเจอแต่ความพิสดารเกินคาดฝัน ห้วงแห่งกาม อาชญนิยายที่ข้าพเจ้าตั้งใจรังสรรค์ผ่านความละโมบและโกรธเกรี้ยว
19th century engraving by Nathaniel Whittock from a drawing by Antony van den Wyngaerde (ca 1543-50)
ด้วยร่างที่ดับสูญ สู่อ้อมกอดของพระเจ้าในยามรุ่งสางฟ้าดับ
กุหลาบสีขาวโปรยปรายสู่หลุมโลงอย่างอาลัย ภัยอันตรายอันน่าพรั่นพรึงที่มาเยือนจนชีวิตถึงคราววอดวาย
เธอผู้นั้น เป็นหญิงสาวผู้พิสมัยสีสันและการเบ่งบาน เมื่อกาลของเวลาแคล้วคลาดและล่วงเลยผ่าน ผลที่เธอหว่าน เมล็ดพันธุ์ที่เธอเพาะ ล้วนบานสะพรั่งกลิ่นหอมหวานกลางเดือนฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่เธอที่เหี่ยวเฉา แตกร้าวและดับสูญ อีกไม่นาน จะเป็นเพียงเศษเถ้าถ่านซึ่งเคยคุกรุ่นในความทรงจำที่จะคงเหลือไว้และเป็นก้างกระดูกไร้ซึ่งประโยชน์ ไม่พ้นแม้กระทั่งสิ่งที่เธอรังสรรค์ ทั้งสวนหลังบ้านและกองเงิน
แด่การกำเนิดมาพร้อมกับเรือนผมสีดั่งแสงเทียน.
ผมอ่านบทความหน้าหนังสือพิมพ์และคิดว่ามันเป็นเพียงของเหลวที่หลากไหลผ่านตาโดยมิได้กลั่นกรอง แม้มิได้กะเทาะเปลือกนอกแต่รับรู้ว่ากลวงเปล่า สาธยายเล่าความอย่างไรก็ไม่อาจเป็นจริงได้เท่ากับนัยน์ตาสีฟ้าของเธอซึ่งเคยกระจ่างในวันวาน ทว่าเมื่อร่างวินาศวิญญาณวอดวาย กลับแข็งค้างและขุ่นหมอง
อากาศเย็นจนน่าเหลือเชื่อ ผมคิดถึงภาพในวันนั้นหน้าเตาผิงไฟ ก่อนที่จะโยนม้วนกระดาษสันดาปมันไปเสียกับริ้วเพลิงในเตาผิง แผ่นกระดาษถูกชิงชังรังเกียจด้วยกฎแห่งความไม่จีรังดั่งตลอดกาล จนกระทั่งกลายเป็นความบิดเบี้ยวสีดำขลับที่หดตัวและหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
เมื่อไม่มี เพนนี แชปแมน สวนอีเดนหลังบ้านก็โล่งเตียน
“มิสเตอร์รีดด์”
เสียงที่เพรียกร้องพ้องไปกับสุสานเงียบงัน และด้วยลมวสันต์จึงพัดกลิ่นอายชื้นฝนเข้ามา ฝีเท้าอันหนักอึ้งเหยียบย้ำไปบนผืนหญ้า บุรุษผู้พกพร้อมมาด้วยมือเปล่าและมวลเมฆสีทะมึนไล่ตามหลังเขามา ร่างอันองอาจคลับคล้ายคลับคลานายพรานดิบเถื่อนสาวเท้าเดินแบกกระบอกปืน แอ็บเบอร์ไลน์เข้ามาเคียงข้างหน้าป้ายสุสาน
“นายมาที่นี่ทุกวันเลยรึ”
“เฉพาะแค่วันนี้”
“แล้วดอกไม้หน้าหลุมศพเธอวันก่อนเล่า ช่างมันเถอะ มีคนอยากจะพบนาย โอ้ เวร...ผมลืมเอาดอกไม้มาให้เธออีกแล้ว” ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แอ็บเบอร์ไลน์เป็นแบบนั้นเสมอ ร่ายสามประโยคออกมาเพียงในชั่วพริบตา หมอนั่นเป็นประเภทแม่นยำในจุดประสงค์และบางครั้งก็เผอเรอลืมหลงกระเจิงไปกับสิ่งอื่น พูดถึงการถ่ายอุจจาระของคนชราถูกขังตะแลงแกงในวันที่หมอนั่นเปิดขวดไวน์ส่งกลิ่นเหมือนน้ำส้มสายชูเน่า และสามารถพูดถึงเนื้อสเต็กตอนผ่าชันสูตรศพ มิหนำซ้ำยังคงสภาพสีหน้าเป็นปกติได้อย่างชำนาญ หรืออาจเรียกว่าไม่กระทบประทั่งก็ไม่เกินจริง
