เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มูฟวี่ 101StarLord4K
11 สุดยอดหนังที่ชุบชีวิตแฟรนไชส์ตัวเองมิให้ล่มสลายได้สำเร็จ
  • แฟรนไชส์หนังภาคต่อต่างๆ เรียกได้ว่ามีประสบความสำเร็จทุกภาคก็ดี อย่าง Harry Potter หรือ The Lord of the Rings แต่สิ่งที่ยากก็คือการยังคงคอนเซปและความต่อเนื่องของหนังชุดให้ไปต่อได้หลายๆ ภาค ซึ่งก็มีหลายแฟรนไชส์ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก แต่เขาเคยขายดีมาก่อนนะ จะให้เงียบหายไปแบบนั้นหรือ สตูดิโอต่างๆ ก็เลยพยายามจะชุบชีวิตแฟรนไชส์ขึ้นมาใหม่ ด้วยการสร้างภาคต่อก็ดี หรือรีบูทใหม่หมดเลยก็ดี สมหวังบ้าง ล้มเหลวบ้าง วันนี้เราจะมารวบรวม 11 สุดยอดหนังที่ชุบชีวิตแฟรนไชส์ตัวเองมิให้ล่มสลายไปตามกาลเวลาได้สำเร็จ

    1. Jurassic World (2015)
    แฟรนไชส์ : Jurassic Park
    ภาคก่อนหน้า : Jurassic Park III (2001)

    แฟรนไชส์หนังไดโนเสาร์ที่ดีที่สุดในโลก เริ่มต้นจากความคิดของสตีเว่น สปิลเบิร์ก ใน Jurassic Park หนังจากปี 1993 ที่สมจริงมากในยุคสมัยนั้นจนรู้สึกเหมือนกับว่าเอาไดโนเสาร์ตัวจริงมาเข้าฉากยังไงยังงั้น หลังจากที่ภาคแรกประสบความสำเร็จถล่มทลาย สตูดิโอจึงตัดสินใจทำภาคต่อโดยนำทรัพยากรเดิมมาใช้ต่อ ในชื่อ The Lost World: Jurassic Park และ Jurassic Park III แต่ผลตอบรับของ 2 ภาคต่อมานี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก และโปรเจคที่จะทำภาคต่อต้องเลื่อนออกไปหลายปี ต้องเขียนบทใหม่อีกถึง 2 ครั้ง แต่ในที่สุด 14 ปีที่รอคอย ภาค 4 ก็ได้ถือกำเนิดมา เล่าเรื่องราวภาคต่อจากภาคแรกราวๆ 20 ปี เมื่อสวน Jurassic Park จากภาคแรกพัง ก็มาเปิดสวนใหม่ชื่อ Jurassic World ได้คริส แพร่ด (ผัว) มาเล่นเป็นพระเอก และนางเอกที่ใส่รองเท้าส้นสูงวิ่งทั้งเรื่อง แม้จะไม่ได้สปิลเบิร์กกำกับ แต่ภาคนี้ก็ถ่ายทำแบบ 3D สมจริงด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้หนังออกมาสนุกมาก ทำเงินทะลุพันหกร้อยล้านดอลลาร์ ช่วยชุบชีวิตแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ให้ยูนิเวอร์แซลสตูดิโออนุมัติภาคต่อไปได้สำเร็จ

    2. X-Men First Class (2011)

    แฟรนไชส์ : X-Men
    ภาคก่อนหน้า : X-Men Origins: Wolverine (2009)

