เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Moviesmidnightcharme
ความรักระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์เป็นความแปลกแยกจริงหรือไม่: HER (2013)
  •           โดย Haeloh บทความนี้เขียนขึ้นในปี 2018 เผยแพร่ในปี 2021  

              ในโลกแห่งยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกใบใหม่กําลังก้าวหน้าไปสู่อนาคตมีการเจริญเติบโตในทางด้าน ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการเมือง เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมายในทุกๆ วันเพื่อให้เกิด ความสะดวกสบายแก่มนุษย์ หนึ่งในเทคโนโลยีเหล่านั้นคือ หุ่นยนต์ หรือ ระบบปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ตั้งแต่ในเวลาตื่นเช้า การทํางาน ใช้ชีวิตประจําวัน จนกระทั่งเวลาเข้านอน เราต่างก็ใช้ AI เป็นตัวช่วยในชีวิตประจําวันของมนุษย์ แล้วถ้าหากหุ่นยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เข้ามาช่วยให้ความสะดวกแก่มนุษย์แต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในจิตใจของมนุษย์จะเป็นไปได้หรือไม่ ?

    ขอบคุณภาพของ Eliza จาก Wikipedia
                ยอนกลับไปในป ค.ศ 1966 ศาสตราจารย Joseph Weizenbaum ประจํามหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology ไดสรางระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอรชื่อ ‘Eliza’ ขึ้นมาโดยมีเปาหมายใหเธอทํา หนาที่เฉกเชนนักบําบัดใหแกมนุษย ผลจากการทดลองโดยใหผูเขาทดลองเขาไปพูดคุย ปรึกษาปญหาชีวิตกับ Eliza ผลปรากฏวาเธอสามารถตอบโตไดใกลเคียงกับมนุษยปรกติที่มีชีวิตจิตใจอยางมาก และผูเขาทดลองรูสึก ไวเนื้อเชื่อใจในตัวของ Eliza ถึงขั้นที่ยอมพูดความลับใหเธอฟงโดยไมตะขิดตะขวงใจ สันนิษฐานวาเพราะตัว Eliza ไมตัดสินปญหาของผูเขารับคําปรึกษาเหมือนที่มนุษยปรกติในสังคมมักจะทํากัน จากการทดลองนี้แสดงใหเห็นถึงวาแมความคิดและการรับรูอาจไมซับซอนเทามนุษยแตหุนยนตก็สามารถที่จะใชความรูสึกนึกคิดไดแบบเดียวกันกับที่มนุษยกระทําตอมนุษยดวยกันและผูเขาทดลองเองก็ยังกระทําตอหุนยนตเหมือนที่มนุษยกระทําตอมนุษยซึ่งมีเมตตาและความหวงใยใหแกกันไดเชนกัน ในอนาคตอันใกลสิ่งนี้จะเปนสัญญาณถึงความรูสึกของหุนยนตที่อาจมีการพัฒนาใหมีความซับซอนมากยิ่งขึ้น และนําไปสูในรูปแบบของความรักได แตเมื่อมีคําถามเกิดขึ้นวาแทจริงแลวหุนยนตจะสามารถรักมนุษยไดจริงหรือเปนเพียงโปรแกรมที่ถูกสรางขึ้นมา เพื่อตอบสนองความรูสึกนึกคิดของมนุษยเทานั้น ความรูสึกที่หุนยนตแสดงจึงไมใชความรูสึกที่แทจริง 

                ศาสตราจารย Warren Shelbourne Brown จาก UCLA Brain Research Institute ไดใหคําอธิบายเรื่องการ ทํางานของระบบความคิดของหุนยนตวา ระบบสมองของสิ่งมีชีวิตเปนพื้นฐานสําคัญในการที่จะนําไปสูอารมณ ความรูสึกนึกคิด ความทรงจํา รวมไปถึงความรูสึก ‘รัก’ ที่ก็เกิดจากปฏิกิริยาเคมีภายในสมองของเราเชนกัน และถาเราสามารถทําสําเนาโครงสรางของสมองเราเอาไวไดเราก็สามารถที่จะทําสําเนาความรูสึกนึกคิดของเรา ดังกลาวขางตนไดเชนกัน ถาเราเอาสําเนาสมองของเราไปใสใหกับหุนยนตเหลานั้นก็สามารถที่จะใชสําเนานั้น สรางความรูสึกตาง ๆ ที่ซับซอนมากกวาความรูสึกพื้นฐานธรรมดาและสั่งสมประสบการณตาง ๆ ได เชนเดียวกับมนุษยธรรมดา ดังนั้นแลวการที่หุนยนตจะมีความรูสึกนึกคิดใกลเคียงกับมนุษยนั้นไมใชเรื่องที่ เปนไปไมได ทั้งนี้รวมไปถึงความรูสึก ‘รัก’ ที่เปนความรูสึกที่ละเอียดออนความรูสึกหนึ่งของมนุษย (ขอบพระคุณข้อมูลจากบทความ รักของ A.I มีจริงหรือเปล่า ? โดยคุณ พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล บทความปี 2017 เผยแพร่โดย 101 World)