“คุณไม่เหมาะกับดอกไม้ อย่าเลย”
หมอนั่นไหวไหล่ “พับผ่าสิ ผมมันเหมาะจะแบกศพนายมากกว่านะ” และหัวเราะ ผมเหวี่ยงช่อดอกไม้เข้าที่ใบหน้าหมอนั่น เขานิ่งเงียบสักพัก ก่อนจะตวาดเสียงจามลั่นสนั่นสุสานร้างสุขออกมา
ผมวางช่อดอกไม้อาลัยที่หล่อนเป็นผู้รดน้ำมันเองกับมือ จูเลียต เบียทริซ และเพเทียนซ์ ที่ผมเคยเผลอย้ำมันกลางสวนด้วยเจตนาการที่หวังจะมองการลอยตัวของฮัมมิงเบิร์ดสีขมิ้นบนต้นแอปเปิล สัมผัสนั้นที่แหลกสลายและวินาศย่อยยับใต้ฝีเท้า ยามนึกถึงก็พลันจำใจนึกขึ้นมาได้ ราวกับว่ามันยังคงอยู่ใต้ฝีเท้าผมแม้จะเป็นผืนหญ้าดาษดื่น
เพียงไม่กี่ประโยคที่เราต่างถกเถียง “ไหนละ” ผมเอ่ยถามเมื่อตระหนักว่าการมาของหมอนั่นคือการรอคอยพบพาน “คนที่ว่า”
“อ้อ เธออยากให้นายไปหาเธอเอง” แล้วหมอนั่นหยุดฝีเท้าไปกับการควานหาซองบุหรี่เสียก่อนจะสันดาปด้วยเปลวเพลิงปลายไม้ขีดให้เสร็จสิ้น ควันหลงแดดิ้นเป็นริ้วดั่งราวเจรจากับเหล่าวิญญาณที่พระเจ้าไม่ประสงค์จะอ้อมกอด “เธอรอนายอยู่ที่บาร์ในอีสต์เอนต์”
ผมพยักหน้าเข้าใจรับ แต่ปฏิเสธอย่างฉับพลันเมื่อหมอนั่นยื่นบุหรี่พร่องหายไปเกินครึ่งซองด้วยสีหน้าเชิญชวน ผมเพียงจรดจ้องเพียงปลายตา “อ่า...นี่น่ะเหรอ ผมไม่มีเงินพอซื้อบุหรี่แพงๆ มาสูบหรอกนะ แล้วนั่นมันอะไรกัน นายทำหน้าเขียวอย่างกับหัวเป็ด ขยาดที่ผมชอบสูบบุหรี่ราคาถูกนักหรือยังไง แพงหรือถูก เสียอย่างไรเราก็ตายห่าเพราะมันอยู่ดีไม่ใช่รึ”
“ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน”
หมอนั่นหัวเราะไม่เต็มเสียง ยิ้มไม่เต็มปาก “พระเจ้า...เชื่อเขาเลย” เสียก่อนจะพ่นลม ปอยเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ไหวพลิ้วด้วยอำนาจของลมหายใจอันถอดถอนและเหล่านั้นออกมาพร้อมกับควันหลงทิศ
“เธอรึ” ผมถาม
“ผมไปเจอเข้ากับเธอเมื่อวันก่อน เธอบอกเธอเป็นเพื่อนกับเพนนี แต่เธอคงให้อะไรกับนายไม่ได้มากนักหรอกนะ ผมถามเธอมาบ้างแล้ว”
“ผมมีที่ที่ต้องไป หากมันไม่สำคัญ ผมขอปฏิเสธ”
“หากเพื่อนนายตายทั้งคน” เขาพูด “นายไม่อยากไปเจอคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของเพื่อนหน่อยเหรอรีดด์”
