เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BTS SF/OS Everything is Seokjinพระจันทร์
(SF) Rainy Day, Clear Umbrella and 1 Year Later [NamJin Feat.HopeGa]

  • http://photographytricks.com/wp-content/uploads/2013/10/rain-photography-clear-umbrella-during-a-rain.jpg

    #Namjinweeklyth

    Week 01 : ฤดูฝน





    1 ปี มันยาวนานแค่ไหนกันนะ



    ความเฉอะแฉะของฤดูฝนได้กลับมาเยือนอีกครั้ง คิม ซอกจิน ไม่ได้เกลียดฤดูฝนแต่ก็ไม่ได้ชอบมันเช่นกัน

    เขาชอบเช้าวันรุ่งขึ้นหลังคืนที่ฝนตก 

    ชอบที่ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งสดใส 

    ชอบที่ดอกไม้จะผลิบานรับแสงแดดอ่อนๆ 

    ชอบที่ต้นหญ้าที่ข้างทางจะเริ่มแตกต้นอ่อนราวกับเป็นสัญญาณเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง


    แต่เขาไม่ชอบที่หลังฝนตก


    สายฝนได้พาเขาคนนั้นจากไป--





    นาฬิกาที่ผนังบอกเวลา 18:00 ซอกจินมองหลอด micro tube ที่วางอยู่ตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาตัดสินใจหมุนปรับ micro pipette ให้เป็นค่าสูงสุดก่อนจะเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย วันนี้เขาได้เตรียมสารสำหรับการทำแลปในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ผลการทำแลปของเขาจะออกมาดีอย่างที่หวัง

    ซอกจินใช้เวลาอีกสิบนาทีในการเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างรวมถึงตรวจเช็คเครื่องมือทุกชิ้นในห้องแลปให้อยู่ในความเรียบร้อยก่อนจะปิดไฟ ล็อคห้อง แล้วหันหลังให้กับมัน

    ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ? 

    เขาเองก็อยากจะรู้คำตอบเช่นกัน


    ซ่าาาาา ซ่าาาาาา 


    เสียงสายฝนที่เทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซอกจินต้องถอนหายใจอีกครั้งก่อนเหลือบมองร่มใสที่อยู่ในมือขวาของตน นับเป็นโชคดีที่เขาตัดสินใจซื้อมันมาจากร้านสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเมื่อตอนกลางวัน  


    แต่ถึงจะมีร่ม สายฝนก็ยังสามารถทำให้เปียกได้อยู่ดีและนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเลยสักนิดเดียว 

     
     

    "ทำไมพี่ถึงชอบใช้ร่มใสๆแบบนี้ล่ะครับ" 

    "ก็แค่มันถูกดี หายไปก็ไม่เสียดาย" 

     
     

    น้ำเสียงที่อบอุ่นของคนที่ถามคำถามนั้น รอยยิ้มพร้อมกับลักยิ้มที่น่ารัก ดวงตาที่หยีเป็นรูปสระอิตอนที่หัวเราะออกมาเพราะคำตอบของเขานั้น 


    ซอกจินยังจำได้เสมอ  


    ทำไมกันนะ 



    ทำไมตอนนี้เขาถึงได้มาอยู่ที่นี่กันนะ-- 

     
     

     
     

     
     

    ร่างโปร่งของซอกจินก้าวไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนท่ามกลางบรรยากาศของสายฝนที่โปรยลงมาอย่างแผ่วเบา (หลังจากที่เขาตัดสินใจนั่รอเกือบสองชั่วโมง) แผงร้านขายของข้างทางที่คุ้นเคยนั้นหายไปพร้อมสายฝน รวมถึงร้านต็อกโบกีที่เขาอยากจะฝากท้องในวันนี้ด้วย เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านสะดวกซื้อชื่อดังเพื่อหาอะไรง่าย ๆ มาประทังความหิวที่กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน 

     
     