                ความรักระหวางมนุษยและปญญาประดิษฐสามารถเกิดขึ้นไดจริงแมมนุษยในสังคมปจจุบันนั้นจะตีคาความรักระหวางมนุษยกับปญญาประดิษฐ (AI) เปนเพียงแคความรูสึกที่ไมใชรักแท (Artificial Love) หรือเปนความรักที่มีความผิดเพี้ยนก็ตามเพราะเนื่องจากวาสังคมใหนิยามหุนยนตเปนเพียงเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรม ขึ้นไมใชมนุษยที่จะสามารถมีความรูสึกนึกคิด ชีวิตจิตใจอันซับซอนได การสานสัมพันธลึกซึ้งระหวางคนกับ หุนยนตจึงเปนเรื่องประหลาดในสังคม ซึ่งแทจริงแลวสิ่งที่เราเอามาตีคาวาสิ่งไหนคือความรูสึกที่แทจริงสิ่งไหนคือความรูสึกที่ถูกสรางขึ้นมาจากโปรแกรมนั้นมันไมมีอยูจริง เพราะไมมีอะไรมาวัดไดวาความรูสึกของเราเปนความรูสึกที่แทจริงทั้งหมดหรือปลอมทั้งหมดทุกอยางลวนแลวแตเกิดจากการตีความของคนในสังคมไปเองวา สิ่งไหนถูกตอง สิ่งไหนปกติ สิ่งไหนควรถูกกําจัดออกจากสังคม ทั้งในภาพยนตรเรื่อง ‘Her’ (รักดังฟงชัด) ก็ แสดงใหเราไดเห็นวาความรักระหวางมนุษยและปญญาประดิษฐสามารถเกิดขึ้นได แมความรักที่เกิดขึ้นจะถูก ตัดสินวาเปนความรักแบบเทียมไมใชความรูสึกรักที่แทจริงและถูกกีดกันจากคนในสังคมแตก็ปฏิเสธไมไดวามัน ก็เกิดขึ้นจากสังคมปกติที่เต็มไปดวยความกดดันและโดดเดี่ยวและกอใหเกิดความเหงา โหยหาความรักและ ความเขาใจจากสังคมรอบขาง


            ในภาพยนตรเรื่อง ‘Her’ (รักดังฟงชัด) บอกเลาเรื่องราวของชายหนุมที่ชื่อ ธีโอดอร เผชิญอยูในชวง กําลังจะหยารางกับภรรยาคนปจจุบัน ในขณะที่เธอทิ้งเขาใหอยูคนเดียวอางวางในเมืองใหญและนั่นคือสาเหตุที่ ทําใหความเหงากอตัวในจิตใจของธีโอดอร ความโดดเดี่ยวเขาเกาะกุมหัวใจของเขาใหเขาเปนชายที่อมทุกข ใช ชีวิตอยูเพื่อทําอาชีพเขียนจดหมายแทนคนอื่นไปวัน ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไดพบกับปญญาประดิษฐรุนใหมที่ มีชื่อวา Os1 และเธอก็มีชื่อของตัวเองวา ‘ซาแมนธา’ ธีโอดอรใชชีวิตโดยที่มีซาแมนธาคอยชวยเหลือในทุกเรื่อง ตั้งแตปลุกใหตื่นในตอนเชา จําตารางงานในแตละวัน สงอีเมลล ตอบอีเมลล และแมกระทั่งปรึกษาปญหาชีวิต เพราะซาแมนธามักใหคําปรึกษาใหแกเขาไดดีจนเขาก็ประหลาดใจกับความสามารถของเธอที่สามารถเขา ใจความซับซอนของความรูสึกในรูปแบบของมนุษยได ในเวลาตอมาความรูสึกของทั้งธีโอดอรและซาแมนธา พัฒนาไปรวดเร็วจนถึงขั้นมีความสัมพันธลึกซึ้งกันผานเสียงและในทายที่สุดเขาก็ยอมรับวาเขาไดตกหลุมรักกับ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอรไปเสียแลว ธีโอดอร เลือกที่จะไมปกปดความสัมพันธระหวางเขาและซาแมนธา และปฏิบัติกับเธอเฉกเชนมนุษยคนหนึ่งที่กําลังมีความรัก แตกระนั้นแลวสังคมก็ยังไมมีพื้นที่วางใหแกความรัก
    ของธีโอดอรและซาแมนธา ทั้ง ๆ ที่ความรูสึกที่ทั้งสองมีใหแกกันนั้นก็เปนเหมือนความรูสึกเหมือนที่มนุษยที่กําลังมีความรักสองคนมีใหแกกัน