เป็นนัยอันแน่นอนที่เราต่างเข้าใจตรงกัน งานอันตรายเฉกเช่นนี้ ล้วนเป็นเจตจำนงที่เธอมีอย่างเสรี ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ในมุมมองของคนละโมบหวังไต่เต้าชาติกำเนิดอันต่ำตมตนด้วยเงินทอง แชปแมนไม่อาจเว้าวอนขอจากใครนอกเสียเธอต้องแลกมันมา
เฟรเดอริคขอวอนยื่นจมูกเข้ามายุ่งเกี่ยวธุระกงการนี้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น และนั่นไม่ใช่สิ่งผมประสงค์ ผมนับถือเขา แต่ผมเองก็ไม่ชอบเขาเวลาพล่ามถึงเรื่องราวพลันโยงผูกเกี่ยวพันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งโดยเฉพาะเรื่องขยาดที่คนธรรมดาสามัญไม่นิยมนึกถึงกัน มีเจ้าตัวที่ดูไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ตนเล่า นั่นคือเหตุผล เขาบดขยี้ก้นบุหรี่มันกับผืนหญ้าแห้งแล้งด้วยรองเท้าราคาแสนแพง แต่ท้ายที่สุดก็จำนนจนยอมที่จะแยกตัวออกไปที่ทางแยกมุมถนน
ด้วยเหตุนี้ ผมบากบั่นสังขารฝ่าพายุฝนและลมละอองหนาวเหน็บมาถึงย่านอีสต์เอนต์ อีกครั้ง ผมได้กลิ่นคาวคลุ้งบ้าคลั่งในความทรงจำ เห็นความยากจนกรรมเคราะห์ในความเป็นจริง บาทวิถีย่านนี้สลักฝังคราบเลือดที่ล้างไม่ออกแม้จะกลายเป็นความหลัง เสียงพรวนนั่นคล้ายจะพัง และเสียงสบถผู้คนค้าขายด้านนอกกึกก้องไม่น่าฟังที่ดังไล่หลังมา บานประตูปิดหับ ผมสาวเท้าเดินไปเลือกที่นั่งที่อุ่นที่สุดในบาร์ กลางจัตุรัสส่องสว่างด้วยเปลวเทียนเพียงหนึ่งเดียว สตรีหญิงสาวปรากฏเป็นสีเงาทะมึนมุมร้าน ส้นสูงกระทบพื้นไม้กึกก้องดังเป็นจังหวะ
“ขอโทษด้วยพ่อหนุ่มผมยาว ตอนนี้ร้านยังไม่เปิด” สีสันแดงมะฮอกกานีอันแต่งแต้มบนฝีปาก ขับเผือกผิวที่ขาวซีด เส้นผมหยักศกดำสยายบดบังเนินอกและไหล่อันกลมมน
“มีคนเรียกให้ผมมาที่นี่”
“คุณคือชาร์ลีใช่ไหมคะ” เธอพูด “เป็นฉัน ฉันเองที่เรียกคุณมา” ในน้ำเสียงแฝงเร้นไปด้วยความมลนมลาน เธอกอบกุมความกังวล ความลังเลเป็นหวาดหวั่นสั่นพรั่นกลัวแอบอิงไว้ที่อุ้มอก “นี่ฉันคง...ไม่ได้รบกวนอะไรคุณมากมายใช่ไหมคะ เรื่องแบบนี้”
“ผมหวังว่าไม่มีใครตายเพราะเรื่องแบบนั้นคุณหรอกครับ” ผมพูด “ผมหวังว่าแบบนั้น”
เธอกระสับกระส่ายดุจดั่งปลาที่ว่ายวน และไหล่กลมมนที่เธอห่อหด มือที่กอบกุมนั้นสั่นระริกราวกับจะทะลักล้นออกมาทุกพริบตาหากพลั้งเผลอ คล้ายว่าหากมันปรากฏนอกขอบเขตที่ควรเป็นเมื่อใด จะไม่อาจกลั้นเก็บหรือรั้งไว้ได้ เธอสบประสานตากับผมเข้า ผมเห็น บ่อโคลนที่ลึกสนิทสุดจะหยั่ง วี่แววเปลวเทียนไหววูบดวงลำพังสะท้อนกลิ้งในกระจกตา “ฉันโรซาลินด์ค่ะ ฉันเป็นเพื่อนเพนนี คือฉัน—คุณคงไม่...”