    "ทำไมฮยองชอบกินอาหารเวฟล่ะครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ" 


    "ช่วยไม่ได้นี่ ก็ที่หอห้ามทำอาหาร" 


    "ถึงอย่างนั้นฮยองก็น่าจะไปซื้ออาหารแบบปรุงสุกร้อน ๆ หรือไปนั่งกินที่ร้านเลยก็ได้นี่ครับแถว ๆ หอฮยองนี่แหล่งของกินเลยนะครับ" 


    "วันนี้ฝนตกนะ นายว่าร้านไหนเขาจะเปิดมิทราบ แล้วฉันก็ไม่เข้าร้านอาหารหรู ๆ หรอกนะมันแพง" 

     
     

    "วันนี้ฉันก็ต้องมานั่งกินข้าวเวฟโง่ ๆ นี่ที่หออีกแล้วล่ะ" ซอกจินเอ่ยเสียงเบาพลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีสายฝนโปรยบางเบา ต้นไม้ที่ริมระเบียงได้รับน้ำฝนอย่างเต็มที่และมันคงสดชื่นมากแน่ ๆ ในวันพรุ่งนี้ 


    ต้นไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นต้นไม้ยอดฮิตอย่างแคคตัส แต่เพราะเขาไม่สนใจมันเท่าที่ควรมันจึงได้รับน้ำฝนมากเกินไป และมันคงจะทนไม่ไหวจึงเลือกที่จะจากเขาไป กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็จากเขาไปโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ที่มันแสดงอาการว่ามันเจ็บป่วย มันอาจจะพร่ำบอกเขามาตลอดแต่เป็นเขาเองที่ไม่เคยสนใจเจ้าแคคตัสน้อยสองต้นนั้น 


    แคคตัสต้นน้อยที่สดใส 



    เจ้าต้นไม้ที่ได้รับมาจากใครคนนั้น 

     
     

     
     

     
     

    ครืดดด ครืดดด  

    เสียงสั่นจากสมาร์ทโฟนทำให้ซอกจินละสายตาจากหน้าต่างก่อนจะหยิบอุปกรณ์สื่อสารทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาดู สายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิททำให้เขาตัดสินใจกดรับ 


    "ว่าไงยุนกิ" 


    "จินพรุ่งนี้จะเข้าไปแลปกี่โมง"  


    "น่าจะสักสิบโมงเช้า วันนี้เตรียมของครบแล้วพรุ่งนี้ก็แค่ใส่ลงเครื่องรันเจลนิดหน่อยก็เสร็จ" 


    "วันนี้ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ช่วยจนเสร็จ" 


    "ไม่เป็นไรหรอก ดีกว่าการที่ไอ้โฮซอกมันจะมาแหกอกฉัน" ซอกจินยิ้มออกมาทันทีที่นึกถึงแฟนหนุ่มของเพื่อนสนิทที่มาอ้อนวอนขอให้เขาปล่อยตัวยุนกิไปกินข้าวด้วยบ้าง โดยที่ฝ่ายนั้นอ้างว่าเขาขังยุนกิไว้แต่ในแลป 


    "จิน ฉันถามจริง ๆ นะ แกไม่คิดจะล่อยวางบางเหรอ ผ่านมาปีนึงแล้วนะ แกควรจะปล่อยมือจากอดีตได้แล้ว" 


    น้ำเสียงเป็นห่วงจากเพื่อนสนิททำให้ซอกจินยิ้มออกมาจาง ๆ เขารู้ดีว่าทุกคนรอบตัวห่วงเขาแค่ไหน ทั้งยุนกิเพื่อนสนิทที่ถึงแม้จะไม่ค่อยพูดแต่เขารับรู้ถึงสายตาเป็นห่วงและเป็นกังวลนั้นได้เป็นอย่างดี และยังมีคนอื่น ๆ อีกมากมายทั้งโฮซอกที่คอยมาสร้างสีสันในวันหม่น ๆ ของเขา (ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นเขาที่ทำงานหนักทำให้ยุนกิต้องทำงานหนักไปด้วย) ทั้งเจ้าน้องชายตัวแสบอย่างจองกุกที่แวะมาหาแทบจะทุกวันหยุด 