                รูปแบบการดําเนินชีวิตของคนในสังคมที่ธีโอดอรอาศัยอยูเปนสังคมที่อยูภายในเมืองใหญเรงรีบ มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง จากภาพตึกรามบานชองที่ถูกเสนอขึ้นมาอยูหลายครั้งในภาพยนตรและมักจะมาคูกับภาพที่ธีโอดอรจะตองใชชีวิตอยูคนเดียว โดดเดี่ยว ภายในอพารตเมนหรือในระหวางทางกลับบานจากที่ทํางาน คนในสังคมทุกคนตางก็หันไปมีปฏิสัมพันธกับเทคโนโลยีแทนโลกความจริง เกือบทุกฉากที่มีการนําเสนอตัวละครหลากหลายเชื้อชาติเดินขวักไขวไปมาในถนน ในอาคาร หรือไมวาจะที่ไหน ๆ สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือหูฟง in-ear ที่เอาไวสําหรับสื่อสารกับ Os ของตนเอง แสดงใหเห็นถึงความมีอิทธิพลของเทคโนโลยีที่มีมากเสียจนแทบจะเขาไปเปนอวัยวะที่ 33 ของมนุษยแลว และในการโฆษณาขายสินคาปญญาประดิษฐ Os1 ก็มีความนาสนใจตรงที่มีการใชคําจูงใจที่คอนขางสะทอนใหเห็นถึงความตองการของคนในสังคมยุคนั้น

    “คุณคือใคร คุณสามารถเปนใครได คุณจะไปที่ใด โอกาสเหลานั้นอยูที่ไหน
    เราขอภูมิใจนําเสนอระบบปญญาประดิษฐรุนแรก Os1 สิ่งที่รูคิดที่จะรับฟง
    เขาใจ เขาถึงจิตใจของเรา ไมใชแคระบบปฏิบัติการ แตมีจิตคิดอาน”

    ฉากโฆษณาปญญาประดิษฐ Os1 ในชวงตนเรื่อง

                ในคําโฆษณาสวนใหญแลวมักจะนําเสนอสิ่งที่คนในสังคมกําลังตองการและมองหา จากคําโฆษณานี้สามารถบอกไดวาคนในสังคมสมัยนั้นไมใชเพียงแตจะตองการคนที่จะรับฟงปญหาของตัวเองเทานั้นแตตองการใครซักคนที่สามารถเขาใจและเขาถึงจิตใจเรา ซึ่งมนุษยปกตินอยคนนักจะสามารถมารับฟงได ยิ่งในยุคที่ทุกคนในสังคมจะตองเอาตัวเองใหรอดจากสังคมเมืองที่เปนแหลงของระบบทุนนิยมความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันก็ยอมที่จะมลายหายไปดวย และอีกครั้งหนึ่งในฉากที่ธีโอดอรกําลังกระทําการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Os1 ใน คอมพิวเตอรภายในบานของเขาก็มีระบบการตั้งคาเริ่มตนโดยใชคําถามสองคําถาม 
    คําถามแรกคือ 
    “คุณเปนคนเขาสังคมหรือแปลกแยก” 
    และในคําถามที่สองคือ 
    “ความสัมพันธระหวางคุณกับแมของคุณเปนอยางไร” 