    เหล่าเอ๊กเมนถือเป็นซุปเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวลคอมมิคกลุ่มแรกๆ ที่ได้สร้างเป็นหนังคนแสดงแล้วประสบความสำเร็จ เพราะหนังซุปเปอร์ฮีโร่ก่อนหน้านั้นมันแฟนตาซีและงบน้อยเกินไปจนไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ในช่วง 1970-1990 มีหนังซุปเปอร์ฮีโร่มาร์เวลประปราย แต่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก จากความสำเร็จของหนังภาคแรกในปี 2000 ทางสตูดิโอฟ๊อกก็ได้สร้างภาคต่อออกมา 2 ภาค คือ X2 และ X-Men: The Last Stand ภาค X2 ก็ถือว่าสนุกมาก สนุกกว่าภาคแรกอีก แต่ปัญหามันอยู่ที่ภาค The Last Stand นี่แหละ ที่ไม่รู้คนเขียนบทคิดอะไรถึงได้ทำเรื่องออกมาวุ่นวายเต็มไปหมด แถมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ตายเป็นผักปลา เล่นซะไม่เหลือช่องให้ทำหนังต่อไปแล้วมั้ง แต่ทางฟ๊อกก็ยังไม่อยากให้แฟรนไชส์นี้เงียบ เลยสร้างภาคแยกของวูฟเวอลิงออกมาในปี 2009 เพราะฮิวจ์ แจคแมน (ผัว) เป็นลูกรักของสตูดิโอ แต่กลับทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะช่องโหว่ของบทมันเยอะมาก เยอะยิ่งกว่าภาคก่อนหน้า แถมยังปู้ยี้ปู้ยำเจ้าหนุ่มเดดพูลให้โดนเย็บปากน่าอนาถไปอีก ทำให้ผลตอบรับภาคนี้ออกมาแย่ และกลายเป็นว่าถูกลืมไปในที่สุด เริ่มหมดหนทางไปต่อแล้วหรือ ยัง ช่วงนั้นฮอลลีวูดมีลูกเล่นใหม่ไว้ใช้เวลาหมดมุก คือการทำหนังเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปเล่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ ฉะนั้น X-Men First Class จึงออกมาฉายในปี 2011 กำกับโดยแมทธิว วาน (แกไม่ได้กำกับเอง แต่วานคนอื่นมากำกับให้ #ผิด) เล่าเรื่องราวของชาร์ลและอีริคสมัยยังเอ๊าะๆ และยังเป็นเพื่อนรักกันอยู่ก่อนจะมีเรื่องให้ผิดใจกันแล้วตีกันเรื่อยมา ได้เจมส์ แม๊คอะวอยปะทะกับไมเคิล ฟ๊าดเบนเดอร์ (ผัว) และภาคนี้ดันทำเงินเสียด้วย หลายคนก็ชอบ ถึงขั้นยกให้เป็นเอ๊กเมนที่ดีที่สุด ทำให้ฟ๊อกตัดสินใจสร้างภาคต่อที่เป็นการรีบูทแฟรนไชส์ใหม่โดยสมบูรณ์
  • 3. Fast Five (2011)
    แฟรนไชส์ : The Fast and the Furious
    ภาคก่อนหน้า : Fast & Furious (2009)

    จะว่าไป The Fast and the Furious ก็เป็นหนังแข่งรถที่สนุกมาก เรื่องราวของไบรอันที่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มโจรของดอมินิคเพื่อสืบหาโจรขโมยอะไรซักอย่างจำไม่ได้ ฮ่าๆ แต่ก็ดันไปปิ๊งมีอา น้องของดอมินิค แล้วก็กลายเป็นว่าไบรอันร่วมมือกับมีอาและดอมินิคจัดการหัวขโมยที่แท้จริง ไบรอันกลายมาเป็นเพื่อนดอมินิคและได้มีอามาเป็นเมีย จากความสำเร็จของหนังในปี 2001 ทางยูนิเวอร์แซลสตูดิโอก็ส่ง 2 Fast 2 Furious ภาคต่อออกมา ก็สนุกไม่แพ้กัน และภาคแยกที่ตอนแรกตั้งใจจะไม่เกี่ยวข้องกับ 2 ภาคแรกอย่าง Tokyo Drift ที่มีเพลงฮิตติดหูชาวไทย ผลตอบรับออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่การที่วิน ดีเซลไปโผล่ที่ท้ายเครดิตภาคนี้ทำให้แฟนๆ ออกมาอ้อนว่าอยากให้เฮียดอมกลับมา ทางสตูเลยสร้างภาคต่อออกมาคือ Fast & Furious เป็นภาค 4 ของชุดนี้ ให้เป็นภาคต่อของภาค 2 แต่กระแสก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะหนังดูเหมือนจะออกทะเลไปพอสมควร แต่สุดท้าย Fast Five ก็ออกมาเพื่อปฏิวัติทิศทางของหนังชุดนี้อย่างสิ้นเชิง จากหนังแข่งรถกลายเป็นหนังแอคชั่นโจรกรรมที่เน้นขับรถ แถมทำออกมาได้ดีมากๆ เสียด้วย ภาพลากตู้เซฟไปตามเมืองยังติดตามาจนถึงวันนี้ ทำให้สตูสร้างภาคต่อออกมาอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่นักแสดงนำอย่างพอล วอล์คเกอร์ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ทำให้แนวทางของเรื่องเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะเรายังจะได้ดูภาคต่อไปของแฟรนไชส์นี้ไปอีกนาน โดยให้พี่วิน และเดอะร็อคมาเป็นตัวหลักแทน

