ผัดวันประกันพรุ่งมานาน เลยเดดไลน์จนได้ (บันทึกเพิ่มเติมสุดท้ายกลับมาเขียนต่อจนจบหลังจากเลยเดดไลน์ที่ว่าไปอีก 4 เดือน) เริ่มจากตรงไหนก่อนดีน้า...
โบราณว่าไว้ รู้เขารู้เรา แต่ง 100 ครั้ง ได้เมีย 100 คน ผ่าม!!
ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าเราจะจัดงานแต่งภายใต้เงื่อนไขอะไรสำหรับเรางานแต่งของเรามีเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อ 1. ต้องอยู่ในงบ (ยาก) 2. ต้องไม่มีคนนอกมาวุ่นวาย(ยากกว่า) 3. ต้องอินดี้ 555 (จริงๆ แค่อยากให้งานแต่งสะท้อน nature AKA สันดาน ของบ่าว-สาวออกมาให้มากที่สุดเท่านั้นแหละ)พอตกลงเงื่อนไขกันได้แล้วจะช่วยให้การจัดงานดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างน้อยก็ช่วยให้ทะเลาะกันเองน้อยลงเยอะ เก็บแรงไว้ทะเลาะกับญาติหรือคนที่เดล(ดีล) งานด้วยดีกว่านะ
พอได้เงื่อนไขแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการกำหนดวันแต่ง เพราะถ้าไม่อยากเตรียมงานล่กๆควรจะมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 4 เดือน (ของเราคือประมาณ 6 เดือน) โดยเรามี tipsเกี่ยวกับการกำหนดวันไว้ให้ 3 ข้อ
เอาล่ะ ตอนนี้ได้วันแต่งมาแล้วแล้ว หัวข้อถัดมาที่เรามองว่าสำคัญไม่แพ้กัน(เอาจริงๆ คือปวดหัวมากกว่าเรื่องวันแต่งอีก) และทำให้เราทะเลาะกับที่บ้านหนักมากร้องไห้แงๆ ด้วย 555 เรื่องที่ว่าก็คือ “แขก” (กรุณาออกเสียงโดยเน้นสระแอ และใส่ -คึ ลงไปท้ายเสียง)
คำแนะนำเดียวที่เรามีให้ก็คือเราต้องเป็นฝ่ายรุก (อั๊งค์~)คือต้องบอกที่บ้านไปเลยว่า เรามีโควตาให้แขกเท่านี้ๆ นะ เปลี่ยนไม่ได้ จะอ้างว่าจองโรงแรมไปแล้วหรือจะทำให้แผนการที่วาดมา 10 ปีต้องล่มสลายก็อ้างไป อ้างไปให้เยอะๆ ไม่งั้นสิ่งที่เพื่อนๆจะพบคือรายชื่อแขกที่มีการเปลี่ยนแปลงรายวัน... ไม่สิ รายชั่วโมงแล้วจะทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อาหาร ของชำร่วย การ์ด บลาๆๆซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยค่าใช้จ่ายก้อนโตเพราะต้องเผื่อทุกอย่างไว้เยอะมากๆ ขนาดเราระวังเรื่องนี้มากๆ กว่ารายชื่อแขกจะไฟนอลคือก่อนแต่ง10 วัน จนสุดท้ายบอกไปเลย อยากจะเพิ่มแขกก็เพิ่มแต่จะไม่รับผิดชอบนะถ้าแขกไม่มีโต๊ะหรือไม่ได้ของชำร่วย 5555 (จริงๆก็มีเผื่อไว้แหละ)
หัวข้อต่อไปที่ต้องจัดการก็คือเงิน! เคยได้ยินมั้ยเงินไม่มี หนีตามกันดีกว่า อ้าว ไม่เคยหรอ? 555เราเชื่อว่าถ้าไม่มีเซนส์เกี่ยวกับศิลปะการตกแต่งเทพๆหรือมีเส้นสายกับสถานที่จัดงาน จะจัดงานโดยจ่ายเงินน้อยๆ แต่ได้งานออกมาเทพๆคงเป็นไปไม่ได้ เอาเป็นว่าเราควรตั้งงบมาก่อน 1 ก้อน แต่แนะนำว่าอย่าตั้งไว้แบบหมดหน้าตักเอาซัก 75% ของงบจริงที่มี เพราะสุดท้ายมันจะต้องเกินงบแน่ๆแล้วสุดท้ายหลังจัดงานแต่งแล้วถ้ายังมีเงินเหลือก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจะเอาไปใช้สำหรับฮันนีมูนหรืออะไรก็ว่ากันไปอะไรแบบนี้ เพราะถ้าไม่ระวังแล้วงบบานฮันนีมูนที่Santorini – Greece อาจจะเปลี่ยนเป็น Santorini – HuaHin ก็เป็นได้
เรื่องสุดท้ายที่จะต้องคิดก็คือ จะจ้าง weddingplanner มั้ย? ถ้าจะจ้างก็ดีใจด้วย คุณไม่ต้องอ่าน review ต่อแล้ว ให้เค้าจัดการให้ เวลาที่เหลือก็นอนเกาไข่รอ สบ๊าย (พูดไปงั้นแหละจริงๆ คือไม่รู้ว่าอะไรยังไงเพราะไม่ได้จ้าง ไม่มีตัง ;w;) แต่ถ้าอยากลิ้มรสชาติงานแต่งงานแบบแมนๆ แตะบอลก็ลุยเองเลย จะได้รู้ด้วยว่าคิดถูกมั้ยที่จะเอาแฟนคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต 555 แต่ว่ากันตามตรงถ้าไม่มีวันว่างๆ ลางานบ่อยๆ หรือรู้ว่าตัวเองอยากได้อะไรแน่ๆ แนะนำว่าจ้าง organizer ช่วยได้เยอะจริงๆ ไม่งั้นเราจะงงกับทุกสิ่งอย่าง ต้องมานั่งคิดแม้กระทั่งลำดับการยืนในพิธีขันหมากและเตรียมใจไว้เลยว่างานพร้อมจะเละทุกเมื่อ และต้องจำให้ขึ้นใจเลยว่า หากใจรักในความอินดี้อยากได้งานแต่งที่แปลกและแตกต่าง เตรียมตัวควักเงินเพิ่มได้เลย เพราะอะไรที่ไม่เป็นท่ามาตรฐานมันจะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเสมอ
เมื่อได้คำตอบทั้งหมดก็ถึงเวลาวางแผนงานแต่งจริงๆ ซักที สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in