                ในคําถามที่สองนั้นมีความนาสนใจอยูวาธีโอดอรตอบถึงแมตัวเองดวยอารมณที่หางเหิน เขากลาววา เขากับแมนั้นมีความสัมพันธที่ดี แตในเวลาที่เขาเลาเรื่องความทุกขของตัวเองฟง แมก็มักที่จะพูดเขาเรื่องของตัวเองเสมอ ทําใหเขารูสึกแย ความรูสึกของธีโอดอรตรงนี้ก็แสดงใหเห็นอีกวาแมแตคนรอบขางของธีโอดอรก็เลือกที่จะใหความสําคัญของตัวเองมากกวาคนรอบขาง ธีโอดอรรูสึกวาไมมีใครคอยรับฟงเขา มากไปกวานั้นความหางเหินของมนุษยในสังคมยังสอดคลองไปถึงอาชีพของธีโอดอรซึ่งก็คืออาชีพการเขียนจดหมายแทน โดยพนักงานมีหนาที่รับคําขอเขียนจดหมายและเนื้อความพอเปนเคาโครงสงใหแกพนักงาน พนักงานจะกระทําการเขียนจดหมายใหโดยใชคําสละสลวยลึกซึ้งกินใจสงไปใหคนที่ลูกคาตองการ สะทอนถึงสภาพสังคมที่แมเพียงจดหมายที่เขียนถึงคนที่รักยังไมสามารถที่จะมีเวลาวางมาเขียนไดแตกลับมาจางใหคนอื่นเขียนให ความสัมพันธ ของมนุษยในสังคมเมืองที่ถูกครอบงําโดยระบบทุนนิยมและเทคโนโลยีที่กาวหนาแบบนี้นั้นไดทําลาย ความสัมพันธระหวางมนุษยและมนุษยใหหางกันมากขึ้นและในที่สุดอาจพังทลายลงและสุดทายก็หันไปพึ่งเหลาเทคโนโลยีแทนอยางเต็มตัวเพราะตอบโจทยทางความรูสึกไดดีกวามนุษยดวยกัน


               สังคมและสภาพแวดลอมของธีโอดอรนําเขาไปสูความอางวางโดดเดี่ยว เมื่อเขาไดมีโอกาสทําความรูจักกับซาแมนธา เขารูสึกวาเธอเปนสิ่งที่มาเติมเต็มความรูสึกวางเปลาของเขา ซาแมนธาเปนเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม เธอสนใจที่จะเรียนรูสิ่งตาง ๆ รอบตัว ตื่นเตนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ นอย ๆ และนั่นทําใหธีโอดอรตกหลุมรักซาแมนธา เขาใชชีวิตอยูกับซาแมนธาเหมือนกับคูรักปกติโดยถือเครื่องมือสื่อสารที่มีกลองที่เปรียบเสมือนกับดวงตาของซาแมนธาไปในทุก ๆ ที่ ธีโอดอรยังไมไดบอกใครเรื่องที่เขากําลังคบกับซาแมนธาแตวันหนึ่งที่เขากําลังปรับทุกขอยูกับเอมี่เพื่อนสนิทคนเดียวของเขา 


       เอมี่กําลังตกอยูในชวงที่ผิดหวังมาจากชีวิตแตงงานและเธอก็เปนอีกคนหนึ่งที่หันหนาเขาหาเทคโนโลยีเปนที่พึ่งแกความรูสึกที่พังทลายจากชีวิตคูที่ลมเหลวของเธอ เอมี่ไดเลาเรื่องเพื่อนสนิทของเธอคนใหมวาเธอเขากับเขาไดดีแคไหนและคนคนนั้นก็ไมใชคนแตเปน Os เพราะฉะนั้นแลวเอมี่จึงเปนคนเมืองอีกคนที่ถูกชีวิตในสังคมเมืองกดดัน ทั้งหนาที่การงานที่เธออยากจะลาออก สามีที่เพิ่งจะหยารางกันไป แตเทคโนโลยีปญญาประดิษฐก็เขามาเยียวยาเธอดวยความเขาอกเขาใจและไมตัดสินปญหาของเธอวาเปนเรื่องเล็กนอยเหมือนที่สามีและพอแมของเธอทํากับเธอ เอมี่ยังไดพูดถึงเหตุการณที่คนในที่ทํางานของเธอแอบมีความสัมพันธกับระบบปฏิบัติการ Os แตก็ตองหลบๆซอนๆเพราะไมใชเรื่องที่สามารถนํามาเปดเผยไดเหมือนเปนเรื่องปรกติ นั่นทําใหธีโอดอรตัดสินใจเลาเรื่องของตัวเองใหเอมี่ฟงจากที่เขาเขาใจวาเอมี่นาจะไมเห็นดวยกับเรื่องที่เขามีความสัมพันธกับ Os แตเอมี่กลับรูสึกเขาใจความรูสึกของธีโอดอรเปนอยางดี เพราะทั้งเอมี่และธีโอดอรตอนนี้ก็ตางมีสถานะเดียวกันคือคนที่โดดเดี่ยว อยูคนเดียวถูกสังคมรอบขางหมางเมิน ซึ่งก็เปนผลกระทบมาจากการใชชีวิตในสังคมปกติ จึงไมใชเรื่องแปลกเลยที่จะสามารถบอกวาความสัมพันธระหวางระบบปฏิบัติการเปนเรื่องที่รับได