    "ฉันรู้ยุนกิ แต่มันยาก โคตรยากเลยยุนกิ" ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงเริ่มสั่นเครือ และน้ำใส ๆ ที่คลอหน่วงอยู่ที่ดวงตาเริ่มที่จะไหลลงมาช้า ๆ  


    "ตอนแรกฉันคิดว่าแค่ปีเดียวฉันก็จะลืมได้ แต่มันไม่ใช่เลยยุนกิ แค่สักวินาทีฉันยังลืมไม่ได้เลย" 

     
     

     
     

     
     

    วันนี้เป็นอีกวันที่สายฝนหยดลงมาจากฟ้าสีหม่น ดีที่ว่าไม่ได้รุนแรงเท่ากับเมื่อวานทำให้ซอกจินไม่ต้องรอถึงเกือบสองชั่วโมงเพื่อเดินกลับหอ และร้านต็อกโบกีร้านโปรดก็คงเปิดให้บริการและขอขอบคุณโชคชะตาที่ยังให้โชคดีเข้าข้างเขาบ้าง 


    "สวัสดีครับคุณป้า ขอเหมือนเดิมใส่ชีสเยอะ ๆ นะครับ" เขาทักทายคุณป้าที่คุ้นหน้ากันดีก่อนจะสั่งเมนูประจำที่กินมาแล้วหลายปี 


    ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่ลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน 


    ถ้วยต็อกโบกิร้อน ๆ ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า รสชาติที่คุ้นเคยหลอมละลายอย่างกลมกล่อมอยูภายในปาก ความร้อนของมันช่วยสร้างความอบอุ่นเล็ก ๆ เป็นเกราะป้องกันความหนาวจากสายฝนอันแสนบางเบานั้น 


    "ช่วงหลังมานี้หนูจินเครียดอะไรหรือเปล่าลูก" เสียงคุณป้าเจ้าของร้านถามเขาอย่างห่วงใยหลังจากคิดเงินลูกค้าคนหนึ่งที่เพิ่งลุกขึ้นเดินออกไป ทำให้ทั้งร้านเหลือเพียงแค่เขาที่เป็นลูกค้า 


    "ก็เรื่องแลปนั่นแหละครับ ช่วงนี้ผลอกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่" 


    "งั้นเหรอเรียนปริญญาโทคงเครียดสินะ น่าจะสักปีได้แล้วนะที่ป้าไม่เห็นหนูจินหัวเราะเลย แถมไม่มีมุกมาเล่นให้ป้าฟังเลยด้วย" คุณป้าพูดกับเขาเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหน้าไปให้ความสนใจกับลูกค้ารายใหม่ที่เดินเข้ามา 

     
     

    "มุกบ้าอะไรของฮยองเนี่ย" เสียงทุ้ม ๆ ของคนที่นั่งข้างเข้าเอ่ยออกมาอย่างปลง ๆ (แต่ฉันเห็นนะว่านายแอบกลั้นหัวเราะน่ะ!!) 


    "แล้วจะมาขำมุกบ้า ๆ ทำไมมิทราบ" เขาพูดพร้อมกับทำปากยื่นใส่คนอายุน้อยกว่า (ซึ่งยุนกิเคยบอกว่าน่าหมั่นไส้) ก่อนจะหันไปสนใจต็อกโบกิของโปรด 


    "จินฮยองครับ"  


    "หืม 

    เขาหันไปตอบคนที่นั่งข้างทั้ง ๆ ที่ในปากก็ยังเคี้ยวตุ้ย ๆ แต่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นสัมผัสแผ่วเบาจากริมฝีปากของอีกคนที่สัมผัสลงบนอวัยวะเดียวกันของเขาทำเอาสมองมึนเบลอไปชั่วขณะ รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ผละตัวออกไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เพิ่มเสน่ห์ขึ้นไปอีกเท่าตัวเพราะลักยิ้มนั่น 


    "ต็อกโบกิร้านนี้นี่อร่อยมากเลยนะครับ" 

    แล้วยังมีหน้ามายิ้มตาหยีใส่อีกเนี่ยนะ! 