    4. Mad Max : Fury Road (2015)
    แฟรนไชส์ : Mad Max
    ภาคก่อนหน้า : Mad Max Beyond Thunderdome (1985)

    หนังขับรถเพื่อเอาตัวรอดในโลกหลังยุคล่มสลายจากระเบิดนิวเคลียร์สัญชาติออสเตรเลียจากปี 1979 เรื่องนี้ได้ผลตอบรับออกมาค่อนข้างดีในระดับนึง และแจ้งเกิดนักแสดงอย่างป๋าเมล กิ๊บสันได้ ลุงจอร์จ มิลเลอร์ก็เข็นภาค 2 และ 3 ออกมาตามๆ กันในปี 1981 และ 1985 ผลตอบรับก็ดีพอๆ กัน แต่ไอเดียที่จะทำภาคต่อนั้นใช้เวลาพัฒนายาวนานมากกว่า 15 ปี ในปี 2001 ลุงจ๊อดมีความตั้งใจอยากทำภาคต่อของหนัง และให้เมล กิ๊บสันกลับมาเล่นบทแม๊กซ์ ตำรวจหนุ่มที่ลูกเมียตายเหมือนเดิม แต่เกิดเหตุการณ์ 911 ทำให้งบสร้างหนังโดนตัด โปรเจคก็เลยพับ ลุงจ๊อดจึงหนีไปสร้างการ์ตูนแอนิเมชั่นอย่าง Happy Feed ในระหว่างนั้นก็ปรับบทภาคต่อไปด้วย และกิ๊บสันก็ไม่ได้กลับมาเล่นแล้วเพราะอายุมากเกิน ตอนแรกเล็งฮีท เล้ดเจอร์ไว้ แต่เขาเสียชีวิตก่อนในปี 2008 และหนังก็มีการเลื่อนถ่ายทำหลายครั้ง จนได้เริ่มถ่ายทำจริงๆ ปี 2012 สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ได้ฉายปี 2015 ทิ้งห่างจากภาคก่อน 30 ปีถ้วน ใน Fury Road ได้ทอม ฮาร์ดี้ (ผัว) มารับบทเป็นแม๊กซ์ และชาร์ลิส เทียรอนรับบทเป็นฟูริโอซ่า หญิงเก่งหัวใจแกร่ง เนื้อเรื่องอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่โคตรสนุก สนุกแบบสนุกมาก สมแล้วที่เพาะบ่มมากว่า 30 ปี กระแสตอบรับออกมาดีมากๆ จนลุงจ๊อดตัดสินใจทำภาคต่อทันที ไม่นานเกินรอแน่นอนที่เราจะได้ดูภาคต่อไปของแฟรนไชส์นี้