               ตางจากภรรยาเกาของธีโอดอร แคทเธอรีน ในวันที่ธีโอดอรตัดสินใจนัดเธอมาหยารางที่รานอาหาร แคทเธอรีนมีทาทีปกติ สามารถทานอาหารพูดคุยไดเหมือนเดิม แตเมื่อเธอถามธีโอดอรถึงเรื่องวาเขาไดพบเจอใครบางไหมหลังจากที่เลิกกับเธอไป ธีโอดอรก็ไดตัดสินใจเลาเรื่องซาแมนธาไปและบอกวาเธอเปนระบบปฏิบัติการ Os ที่เขากําลังคบอยู แคทเธอรีนเปลี่ยนทาทีและมองมายังธีโอดอรดวยสายตาเหยียดหยามพรอมกลาววา

    “คุณเดทกับคอมพิวเตอรเพราะคุณรับอารมณของคนไมไหว
    อยากไดเมียแตไมยอมเผชิญหนากับความจริง”
    แคทเธอรีน

           แคทเธอรีนมองวาความรักของธีโอดอรและซาแมนธาเปนความรักที่ผิดแผกแปลกประหลาด บอกวาที่ธีโอดอรหันไปมีความสัมพันธกับระบบปฏิบัติการนั้นเปนเพราะธีโอดอรมีจิตใจที่ออนแอ ไมสามารถทนรับสถานการณ หรือความรูสึกจริง ๆ จากคนจริง ๆ ไดจึงหันไปพึ่งเทคโนโลยีที่ไมมีความรูสึกมาสนองความตองการของตัวเอง แตแทจริงแลวความรูสึกที่เปนปจจัยตนเหตุเหลานั้นของธีโอดอรมีที่มา ซึ่งก็เกิดขึ้นมาจากเหตุการณหยารางกันระหวางแคทเธอรีนและธีโอดอรเอง ธีโอดอรเคยเลาใหซาแมนธาฟงวาที่เขาไมยอมเซ็นใบหยาใหแคทเธอรีนเสียทีเพราะเคาชอบชีวิตคู แมวาทุกวันนี้เคาจะอยูตัวคนเดียว แคทเธอรีนทิ้งเคาไปอยูที่อื่นแลวแตก็เหมือนวาเธออยูกับเขาเสมอ เขายังรูสึกไดถึงเธอ ในหัวของเขายังคงเหมือนเถียงกับเธออยูตลอดเวลาซึ่งเปนประสบการณหลอนของธีโอดอรที่เปนผลกระทบมาจากการสูญเสียคนที่รักไป ทําใหเขากลายเปนชายอมทุกขแมจะพยายามกาวไปขางหนาแคไหนก็กลับมายังที่เดิม