“ผมไม่รังเกียจคุณหรอกครับ เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องกังวล”
“ขอโทษค่ะ คือฉัน—ฉันมักทำท่าทางแบบนี้เสมอเมื่อเจอคนแบบคุณ...ฉันหมายถึง คนที่จะเป็นประโยชน์ต่อฉัน หากคุณไม่ถือสาอะไรกับฉันมากมาย” ด้วยน้ำเสียงที่อุดอู้ราวกับที่จมอยู่กับห้วงโศกศัลย์ ด่ำดิ่งกระทั่งหายใจไม่ได้ เธอถอนหายใจออกมา และเงียบงันไปสักพัก “งั้น ฉันขอพูดตามตรงเลยนะคะ” เธอกะพริบตาถี่ พลางถอนลมหายใจรดบนเนินอกอีกครั้งหนึ่ง เธอทำมันเฉกเช่นนั้นราวกับว่ามันอาจหรือสามารถไล่มวลความกลัวทั้งหมดที่ท่วมท้นไปทั้งสังขาร “ฉันได้ตั้งใจจะดูหมิ่นหรืออะไรคุณเลย แต่คุณจับเขาได้จริงๆ ใช่ไหม แจ็คน่ะ” และหล่อนก็เอี้ยวหันตัวเข้าหา ประชิดเข้ามาใกล้ขึ้นมาอีกนิด “ได้โปรดเถอะ ถ้าฉันไม่ได้ยินจากปากของคุณ ฉันคงนอนไม่หลับไปอีกวันแน่”
เธอคล้ายจะร่ำร้องในวังวน
“ฉันขอพูดอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” แววตาที่วินาศ เส้นเลือดดั่งด้ายแดงคืบคลานและสานตัว “ฉันโกรธคุณโดยไม่มีเหตุผล เพราะฉันไม่กล้าโกรธหล่อนที่เลือกงานแบบนั้น ฉันโกรธคุณมาก เพราะฉันเองก็รักหล่อนมาก แล้วฉันก็สูญเสียหล่อนไปในวันที่หล่อนชวนฉันไปเวนิสด้วยกัน มันเลือนรางมาก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้ฝัน ขอร้องเถอะ ชาร์ลี หล่อนกำพร้าและไม่เคยได้เข้างานวิวาห์ไหน ไม่มีชายหน้าไหนอยากแต่งงานกับโสเภณี แม้มันจะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม” เธอสะอื้น ก้มหน้าหลั่งหยดน้ำตา “ฉันร้องขอจากใครไม่ได้อีกแล้ว มีหนทางไหนที่คุณพอจะให้หล่อนสงบเสียที เธอเหมือนฝันร้ายของฉัน”
ผมมองประกายที่สะท้อนจับลงบนเส้นผมของเธอ ฟังเธอ จ้องเธอ พินิจใจลำพองเธอและอนาถสังเวชเธอที่พาลพรั่งพรู หลั่งไหลและรินราดออกมา โดยที่ผมไม่ต้องซักไซ้ให้มากความเสียเวลา เธอในยามนี้ราวกับเป็นฤดูอาชญาอุทกภัยบ้านเมืองไม่วายจะพินาศฉิบหาย
“ฝันร้ายเหรอครับ” ผมทวนคำ
“เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา วันนั้น มีคนมาหาหล่อนที่บาร์และเสนองาน พร้อมกับเงินที่มากกว่าทั้งชีวิตที่หล่อนเคยทำงานมาด้วยซ้ำ พอฟ้าเริ่มสาง ฉันก็เริ่มสร่างเมาจากวงพนันคืนก่อน ฉันใช้ชีวิตเหมือนทุกวัน ฉันจำจังหวะฝีเท้าของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็กำลังเดินขึ้นไปปลุกเพนนีถึงเตียง แต่หล่อนก็หายออกไปจากห้องพร้อมกับข้าวของและเสื้อผ้าโดยไม่บอกลาหรือบอกอะไรฉันสักคำ” เธอหยุดเว้น “เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเพนนีจะตาย หล่อนกลับมาพร้อมบอกกับฉันว่ากำลังได้เงินก้อนใหญ่ ฉันเมา...