    5. Man of Steel (2013)
    แฟรนไชส์ : Superman
    ภาคก่อนหน้า : Superman Returns (2006)

    ซุปเปอร์แมนคือซุปเปอร์ฮีโร่คนแรกของโลก เปิดตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน Action Comics ในปี 1938 ต่อมาถูกนำมาสร้างหนังครั้งแรกในปี 1948 และมีหนังของพี่แกออกมาบ้าง แต่จะนับภาคแรกที่เป็นทางการจริงๆ คือหนังที่เป็นภาคแรกของวอร์เนอร์สตูในปี 1978 ที่ได้คริสโตเฟอร์ รีฟมาเล่นเป็นซุปเปอร์แมน กระแสออกมาค่อนข้างดีทีเดียว จึงได้สร้างภาคต่อออกมาอีก 3 ภาค แต่ปัญหาอยู่ที่ภาค 4 อย่าง The Quest for Peace ในปี 1987 ที่มันห่วยแตกเสียเหลือเกิน บทก็แย่ เอฟเฟกต์ก็ห่วย แถมยังขาดทุนอีกต่างหาก ทำให้สตูต้องระงับโปรเจคภาคต่อไปนานหลายปี จนกระทั่งปี 2004 ไบรอัน ซิงเก้อ ที่ตอนนั้นเพิ่งทำหนัง X2 และได้ผลตอบรับดีมากๆ เกิดสนใจจะสร้างภาคต่อของซุปเปอร์แมนขึ้นมา จึงทิ้งเก้าอี้ผู้กำกับเอ๊กเมนภาค 3 และติดต่อวอร์เนอร์และได้กำกับภาคต่ออย่าง Superman Returns หวังจะชุบชีวิตแฟรนไชส์ ก็ทำออกมาค่อนข้างดีเลย แต่หลายเสียงบอกหนังน่าเบื่อ รายได้ก็กลางๆ พอสมควร ทางสตูเล็งเห็นว่าสร้างภาคต่อก็คงไม่รอด จึงตัดสินใจรีบูทหนังใหม่ซะเลย และหลังจากที่หนังฮีโร่ในเครือตัวเองอย่าง Batman Begins และ Watchmen กระแสออกมาค่อนข้างดี จึงตัดสินใจจะทำหนังให้มันดาร์คๆ ไปเลยแบบนั้นแหละ และได้แซ็ค สไนเดอร์ เจ้าพ่อหนังสโลโมชั่นที่เคยกำกับ Watchmen มากำกับเรื่องนี้ กระแสออกมาเป็นสองทางคือถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย แต่รายรับออกมาดี และในขณะนั้นทางมาร์เวลสตูได้สร้างหนัง The Avengers ซึ่งเป็นหนังรวมฮีโร่และประสบความสำเร็จอย่างมาก และกำเนิดจักรวาล MCU อันแสนซับซ้อน วอร์เนอร์จึงได้ตัดสินใจทำมั่ง โดยให้เรื่องนี้เป็นหนังเปิดของ DCEU และเราจะเห็นภาคต่อออกมาเรื่อยๆแน่นอน
  • 6. Batman Begins (2005)
    แฟรนไชส์ : Batman
    ภาคก่อนหน้า : Batman & Robin (1997)

    แบทแมนเป็นฮีโร่ฝั่งดีซีที่น่าอิจฉา เพราะได้มีหนังไตรภาคที่ดีที่สุด แถมได้มีเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Arkham Knight ด้วย แถมดีกว่าซุปเปอร์แมนเสียอีก แบทแมนได้รับการสร้างเป็นหนังครั้งแรกเมื่อปี 1966 ด้วย แต่ก็ไม่ได้ต่อมาเป็นแฟรนไชส์จนกระทั่งปี 1989 โดยทิม เบอร์ตั้น เจ้าพ่อหนังโทนดาร์คมากำกับ ได้ออกมาเป็น Batman และ Batman Returns หนังได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีเลย แต่อย่างว่าน่ะแหละ เบอร์ตันทำหนังออกมาหม่นไปหน่อย ตัวร้ายก็น่ากลัวไปสำหรับเด็กๆ ภาคถัดมาเลยเปลี่ยนผู้กำกับเป็นอีตาโจ ชูมัคเกอร์ และนางก็ได้เปลี่ยนโทนหนังไปเป็นอะไรที่สดใสมากขึ้นกับ Batman Forever กระแสไปในทางกลางๆ แต่ภาคต่อมาคือ Batman & Robin นี่เรียกได้ว่าน่าเกลียดมากจนชาวเน็ตพร้อมใจกันยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ห่วยที่สุดในโลก เพราะบทสนทนาแย่ คอสตูมก็แย่ ชุดแบทแมนโชว์หัวนมด้วย ไหนจะมีบัตรเครดิตแบทแมนอีก ตัวร้ายก็เยอะมากเกินไป กระแสออกมาในทางลบ ทางวอนเนอร์สตูก็พับโปรเจคภาคต่อไปทั้งหมด ผ่านไป 6 ปีในปี 2003 วอร์เนอร์ได้เล็งเห็นผลงานอันโคตรจะเท่ของผู้กำกับพ่อทุกสถาบันอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน จากหนังเรื่อง Memento จึงตัดสินใจจ้างมาให้ช่วยทำหนังแบทแมนภาคต่อ ใช้เวลาอยู่ 2 ปีจึงได้ Batman Begins หนังที่ย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดของแบทแมน และทำได้ดีมากๆ เสียด้วย จนสตูได้อนุมัติให้สร้างภาคต่อที่เป็นตำนานหนังที่ดีที่สุดในโลกได้อย่าง The Dark Knight และเป็นต้นแบบให้หนังหลายๆ เรื่องสร้างออกมาในโทนมืดๆ ดาร์คๆ ไปอีก