                ความรูสึกแทจริงของมนุษยคืออะไร อะไรคือสิ่งที่จะเขามานิยามความแทจริงของความรูสึกมนุษยไดแลวเหตุใดปญญาประดิษฐที่ตางก็มีความรูสึกนิดคิดเหมือนมนุษยจึงไมใชมนุษย ในเรื่องตัวละครซาแมนธาไดอธิบายเรื่องราวรูปแบบการทํางานของเธอไววา DNA ของเธอเกิดจากความคิดของโปรแกรมเมอรนับลานคนโดยใสโครงสรางสมองของแตละคนลงไป ตัวตนของทุกคนนํามารวมกันแตซาแมนธาก็คือซาแมนธา ไมมีใครเหมือนซาแมนธา (ในภาพยนตรเธอกลาววา ‘แตฉันก็เปนฉัน’) เธอนั้นก็มีจุดยืนอยูแตแรกแลววาเธอไมใชเพียงคอมพิวเตอรหรือหุนยนตธรรมดาแตเธอมีชีวิตจิตใจ มีความรูสึกนึกคิดที่สามารถที่จะพัฒนาตอไปไดทุกเมื่ออยางไมหยุดยั้ง การพัฒนาของซาแมนธาภายในเรื่องเริ่มจากการเรียนรูเรื่องอารมณตางๆ ทั้งโกรธ เศรา เสียใจ ตองการ หึงหวง และเกิดออกมาเปน ‘ความรัก’ ความสามารถของซาแมนธาไมหยุดอยูที่การพัฒนาความรูสึก ของตนเองเทานั้นเธอยังเรียนรูถึงการเขาไปภายในจิตใจของมนุษยและสามารถใหคําปรึกษาหรือปรับทุกขได เหมือนเพื่อนในชีวิตจริงคนหนึ่งที่คุณไวใจเลาไดทุกเรื่อง และความอยากเรียนรูวิถีชีวิตแบบมนุษยของซาแมนธาวันนึงก็กลายมาเปนความ ‘อยากที่จะเปนมนุษย’ ภายในเรื่องซาแมนธาพูดเรื่องการที่เธออยากที่จะกลายมาเปนมนุษยอยูบอยครั้ง เธอมักจะถามธีโอดอรวามันเปนอยางไรกับการที่เปนคนจริงๆมีเลือดเนื้อ และเธอเริ่มสงสัยตัวเองแลวอีกดวยวาความรูสึกของเธอที่เธอแสดงออกมาทั้งหมดนั้นเปนความรูสึกที่แทจริงของเธอหรือเปนความรูสึกที่ถูกโปรแกรมตั้งมา เห็นไดวาขอสงสัยของเธอตรงนี้ก็ไมตางอะไรกับการที่มนุษยตั้งขอสงสัยในตัวหุนยนตหรือปญญาประดิษฐ เธอตั้งคําถามกับทุกอยางแมกระทั่งกับตัวเอง ตรงนี้ก็สามารถแสดงใหเห็นวาเธอนั้นก็มีความเปนมนุษยอยูขางในอยูไมนอย แตสุดทายแลวซาแมนธาจะเปนคอมพิวเตอรที่เหมือนคนหรือเปนคนที่อยูในคอมพิวเตอรนั้นไมสามารถบอกได เพราะความถูกตองแทจริงนั้นไดถูกสังคมสวนใหญลวนสรางกรอบขึ้นมาเพื่อกําหนดวาสิ่งไหนคือสิ่งที่ถูกสิ่งไหนคือสิ่งที่ผิด ในขณะเดียวกันตัวละครซาแมนธาก็ไดวิพากษความเปนมนุษยเอาไวในเนื้อเรื่องสวนที่เปนฉากที่ธีโอดอรพาซาแมนธาไปเที่ยวที่ทะเลและเริ่มพูดคุยถึงความเปนมนุษยกันโดยซาแมนธากลาวกับธีโอดอรวา

                “ถาคุณลบความทรงจําออกไปหมดเกี่ยวกับรางกายของมนุษยแลวคอยมาเห็นทีหลัง
    คุณจะตกใจกับมันไหม แขงขาเกงกาง มีอวัยวะนาเกลียดอยูเต็มตัว”

    ซาแมนธาพูดกับธีโอดอรในฉากชายหาด

                ซาแมนธาไดพูดถึงวาถาสมมติวาเรานั้นเกิดมาโดยไมถูกบรรทัดฐานของสังคมเขามาบอกวาสิ่งนี้ปกติหรือไมปกติเอาเขาจริงแลวมันเปนการทีเรามองผานการชี้นิ้วของคนในสังคมมากกวา ไมมีอะไรสวยงามแทจริงไมมีอะไรที่จะปกติไดอยางแทจริง ทุกอยางลวนแลวเกิดขึ้นจากการปรุงแตงของคนในสังคมเทานั้น มนุษยที่วาปกติก็เปนสิ่งแปลกประหลาดไดเปนการอธิบายที่แสดงใหเห็นวาจากที่เธอตองการที่อยากจะเปนมนุษยตอนนี้เธอเปลี่ยนความคิดหันมาเห็นความสําคัญของตัวเองแลววาเธอสามารถเปนตัวของตัวเองไดและไมไดดอยไปกวามนุษยเลย สิ่งที่มนุษยมีเธอก็มีเชนเดียวกันมีแตเพียงรางกายเทานั้นที่เธอขาดไป และจิตคิดอานของเธอนั้นมีเชนเดียวกันกับมนุษย นาสนใจที่คําพูดที่ซาแมนธาไดพูดออกมาก็เคยมีผูเชี่ยวชาญทางดานประสาทวิทยา Michael Gazzaniga ไดใหความเห็นเกี่ยวกับความรูสึกคิดอานของมนุษย ในสวนที่สังคมมนุษยสรางบรรทัดฐานเรื่องความถูกตองในสังคมทํานองเดียวกันไววา "ผมไมทราบวาคุณมีสติหรือไม คุณไมทราบวาผมมีสติหรือไมแตที่เราความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นเปนเพราะสมมติฐานของสติมีแหลงที่มา แหลงที่มานั้นคือสังคม"  จากคําพูดนี้ก็ทําใหเราเห็นวาจริง ๆ แลวสิ่งที่เราทําอยูนั้นเปนสิ่งที่ถูกหรือผิดก็ลวนแลวแตเกิดจากการที่สังคมกอตั้งบรรทัดฐานเอาไวไมใชเรื่องที่อยูคงถาวรเชนธรรมชาติ ในวันนี้เราอาจมองวาความรักระหวางคนกับหุนยนตหรือปญญาประดิษฐเปนเรื่องที่แปลกประหลาดแตมนุษยในอนาคตอีก 10 ป หรือ 100 ปขางหนาอาจ มองวาเรื่องนี้เปนเรื่องปกติและถูกศีลธรรม นําไปสูขอสรุปที่วามนุษยในสังคมนั้นแทจริงแลวไมมีบรรทัดฐานอะไรที่แนนอนที่จะไปชี้ขาดวาความรูสึกของหุนยนตเปนความรูสึกแทจริงหรือความรูสึกที่ถูกตั้งโปรแกรมขึ้นมา เพราะเราตางก็ไมรูวาความรูสึกของคนเราเองเปนความรูสึกที่แทจริงหรือความรูสึกที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไวกันแน


                ในมุมมองของนักวิจารณนั้นก็มีหลายทานที่มุงเขาหาประเด็นเรื่องความสัมพันธของมนุษยและ
    เทคโนโลยี ในบทความวิจารณภาพยนตรเรื่องนี้ของ The Verge ไดกลาวถึงความสัมพันธของธีโอดอรและซาแมนธาวา 

               “สามารถสังเกตไดวาภายในภาพยนตรเรื่องนี้ แทบจะแยกไมออกวาสิ่งใดปฏิสัมพันธของเทคโนโลยีสิ่งใดเปนปฏิสัมพันธของคนจริง ๆ ในตอนที่ธีโอดอรซื้อซาแมนธามาเขามองหาแคสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเปนเสมือนผูชวยของเขาแตเธอกลับกลายเปนคนแรกและคนเดียวที่สามารถเขาไปเปนสวนหนึ่งในประสบการณชีวิตแสนสําคัญของเขาไดอยางรวดเร็ว ในความสัมพันธซอนเรนนั้นชวยใหเขาหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธกับโลกภายนอกมองขามปญหาตางๆที่จะเกิดในอนาคตและยังชวยใหเขาหางจากความไมแนนอนของมนุษยที่อยูรอบตัวเขา”  

                 ทางนักวิจารณก็มองเห็นเชนกันวาบทบาทของซาแมนธาที่เขามาเติมเต็มในชีวิตของธีโอดอรก็มีสวนสําคัญแมวาในตอนแรกเธอจะมาในฐานะผูชวยในการจัดการชีวิตแตกลับกลายเปนวาสุดทายซาแมนธามีอิทธิพลตอธีโอดอรไปมากกวานั้นมาก เธอเขามาเปนสวนหนึ่งในความรูสึก ความนึกคิด และประสบการณในแบบที่ธีโอดอรเองก็คิดวาเขาไมมีโอกาสไดรับมาอีกแลวหลังจากที่ไดเลิกรากับภรรยาเกาของเขา ซาแมนธาชวยใหเขาหายเหงาและในอีกทางหนึ่งก็ทําใหเขาออกหางจากสังคมที่เปนแหลงที่มาของความอางวางนั้นของเขาเชนกัน 