แล้วเผลอหลับไปอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ อย่างที่ฉันบอกกับคุณ มันเลือนรางเกินไปมาก ซึ่งฉันอาจจะจำผิดหรือตาฝาดไปก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ฝันแน่นอนค่ะชาร์ลี ฉันเห็น—เห็นใครคนหนึ่งเดินตามหล่อนออกจากร้านไป ฉันจำอะไรไม่ได้หลังจากนั้น แต่เขาเหมือนกับคนนั้นมาก”
“คุณหมายถึงใคร” ผมเริ่มนั่งไม่ติดทันใด ราวกับมวลแห่งอำนาจที่มิอาจจับต้องก่อตัวกันเป็นหมอกหนาและไหลซึมผ่าน ผมกำชับกอบกุมมือตนให้กดทับความรู้สึกตื้นตันบางอย่างเอาไว้ สกัดกลั้นกดรั้งเพื่อที่จะได้ไม่เผลอออกวิ่งพุ่งใส่เข้าที่ตัวของเธอ “เยี่ยม แล้วคุณจำลักษณะเขาได้ไหม”
“ฉันจำได้ เขาเหมือน—ไม่ ไม่ใช่...เขาคือคนที่ยื่นข้อเสนองานให้กับเพนนีในฤดูหนาวคืนนั้น แล้วก็ขอนอนกับหล่อนทั้งๆ ที่หล่อนเป็นแค่สาวเสิร์ฟแล้ว ณ ตอนนี้ มองตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นผู้ดีคนหนึ่ง เขามีเส้นผมสีบลอนด์ สำเนียงเวลาเขาพูดเหมือนคนอังกฤษตอนเหนือ ไม่ผิดแน่ ฉันเองก็เคยมีลูกค้ามาจากยอร์กเชอร์ แต่คืนนั้นเขาสวมสูทสีเขียวเข้มเหมือนหัวเป็ดแมลลาร์ด[1] ”
“รูปร่างเขาล่ะ”
“เขาสูงเท่าคุณได้ ไหล่กว้างเอวสอบ เขาอายุราวๆ สักสามสิบได้”
“หน้าตาเขาเป็นอย่างไร” ผมถาม
เธอส่ายหน้าเบา “ฉันมองไม่เห็น”
“ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณกี่โมง”
“เที่ยงคืนค่ะ ห้าทุ่มจะเที่ยงคืนค่ะ”
“มีอะไรที่แชปแมนเคยบอกคุณไว้อีกไหม เรื่องของเขา” ผมถาม
เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ หล่อนไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลย” วินาทีถัดมา ในคราวที่ผืนฟ้าสว่างวาบกู่ก้องส่งเสียงร้องคำรามสนั่นพรั่นพรึงพลันทำให้หล่อนสะดุ้งตัวโยนไปเล็กน้อย หยาดฝนหยดย้อยซ้ำเติมลงมาที่บานหน้าต่าง มวลละอองเคลื่อยคล้อยมาตามลมกระทบมาถึงเรา หน้าต่างกระพือปิดดังสนั่นอย่างที่อาจทำให้เรือนร้านหลังนี้พังวินาศถล่มทลายลงมาได้ “ฉันขอปิดหน้าต่างก่อนนะคะ”
สองสามก้าวที่หล่อนเดินทิ้งสะโพกเดินเว้นระยะห่างไปนั่น กลับหยุดชะงักที่กลางจัตุรัสร้าน “ชาร์ลีคะ ฉันมีเรื่อง อยากจะถามคุณค่ะ” ผมเพียงหันไปเล็กน้อย เห็นเธอเม้มริมฝีปากแน่นจนกลายซีดโพลน พะวักพะวนไม่พูดอำพะนำคำ สบตาในชั่วพริบตา “ฉันจะกลายเป็นเหมือนเพนนีไหมคะ”