    7. Star Trek (2009)
    แฟรนไชส์ : Star Trek
    ภาคก่อนหน้า : Star Trek: Nemesis (2002)

    สตาร์ เทรคก็เป็นแฟรนไชส์หนังตะลุยอวกาศที่ค่อนข้างดังและมีแฟนตลับติดตามเยอะไม่ต่างจากสตาร์ วอร์ แถมมีซีรีส์โทรทัศน์ด้วย แต่ที่นี่จะเจาะลึกเฉพาะหนังเท่านั้น โดยเรื่องราวของคู่หูเคิร์กและสป๊อกได้สร้างเป็นหนังภาคแรกเมื่อปี 1979 และออกมาต่อเนื่อง 2-3 ปี เป็นจำนวน 6 ภาค กระแสค่อนข้างดีทีเดียว ก่อนที่ในปี 1994 จักรวาลซีรีส์จะเปลี่ยนตัวนักแสดงใหม่ เรียกพวกเขาว่าเป็น The Next Generation มารับหน้าที่ต่อจากพวกเจนเก่าๆ ในหนังก็ต้องเปลี่ยนตาม โดยภาคต่อมาเป็น Star Trek Generations และในชุดนี้ก็มีภาคต่อออกมาอีก 3 ภาค ซึ่งในภาคที่ 4 ของชุดนี้อย่าง Nemesis ในปี 2002 ค่อนข้างกร่อยมาก บทพูดก็ออกไปทางตลก แฟนๆ ก็ค่อนข้างจะยี้ ทำให้พาราเม้าท์สตูตัดสินใจรีบูทจักรวาลใหม่ทั้งหมด และให้เจเจ เอแบรมส์ ที่ตอนนั้นกำลังดังจากซีรีส์ LOST มากำกับ และ Star Trek ฉบับใหม่ก็ได้ฉายในปี 2009 และกระแสออกมาดีมาก ทำให้สตูตัดสินใจสร้างภาคต่อออกมาอย่างน้อย 2 ภาค ไหนจะมีซีรีส์ชุดใหม่ที่กำลังจะออกตามมา แฟนๆ ยูเอสเอสเอ็นเตอร์ไพรส์ก็เตรียมออกเดินทางไปด้วยกันต่อไปอีกนานเลย 

    8. Casino Royale (2006)
    แฟรนไชส์ : James Bond
    ภาคก่อนหน้า : Die Another Day (2002)

    เจมส์ บอนด์ คือสายลับชาวอังกฤษชื่อดังจากนิยายขายดีของเอียน เฟลมมิ่ง ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้ว 20 ภาคตั้งแต่ภาคแรก Dr. No ในปี 1962 มีนักแสดงมาเล่นเป็นเจมส์ บอนด์แล้ว 5 คน ตั้งแต่ฌอน คอนเนอรี่ ไล่มาจนถึงโรเจอร์ มัวร์ และคนล่าสุดคือลุงเพียซ บรอสแนน เล่นอยู่ 4 ภาค ในภาคล่าสุดที่ 20 คือ Die Another Day ในปี 2002 กระแสออกมากลางๆ ค่อนไปทางน่าผิดหวัง แถมหนังยังใช้ซีจีหนักมากจนปลอมเปลือก ครั้นจะสร้างภาคต่อ ลุงเพียซก็เริ่มแก่มากแล้ว ทางสตูจึงตัดสินใจหาบอนด์คนใหม่มาเล่น ซึ่งก็ได้แดเนียล เคร็ก หนุ่มอังกฤษสุดฮอต แต่ก็โดนหลายคนสบประมาทว่าไม่หล่อ แถมเตี้ยอีกต่างหาก แต่สุดท้าย Casino Royale ก็ออกมาประสบความสำเร็จมาก ถือเป็นการเริ่มต้นสายลับบอนด์คนใหม่ที่จริงจังมากขึ้น ดุดันมากขึ้น มีมิติมากขึ้น พึ่งพาซีจีน้อยลอง ทำให้มีภาคต่อออกมาอีก 3 ภาคเป็นอย่างน้อย หลายคนก็ยกให้เคร็กเป็นบอนด์ที่ดีที่สุดด้วย