    "หนุ่ม ๆ นี่น่าอิจฉาจริง ๆ เลยนะ" เสียงเอ่ยแซวจากคุณป้าที่คุ้นหน้ากันดีทำให้เขาได้แต่นั่งหน้าแดงเคี้ยวต็อกระบายความเขิน 


    เขาทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งเขิน  


    แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มละมุนที่เขาไม่เคยสู้ได้สักครั้ง 

     
     

    เขาไม่เคยสู้อีกฝ่ายได้เลย 


    คิมซอกจินน่ะแพ้คิมนัมจุนทุกครั้งนั่นแหละ-- 
     

     
     

     
     

     
     

    แม้กระทั่งวันนั้นที่ฝนกระหน่ำราวกับพายุ วันที่เขาไม่มีร่มใสในมือ วันที่แผ่นฟ้าร้องคำรามดังลั่นราวกับกำลังโกรธก้อนเมฆสีเข้มที่หลั่งน้ำตา 


    "ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริง ๆ นัมจุน โปรเจคจบผลยังออกไม่ครบเลย นี่ก็ใกล้วันสัมมนาเข้ามาทุกทีแล้ว" 


    "แต่ฮยองก็ควรจะพักบ้างนะครับ เล่นเข้าแลปทุกวันแบบนี้มันมีแต่จะทำให้เครียดนะครับ ฮองพรุ่งนี้แค่ไปเดินผ่อนคลายที่สวนสาธารณะสักครึ่งวันก็ยังดีนะครับ" 

    ซอกจินตัดสินใจละสายตาจากผลการทดลองในแลปทอปตรงหน้า แววตาห่วงใยจากอีกคนควรจะทำให้เขารู้สึกดี 


    แต่ไม่ใช่วันนี้ 


    "นี่นัมจุน เดินที่สวนสาธารณะน่ะเดินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สัมมนาของฉันน่ะไม่ได้ทำเมื่ไหร่ก็ได้นะ ไหนจะผลแลปที่ยังไม่เรียบร้อยอีกฉันไม่มีเวลาไปเดินผ่อนคลายอะไรทั้งนั้นแหละ" 


    "แต่ฮยองครับแค่ไปเดินสูอากาศสักสองสามชั่วโม--" 


    "จะอะไรนักหนานัมจุน แค่ไม่ไปเดินเล่นด้วยเนี่ย ทำอย่างกับหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกันงั้นแหละ ทำไมช่วงนี้นายถึงวุ่นวายแบบนี้ฮะ แค่นี้ชีวิตฉันยังมีปัญหารุมเร้าไม่พอหรือไง!"

     

    แสงจากสายฟ้าที่ด้านนอกสาดผ่านใบหน้าของเราทั้งสองคน ใบหน้าของเขาคงเต็มไปด้วยแรงโทสะทำให้เขามองไม่เห็นใบหน้าอันแสนเศร้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย 

     
     

    หลังจากวันนั้นราวกับชีวิตนี้ของเขาไม่เคยมีผู้ชายชื่อคิมนัมจุนเข้ามาเกี่ยวข้อง กว่าจะรู้ตัวอีกทีเมื่อทุกอย่างผ่านไป การสัมมนาผ่านไปด้วยดี ทุก ๆ อย่างผ่านไปด้วยดี 