ในแววตาตระหนกตกอยู่ในภวังค์ของความกลัว ในความสั่นพรั่นพรึงไหลตามกระแสเลือดว่ายเวียนอาบไหลในร่างกายรวยริน โมงยามเวลาบ่ายสีครามและหยาดฝนกลางฤดูร้อนปกคลุมทั่วทั้งเมือง ผู้ใดวอดวาย ผู้อื่นไม่วายจะพลันวินาศ
ความเงียบที่ครอบครองทั่วทั้งย่านอีสต์เอนต์ หล่อนร่ำไห้รำพันอย่างเงียบงัน ผมไม่อาจสามารถให้คำตอบใดใดกับเธอได้แม้แต่ประกายตาแห่งความหวัง ผมออกมาจากที่บาร์นั่นด้วยข้อคำถามและสมมติฐานซึ่งมากมายเสียจนมิอาจจัดเรียง แม้จะบากบั่นพยายามขีดเขียนในหน้ากระดาษแล้วก็ตาม เมื่อนั้น ฟ้าหยุดร้อง ฝนก็หยุดตก
Blonde Hair or Gray Dark mallard Midnight
from North East England Yorkshire Durham
กระดูกลิ่มผีเสื้อ มดลูก การทดลอง วิจัย ศัลยแพทย์?
สมุดพกพาถูกฉีกย่ำยีทิ้งร่องรอยต่ำหนิรอยฉีกขาดอันเว้าแหว่งระหว่างหน้ากระดาษที่หายไป หลงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและกระดาษหลังรอยฉีกปรากฏหลุมรอยขีดไร้สีอยู่เป็นประวัติศาสตร์ ฝีเท้าสัมผัสบทบาทวิถีที่ฉ่ำแฉะ จนกระทั่งนำพาสังขารออกมาที่ถนนใหญ่ อะไรหรือใดใดก็ตาม ด้วยอำนาจบางสิ่งบางอย่างติดพันอยู่อย่างล่องหนนั้นบันดลให้คิดเสเพลพาลเดินตัดถนนข้ามฝั่ง นั่งรถไอน้ำไปยังหอสมุดกลางเมือง
ชั้นหนังสือเรียงราย ผมหยิบยกห้วงในอดีต ภาพคนตาย กระดูกลิ่มผีเสื้อที่หายไปและสภาพลำไส้ของเพนนี แชปแมน กลิ่นหนังสือและความเงียบเหงา ราวผู้คนร้างหายไปกับหน้ากระดาษ จรดจิตอยู่กึ่งกลางระหว่างบรรทัดและวรรคใหม่ ผมสาวฝีเท้ามาถึงชั้นหนังสือการแพทย์ ซึ่งมีเพียงผมแต่เพียงผู้เดียวในโมงยามบ่ายคล้อยจวนจะสนธยา สำแสงส่องผ่านมวลละอองฝุ่นจากเรือนกระจกทิศตะวันตก ยามผมแทรกตัวเข้าไป กลิ่นฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลอยู่ในปอดอย่างเด่นชัดมากเกินจะทนไหว สันหนังสือที่เรียงรายมากมายจนนึกจะเลือกก็พลันหยิบไม่ถูก ผมลูบไล้ไปตามแนวสัน และราวกับเล่มนั้นมันมีเจตจำนง บันดลให้นิ้วของผมหยุด ก่อนดึงสันมันออกมาจากชั้น กดหัวนิ้วและเลื่อนแรงผ่อน หน้ากระดาษสานเรียงตามกันมาทางด้านซ้ายแล้วหยุดอยู่ที่หน้า 196
วินาทีนั้น มีใครคนหนึ่งเดินผ่านไปแล้วก็เดินกลับมาด้วยกองหนังสือในอ้อมอกโอบอุ้มด้วยแขนผอมเรียวทั้งสอง “โอ้ คุณเป็นแพทย์รึคะ”
“ไม่เชิง พอดีช่วงนี้ผมสนใจเรื่องเครื่องในมนุษย์เป็นพิเศษน่ะ”