    9. Teenage Mutant Ninja Turtles (2014)
    แฟรนไชส์ : Teenage Mutant Ninja Turtles
    ภาคก่อนหน้า : TMNT (2007)

    เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักเต่านินจา แต่เด็กยุค 90 หลายคนต้องรู้จัก ในอดีตเป็นแก๊งปราบอธรรมที่ดังมาก มีทั้งหนังสือการ์ตูน เกม ของเล่น ออกมาหลอกเด็กมากมาย โดยเต่านินจาถูกสร้างเป็นหนังครั้งแรกตอนปี 1990 กระแสออกมาดีพอสมควร และสร้างภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค แต่กระแสไม่เท่าภาคแรก และเต่านินจาก็เสื่อมความนิยมไปตามการเวลา กลายเป็นเพียงวัยเด็กในความทรงจำ แต่ผู้ใหญ่บางคนไม่อยากให้หายไป จึงตัดสินใจชุบชีวิตหนังเต่านินจาออกมาในปี 2007 แต่เป็นหนังแอนิเมชั่นใช้คอมทำล้วน ทำภาพออกมาจริงจังขึ้นตามยุคสมัย แต่ก็ไม่สามารถชุบชีวิตได้เพราะกระแสไม่ดี ผ่านมา 7 ปี ไมเคิล เบย์ เจ้าพ่อหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อมตัดสินใจมานั่งเก้าอี้โปรดิ๊วเซอร์ใหญ่เพื่อชุบชีวิตหนังเป็นครั้งที่ 2 และกลับมาเป็นหนังคนแสดงเต็มตัวอีกครั้ง กระแสออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว รายได้เข้าเป้า ถือว่าเป็นการชุบชีวิตที่ได้ผล แถมสตูยังอนุมัติให้สร้างภาคต่ออีกต่างหาก อย่างน้อยก็จะได้ขายของเล่นให้เด็กรุ่นใหม่ได้อีก
  • 10. Rise of the Planet of the Apes (2011)
    แฟรนไชส์ : Planet of the Apes
    ภาคก่อนหน้า : Planet of the Apes (2001)

    สร้างจากหนังสือขายดี Planet of the Apes ถูกสร้างเป็นหนังในปี 1968 จุดเด่นคือการหักมุมที่ทรงพลัง แต่ก็ถูกสปอยล์ได้ง่ายเหมือนกัน (แต่หนังก็เก่าแล้ว ขอสปอยล์เถอะ) เรื่องราวของนักบินอวกาศกลุ่มหนึ่งที่ลงจอดยานบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งแล้วพบว่าดาวดวงนี้ปกครองด้วยลิงทั้งหมด! เรื่องราวก็เฉลยว่าแท้จริงแล้วดาวเคราะห์ดวงนี้คือโลก เพราะฉากสุดท้ายพระเอกไปเจอซากของเทพีเสรีภาพ ฮือฮากันไปทั้งหมดในขณะนั้น ผลตอบรับดีมาก แถมสร้างภาคต่อออกมา 4 ภาคในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำเงินพอสมควร แต่กระแสไม่ดังเท่าภาคแรก แถมยังมีทำซีรีส์โทรทัศน์อีก 2 ภาคก็ไม่เปรี้ยง หนังก็หายไปตามกาลเวลา จนกระทั่งปี 2001 ทิม เบอร์ตั้น ผู้กำกับชื่อดังได้กระทำการรีเมคอย่างอ่อนละมุน ได้มาร์ค วอลเบิร์กมารับบทพระเอก เล่าเรื่องคล้ายๆ ของต้นฉบับ แต่ผลตอบรับออกมาค่อนข้างแย่ เพราะเขียนบทได้ไม่เจ๋งเท่าฉบับดั้งเดิม จึงไม่ได้สร้างภาคต่อ และการชุบชีวิตครั้งแรกก็เป็นอันพัง ฟ๊อกสตูจึงตัดสินใจสร้างหนังที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดการเป็นโลกที่เต็มไปด้วยลิง (หรือเรียกง่ายๆ คือรีบูทหนังนั่นเอง) ออกมาเป็น Rise of the Planet of the Apes ในปี 2011 และผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี จึงได้สร้างเป็นไตรภาคออกมาคือ Dawn of the Planet of the Apes ที่ผลตอบตอบรับก็ดีเช่นกัน และภาคจบไตรภาคชื่อ War of the Planet of the Apes ที่กำลังจะเข้าฉายต่อไป