    เข้าถึงได้รู้ว่าบางสิ่งที่แสนสำคัญนั้นหายไป 


    ราวกับคืนนั้นที่ฝนโปรยปรายอย่างหนัก 

     
     

    แต่ฝนนั้นตกอยู่ในใจของเขา 

     


     

    มันยังคงตกลงมาตลอดหนึ่งปีที่ผันผ่านไป

     
     

     
     

     
     

     
     

    วันนี้ฝนตกลงมาอย่างหนักแผ่นฟ้าร้องคำรามเหมือนกับวันนี้ของปีที่แล้ว ซอกจินทำเพียงนั่งเงียบ ๆ มองสายฝนที่สาดซัดเข้ามาที่กระจกหน้าต่าง ก่อนที่หยดน้ำนั้นจะไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง ราวกับน้ำตาของเขาที่กำลังไหลอยู่ตอนนี้เช่นกัน 


    เขาตัดสินใจลุกขึ้นแล้วหยิบคีย์การ์ดห้องพักก่อนจะเดินออกไปจากห้อง 

     
     

    ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ ตอนนี้เขาไม่มีร่มใสในมือ ไม่มีงานมากมายให้ต้องกลับไปทำต่อ เขามีแค่ตัวเองที่กำลังรับเอาสายฝนที่มันตกในใจเขามาตลอดหนึ่งปีเข้าไปเพิ่มอีก 


    เพิ่มให้ความเสียใจนี้มันเจิ่งนองจนล้นออกมากับน้ำตา 

    เผื่อว่ามันจะเจือจางลงไปบ้างแม้เพียงเศษเสี้ยว 

     
     

    "แค่ปีเดียวเท่านั้นแหละยุนกิ ฉันเชื่อว่าฉันจะลืมมันได้" 

     
     

    อะไรทำให้ซอกจินคนนั้นเชื่อแบบนั้นกันนะ เพราะตัวเขาคนนี้ไม่เคยลืมได้เลย ไม่เคยลืมคิมนัมจุนได้เลย 

     
     

    ตอนนี้เขามาเดินทำอะไรที่นี่กันนะ 


    เขาไม่ได้ชอบทางด้านสายการเรียนของเขา แต่ทำไมเขาถึงเรียนต่อที่นี่กันนะ 


    เขาที่ไม่ชอบที่ฝนมันสาดกระเซ็นมากระทบร่างกายมาเดินทำอะไรกลางสายฝนกันนะ 

     
     

    หรือเขาแค่อยากจะยื้อเวลาที่จะอยู่ต่อที่นี่ไปอีกสักนิด เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เผืี่อว่าคน ๆ นั้นจะกลับมา จะได้พบว่าเขายังรออยู่ อย่างน้อยก็ขอให้ได้บอกคำขอโทษจากใจนี้ออกไปบ้างก็ยังดี 

     
     

    ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกลาฮยองด้วยตัวเองนะครับ แต่หลังจากนี้เราคงจะไม่ได้พบกันอีก พ่อกับแม่ของผมต้องย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก้ถาวรครับ ผมเองก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน ผมอยากให้วันสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกันมันมีแต่รอยยิ้ม ผมนี่แย่จริง ๆ ที่ทำแบบนั้นไม่ได้ 

    พอผมไม่อยู่แล้วฮยองต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ  

    ถ้าโชคชะตาเมตตาผม เราคงจะได้พบกันในสักวันหนึ่ง 

    ขอให้ฮยองจำเอาไว้ว่าผมรักและเป็นห่วงฮยองเสมอไม่ว่าตัวผมจะอยู่ ณ ที่แห่งใดของโลกนี้ 

    คิม นัมจุน 


    ข้อความจากกระดาษสีขาวครีมแผ่นในที่แนบมากับช่อดอกไม้แสนสวยที่ยุนกิส่งให้กับมือของเขาในวันที่สายฝนพรำนั้นยังคงอยู่ในใจของเขามาเสมอ 