เธอครางพ้องกับสีหน้าประหลาดใจ “งั้นเหรอ พอดีไม่ค่อยมีคนมาแถวชั้นหนังสือนี้นานแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยได้มาจัดหนังสือแถวนี้เลยด้วย มันเป็นระเบียบอยู่ตลอด” เธอพูด “เรื่องพรรคนี้เกิดขึ้น แทนที่คนควรจะหยิบหนังสือประเภทนี้ไปอ่านกันนะคะ พวกเขากลับกลัวกระทั่งจะเดินมาแถวหนังสือการแพทย์ด้วยซ้ำไป”
“ดูจากฝุ่นแล้ว คงไม่มีใครมาเลยสินะครับ” ผมพินิจคำถาม
“นอกจากคุณ ก็มีอยู่คนเดียวที่มาแถวชั้นหนังสือนี้ทุกสัปดาห์เลยล่ะค่ะ เขายืมหนังสือเรื่องสารเคมีการแพทย์ บอกว่ากำลังค้นวิธีดองโปรตีนให้ได้นานที่สุด”
ดองรึ
มดลูกรึ
“หลังจากนี้คุณจะมาบ่อยไหมคะ”
ผมปิดหนังสือราวกับปิดหับบานประตูสมองที่สรรพสิ่งมากมายต่างหลากไหลไม่หยุดหย่อน “ก็อาจจะช่วงนี้ คุณเป็นบรรณารักษ์ของที่นี่ใช่ไหม” เมื่อการตอบรับคือรอยยิ้มในแววตาหวานและพยักหน้าเจือสีระเรื่อ “ชาร์ลี รีดด์ผมเป็นนักสืบ” ผมพูด “คุณไม่จำเป็นต้องบอกชื่อผม แต่ขอผมดูรายชื่อการยืมหนังสือของที่นี่ตั้งแต่ช่วงสองเดือนก่อนได้หรือไม่ โดยเฉพาะหนังสือการแพทย์”
...
และผมก็ได้มันมา ใบรายชื่อและวันที่ที่ลงบันทึกสามเดือนก่อน รวมถึงรูปแบบของลายมือกวัดสีหมึก ความนุ่มลึกในน้ำเสียงของเธอบรรณารักษ์ คุณเอาไปทำอะไรหรือคะ ผมไม่ตอบอะไรมากมาย หรือตอบอะไรที่เธอจะไม่อาจเข้าใจไขได้ในภายหลังก่อนจะจากมา
...
แด่ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามเจตจำนงที่ตั้งมั่น ผมนั้นหยิบยื่นเศษเงินก้นกระเป๋าแลกกับซองบุหรี่ใหม่ แม้ที่บ้านเลขที่ 256 หลังนั้นซึ่งเต็มไปด้วยพนังสีแดงและลายริ้วบิดพลิ้วงดงาม มีกองยาสูบและซิการ์มากมายที่อาจสามารถไปบริจาคให้แก่ผู้อยากวอดวายด้วยโรคปอด ผมเหลือเวลาไม่มากที่จะข้ามฝั่งแม่น้ำเทมส์ก่อนอาทิตย์ตกดิน ในโมงยามแสงอัสดง ฉาบชโลมสีสุริยะอำพันบนอาคารมีปล่องไฟบนหลังคา ทิศตะวันออกทอดเงาอันมืดมิดในแนวเฉียงไปทางทิศใต้ บิดเบี้ยว อัปลักษณ์และวิปลาส บนบาทวิถี วินาศภัยอันใกล้ในศตวรรษนี้ที่อาจรังสรรค์อาชญนิยายได้เป็นสิบเรื่องเมื่อล่วงลับได้ไม่กี่สิบปีให้หลัง
โมงยามในตอนนี้ สีสันเริ่มเลือนลับ เรือนคาทยอยหับบานประตู ผมนั่งอยู่บนรถจักรขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ พลันหวนคิดถึงอายุขัยสัตว์มนุษย์ที่ระเหยเร็วรวดเป็นดั่งไอร้อน ห้วงระยะหนึ่งเรารับรู้และได้สัมผัส ก่อนจะพินาศย่อยยับเลือนลับสิ้นไป ผมเฝ้ามองการขับเคลื่อนเลื่อนลั่นของเครื่องจักรสวนทางอีกฟากของฝั่งถนน