    11. Star Wars: Episode VII - The Force Awakens (2015)
    แฟรนไชส์ : Star Wars
    ภาคก่อนหน้า : Star Wars: Episode III - Revenge of the Sith (2005)

    แฟรนไชส์สตาร์วอร์เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์หนังที่สนุกที่สุดในโลก มีแฟนคลับมากมาย มีสื่อ ของเล่น เกม ก็อีกมากมาย สตาร์วอร์ภาคแรกฉายในปี 1977 แรกเริ่มใช้ชื่อเพียง A New Hope เป็นภาคแรกถ้านับลำดับการสร้าง แต่เป็นภาค 4 ถ้านับตามเวลาที่เกิดเรื่อง ผลงานการสร้างของจ๊อด ลูคัส ด้วยการใช้เทคนิคเอฟเฟกต์ที่ค่อนข้างสมจริงมากในสมัยนั้น บทที่ค่อนข้างสนุก ตัวละครมีเสน่ห์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมากๆ ชนิดที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะประสบความสำเร็จ ลูคัสจึงเข็นภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค แม้ลูคัสจะไม่ได้กำกับเอง แต่ก็กลายเป็นหนังที่สนุกและประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในหนังไตรภาคที่ดีที่สุด โดยหลังจากภาค 3 อย่าง Episode VI - Return of the Jedi เข้าฉายในปี 1983 ผ่านไปกว่า 16 ปีกว่าที่ภาคต่อของหนังชุดนี้จะลงจออีกครั้ง โดยเล่าเรื่องย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด ในปี 1999 Episode I - The Phantom Menace ก็ได้เข้าฉาย โดยที่ลูคัสกำกับเอง แม้ว่าผลตอบรับจะออกมาไม่ดีนักเพราะบทไม่พีคเท่าภาคก่อนๆ แถมยังออกแบบตัวละครค่อนข้างแย่ แต่ฉากดวลดาบก็เป็นฉากหนึ่งที่น่าจดจำ ลูคัสสร้างภาคต่อออกมาอีก 2 ภาคเพื่อให้ครบไตรภาค แต่กลับกลายเป็นภาคที่แฟนๆ ไม่ค่อยชอบใจเลย เพราะใช้ซีจีหนักมาก บทก็ลิเก๊ลิเก แถมฉากแอคชั่นก็ดูเด่อๆ ในปี 2005 ภาคที่ 6 อย่าง Episode III - Revenge of the Sith ก็ได้ข้าฉาย จนโปรเจคภาคต่อก็เงียบๆ ไป กระทั่งดิสนีย์ได้เข้าซื้อสตูดิโอของลูคัสฟิล์มในปี 2012 จึงได้เอาสตาร์วอร์มาปัดฝุ่นใหม่พร้อมประกาศสร้างภาคต่อในทันที โดยทิ้งบทเดิมที่ลูคัสเคยเขียนไว้แล้วแต่งบทขึ้นมาใหม่ ได้ เจเจ เอแบรมส์ ที่กำกับสตาร์เทรคฉบับรีบูท 2 ถาคแรกมากำกับภาคต่อภาคนี้ หนังประสบความสำเร็จมาก แบบมากกกกก เป็นหนังที่แฟนทุกคนรอคอย แม้ว่าจะมีจุดบกพร่องบ้าง แต่ก็ยังถูกใจแฟนรุ่นเก่า แถมยังดึงแฟนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสนใจแฟรนไชส์นี้มากขึ้น ดิสนีย์จึงรีบวางแผนสร้างภาคต่อและภาคแยกในทันที เราจึงจะยังได้ดูหนังจากแฟรนไชสืนี้กันไปอีกนาน

    จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นหนังแอคชั่นเสียนี่ แต่หนังแอคชั่นที่มีภาคต่อมักประสบปัญหาฝังกลบตัวเองลงหลุมเสร็จสรรพถ้าผู้กำกับไม่เจ๋งพอ คนเขียนบทไม่ฉลาดพอ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายของค่ายหนังที่ต้องรักษาชื่อเสียงของแฟรนไชส์หนังดังของตัวเองเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนต่อไป และคนดูหนังอย่างเราๆ ก็หวังจะได้ดูหนังภาคต่อที่บทไม่ป่วย ซีจีดีๆ ต่อยอดได้หลายทาง และเบื่อการรีบูทแล้ว เช่นนี้อยู่เรื่อยไป

    -- เรียบเรียงจาก Watchmojo และ IMDB --
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in