    เขายังจำวินาทีที่เห็นลายมือแสนคุ้นตานั้นได้ 


    ยังจำได้ถึงน้ำตาที่กำลังไหลริน 

     
     

    "สายฝนช่วยเมตตาพานัมจุนกลับมาได้ไหมครับ ช่วยพาเขากลับมาหาคนโง่คนนี้ทีได้ไหม" 
     

     
     

     
     

     
     

    วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่สายฝนพรำ แต่วันนี้ซอกจินกลับลืมร่มไว้ที่ไหนสักแห่งในมหาวิทยาลัย จะเป็นที่โรงอาหารหรือเปล่านะหรือเป็นที่หอสมุดกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตัดสินใจเดินเลียบไปตามตึกต่าง ๆ ฝ่าฝนบ้างในบ้างช่วงเพื่อไปซื้อร่มใสที่ร้านสวัสดิการ 

    เขายืนมองสายฝนที่ลดลงจนแทบจะหยุดก่อนจะกลางร่มที่เพิ่งซื้อมาหมาด ๆ แล้วก้าวขาเดินกลับหอพักในเส้นทางที่เดินเป็นประจำ 


    "ฮยองก็ยังชอบร่มใสเหมือนเดิมเลยนะครับ"  


    ราวกับทุกสรรพสิ่งรอบกายไร้เสียง เขาค่อย ๆ หันหลังกลับไปตามต้นเสียงนั้น ขอร้องล่ะ ได้โปรดเป็นความจริงที 


    "นัม...จุน" 


    ดวงตากลมสบเขาดวงตาเรียวของอีกฝ่าย คน ๆ นั้นยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นเสมอ ไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหนรู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็พร่ามัวไปเสียแล้ว เขาค่อย ๆ ก้าวขาที่สั่นนี้ออกไปหาอีกฝ่าย แต่มันอาจจะช้าเกินไปเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดของอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาหาได้ก่อน 


    "ฉันขอโทษนะนัมจุน ฉันขอโทษจริง ๆ นายไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เป็นฉันเองที่เป็นปัญหาเป็นคิมซอกจินคนนี้ต่างหาก"  


    น้ำตาของอีกฝ่ายทำให้น้ำจุนร้อนไปทั้งใจ เขาไม่เคยโกรธคน ๆ นี้ ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง 

    ใครว่าคิมซอกจินน่ะแพ้คิมนัมจุน 


    คิมนัมจุนต่างหากที่แพ้คิมซอกจิน --


    แพ้ในทุก ๆ อย่างของคน ๆ นี้


    ในเกมของหัวใจนี้เขาก็แพ้ เพราะเขารักอีกฝ่ายมากหลือเกิน มากเสียจนต่อให้จะเป็นอย่างไรเขาก็พ่ายแพ้


    พ่ายแพ้ให้กับคิมซอกจิน


    "ฮยองไม่ใช่ปัญหาครับ ฮยองคือคนที่ผมรัก เป็นคนที่ร่าเริง ชอบเล่นมุกตลก แถมเวลากินอะไรก็จะเคี้ยวทุกอย่างที่อยู่เต็มแก้มนั้นอย่างน่ารักด้วย" 


    นัมจุนยิ้มบางพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก 


    "พอดีคุณยายผมอยากให้ผมกลับมาอยู่เกาหลีน่ะครับ ผมเลยต้องกลับมาเรียนต่อที่นี่" 


    นัมจุนผละตัวออกจากอีกฝ่าย มองเข้าไปในดวงตากลมโตที่มันมักจะสดใสเสมอในความทรงจำของเขา แต่ตอนนี้มันกลับแดงก่ำและมีแต่น้ำตา 


    "ฮยองจะยอมให้ผมคนนี้กลับมาอีกครั้งได้ไหมครับ" 


    ซอกจินยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย 

     
     


    "นายน่ะไม่เคยไปจากใจฉันเลยนัมจุน" 

     
     