ด้วยร่างกาย สังขารและจิตวิญญาณ ซึ่งเคลื่อนคล้อยต้านกระแสลมเรื่อยมา ผมและเครื่องจักรยนต์คันนี้ขับเคลื่อนคุมด้วยสารถีมาถึงแม่น้ำเทมส์บนสะพานลอนดอนใหญ่โตวังเวง ผมถวิลนึกถึงริชาร์ด อีกครั้งหนึ่ง ผมประหลาดใจกับทุกสิ่งที่รายล้อมเจ้าตัวประดิษฐ์ขึ้นมาไม่เคยเว้นว่าง คุณไม่เคยซ่อนเร้นความวิลาสที่มักคอยแต่จะปั่นป่วนผม ราวกับคุณหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ คุณกรีดด้วยด้ามปลายอันแฝงไปด้วยความลุ่มหลง เกิดเป็นหลุมบ่อของรอยแผลจนมิอาจสมานผสานตัว ริชาร์ด...สีหน้าและแววตาอันแดงฉาน สการ์เล็ตของคุณ เหมือนมีวี่แววของความต้องการให้ผมกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่วงโรยเป็นผุยผงทุกชั่วยาม คุณทำให้ผมลืมคืนวันได้ในชั่วขณะด้วยท่วงท่าและเงาทะมึนฉายบนพนังเป็นรูปร่างสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ ไม่เพียงเท่านั้น ในเมล็ดพันธุ์คุณซ่อน วัชพืชแตกก้านไม่หวังดีเริ่มเจริญแทรกต้นอ่อนในเลือดของผม ผมปวดหนึบ ร้าวราวและพินาศไปกับความพิสดาร ชั่วพริบตา ผมเกือบจะอ้อนวอนคำขอที่ยิ่งกว่า และสุดท้ายก็ถูกคุณทำให้วอดวายไปเสียก่อนจะเอ่ยความ ด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นนั้น และนัยน์ตาส่องสะท้อนเป็นประกายเมื่อแหงนเงยร้องครางกระสัน คุณทำให้ผมนึกถึงงานสังสรรค์เคลื่อนไหวด้วยวอลซ์[2]คุณร่ายรำทุกหนทุกแห่งในคฤหาสน์หรูหรา ก่อนจะพินาศฉิบหายไม่เหลือชิ้นดี โคมระย้าเพริศพรายร่วงหล่น ปราสาทแก้วและไวน์แตกกระจายและซึบหายไปในพื้นพรม คุณยังคงร่ายรำในใจผมไม่จางหายไป
คืนนั้น คุณขับร้องบทเพลงกล่อมเด็กเป็นเสียงฮัม หลังเสร็จสมในคราที่สามของเรา คุณแผ่หลาบนผืนผ้าหนุนหัวบนหน้าท้องกระเพื่อมหายใจอ้อยอิ่งของผม เรียวนิ้วขดม้วนเส้นผมสีคืนฟ้าราตรีดับขลับเงาของผมเล่นราวกับถูกมนต์สะกด เราถูกร่ายล้อมด้วยผืนผ้า แสงจันทร์ประดับดวงดาราและเสียงร้องของนกแสก เมื่อนั้น คุณยื่นมือออกไปคว้าแสงรัตติกาลราวกับว่าสามารถ
London Bridge is falling down
Falling down, falling down
London Bridge is falling down
My fair lady.
คุณจูบร่ำลาที่เส้นผมของผมก่อนหลับใหลในคืนที่ดวงจันทร์ส่องสว่างรายล้อมไปด้วยดวงดาราทอแสงแนวเส้นพร่างพราว เราเปล่าเปลือยและปกปิดเจตนาการร่วมรักครั้งนี้ ผ่านพ้นสะพานวินาศในบทเพลง ผมลงจอดที่ท่าฝั่งแม่น้ำเทมส์และเป็นอีกครั้งที่ผมพบเจอด้วยความพิสดารบังเอิญ
“สายันต์สวัสดิ์คุณนักสืบ”
Author @sheisbreathing
เชิงอรรถ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in