     
     

    ขอบคุณสายฝนที่พาเขากลับมานะครับ 

     
     

    END 

     
     

    --------------------------------------------------------------- 

    กึ้ดดดดดดดดด 

    สวัสดีทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ 

    จะบอกว่าตื่นเต้นมาก ๆ เนื่องจากไม่ได้แต่งฟิกหรือนิยายมาหลายปีมากกกกกกกกกกกกก ไม่รู้สำนวนการบรรยายเรื่องนี้แปลก ๆ หรือเปล่า ถ้าอ่านแล้วงงหรือไม่เข้าใจต้องขอโทษด้วยนะคะ 

    ตอนแรกกะว่าจะจบแบบแบดเอ็นแล้วค่ะ แต่เราทำใจไม่ได้ ฮ่าาาาา 

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกัน แนะนำติชมได้เต็มที่เลยนะคะ 


    https://www.sciencecompany.com/Assets/ProductImages/nc14080An-lg.jpg
    อันนี้คือ micro pipette นะคะ ใช้ดูดสารเคมีปริมาตรน้อย ๆ ค่ะ สามารถดูดได้ปริมาตรสูงสุด 1000 ไมโครลิตร หรือ 1 มิลลิลิตรนั่นเอง มีหลายขนาดค่ะ เช่น ถ้าไมโครปิเปตอันนั้นดูดสารได้ปริมาตรสูงสุด 200 ไมโครลิตร เราจะเรียกว่า p200 ค่ะ ขนาดที่ใช้แพร่หลายก็จะมี p10 p20 p200 p1000 ค่ะหลังใช้งานต้องหมุนปรับเป็นปริมาตรสูงสุดด้วยนะคะทำให้ลวดสปริงข้างในคลายตัวเป็นการถนอมเครื่องมือ เพราะมันแพงมว้ากกกกกก 

    https://www.sycamorelifesciences.com/media/catalog/product/cache/1/image/800x/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/7/8/780500.jpg

    ส่วนอันนี้คือหลอด micro tube นั่นเอง ปริมาตรสูงสุดที่ไรท์เคยเห็นก็คือ 1.5 มิลลิลิตรนะคะ ไม่แน่ใจว่ามีขนาดเท่าไหร่บ้าง มีทั้งแบบฝาเกลียว(ส่วนใหญ่เวลาสั่งสารแพง ๆ มาเขาจะใส่มาในแบบนี้ค่ะ) ฝาเปิดปิด(อันนี้จะใช้บ่อยเลยค่ะ) ใช้ในงานด้าน molecular ค่ะ เราทำงานกับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อิอิ


    ส่วนการรันเจลหรือชื่อทางการ คือ Gel Electrophoresis อันนี้มีประโยชน์หลายอย่างค่ะ ใช่ตรวจสอบดีเอ็นเอ ใช้หาปริมาณดีเอ็นเอ ใช้ในการแบ่งแยกลักษณะของสิ่งมีชีวิตในระดับดีเอ็นเอได้ด้วย หลักการก็คือ ให้ดีเอ็นเอที่เป็นขั้วลบไหลผ่านเจลไปทางขั้วบวกโดยใช้กระแสไฟฟ้าค่ะ ส่วนผลที่ได้จะเป็นอย่างไรมีปัจจัยหลายอย่างมาก ๆ ทั้งคุณภาพของดีเอ็นเอ กรรมวิธีในการทำแลปของเรา บัฟเฟอร์ สีย้อม และอีกมากมาย เรียกได้ว่าถ้าผลไม่ออกก็อาจจะต้องเริ่มแลปใหม่ตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ (เศร้าสุด)

    https://amarketreportsjournal.com/wp-content/uploads/2019/04/Gel-Electrophoresis-Market.jpg

    หน้าตาเครื่องรันเจลก็ประมาณนี้ค่ะ มันมีหลายแบบหลายรุ่นมาก ๆ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in