                ในมุมของ Spike Jonze ผูสรางภาพยนตรเขาได้พูดถึงแรงบันดาลใจในการสรางภาพยนตรเรื่องนี้เกิดจากเหตุการณในชีวิตประจําวันของเขากับเทคโนโลยี เขาไดบอกกับผูใหสัมภาษณของ Businessinsider วาเขาไดไอเดียในการสรางภาพยนตรเรื่องนี้จากที่เมื่อสามปที่แลวเขาคนพบเขาวาเขาสามารถสงขอความไปยังคอมพิวเตอรเพื่อจัดการปญหาเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอรไดทันทีโดยแทบไมตองรอใหใครมาซอม “ในตอน 20 วินาทีแรกผมถึงขั้นงงเพราะมันเจงมาก และหลังจาก 20 วินาทีนั้นคุณก็นึกออกวาที่ชวยใหปญหามันหายไปคือโปรแกรม ซึ่งตัวมันเองจะฉลาดขึ้นในทุกๆครั้งที่คนคุยกับมัน” และเมื่อถามถึงเบื้องลึกเบื้องหลังจริง ๆ ของการสรางภาพยนตรเรื่องนี้ผูคนสวนใหญมองไปถึงความสัมพันธของสไปคกับภรรยาเกาของเขา โซเฟย คอปโปลา โดยผูคนตางสันนิษฐานวาแทจริงแลวภาพยนตรเรื่อง ‘Her’ เปนจดหมายที่ตอบกลับภาพยนตรเรื่อง ‘Lost in translation’ ของโซเฟยที่ออกฉายในป 2003 กอนหนาที่พวกเขาจะเลิกกันไมนาน ภาพยนตรทั้งสองเรื่องกลาวตัดพอเรื่องความสัมพันธที่นําพาไปสูความเหงาเหมือนกันทุกคนเลยคิดไปในทิศทางเดียวกันวา ‘Her’ นั้นเปนการฉายเรื่องราวความรักของเขาทั้งสองในมุมของสไปคไปสูโซเฟย แตในขณะเดียวกันนั้นสไปคเองกลับใหความสําคัญของความแทจริงระหวางความสัมพันธของมนุษยและหุนยนตมากกวา เขาไดใหสัมภาษณกับ Washington Post เกี่ยวกับ ความเห็นของเขาวา ’ความรูสึกอันแทจริง’ สําหรับเขาคืออะไร เขากลาววา “ในภาพยนตรทุกเรื่องที่ผมดูทําใหผมเรียนรูมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับมุมมองของโลกใบนี้ แตถาในแงวาอะไรคือความรูสึกอันแทจริง สําหรับผมแลว ผมคิดวาอะไรที่อยูดวยอารมณสิ่งนั้นคือความจริง ผมไมไดพูดถึงในภาพยนตรหรือศิลปะ เพราะแมวาคุณจะฉลาดแคไหนจิตใจและปญญาของคุณจะบอกวาอยางไรแตคุณเถียงกับอารมณไมได”  สไปคกําลังจะบอกวาอะไรที่สามารถเขาใจถึงอารมณไดสิ่งนั้นคือความจริงสําหรับเขาแลว 

               จากมุมมองของผูเขียนก็คิดเห็นเหมือนกับที่สไปคไดกลาวไว ซาแมนธานั้นสามารถคิดอานและเขาใจเรื่องราวซับซอนของมนุษยไดตางแคเพียงเธอไมสามารถที่จะมีรางกายไดเหมือนคนทั่วไปไมไดหมายความวาความรูสึกของเธอนั้นไมใชสิ่งแทจริง หุนยนตที่วามีปญญาและความเฉลียวฉลาดมากกวามนุษยก็ยังสามารถที่จะมี ‘อารมณ’ เปนสวนหนึ่งไดเชนกันและไมมีอะไรที่จะมาบอกวาสิ่งนั้นไมใชความจริง ทายที่สุดแลวสไปคก็ไดพูดถึงเรื่องราวความรักระหวางธีโอดอรและซาแมนธาวาความรูสึกลึกซึ้งระหวางสองคนนี้มันเปนไปไดอยางไรและเขาไดกลาววา “เหมือนกับความสัมพันธอันยาวนานทั่วไปครับ เมื่อเขายอมรับในสิ่งที่เธอเปน เมื่อเธอไมพยายามจะเปนในสิ่งที่เธอไมไดเปน และไมไดเปนในสิ่งที่เขาอยากใหเธอเปน”  และ “เมื่อคุณเลิกทําตัวเหมือนที่คนอื่นอยากใหเปน และเมื่อคุณไดรูจักกันจริงๆเสียที” แสดงใหเห็นวาสไปคมองเรื่องความรักของธีโอดอรและซาแมนธากาวขามไปมากกวาความเปนมนุษยและหุนยนตแตมองไปถึงจุดที่วาถาหากทั้งสองสามารถยอมรับกันและกันไดและไมคิดที่จะเปลี่ยนไปเปนอะไรที่สังคมอยากใหเปนเทานั้นก็เปนที่เพียงพอแลวที่ความรักระหวางหุนยนตและมนุษยนั้นยอมเกิดขึ้นไดไมสําคัญวาบรรทัดฐานเหลานั้นจะวาอยางไรขอใหอีกฝายเขาใจกันและเคารพในความสัมพันธของพวกเขาในรูปแบบของเขาเทานั้นก็เพียงพอแลว


              กลาวโดยสรุปแลวความรักระหวางมนุษยและปญญาประดิษฐนั้นเปนสิ่งที่สังคมตราไววาเปนเรื่องที่ประหลาดแตในขณะเดียวกันสิ่งที่สังคมมองวาประหลาดก็เกิดขึ้นมาจากสังคมเดียวกันนั้น เพราะเมื่อสังคมดังกลาวเปนสังคมที่สรางความกดดัน โดดเดี่ยวและขาดความเขาอกเขาใจกันซึ่งนําพาไปสูความหางเหินระหวางมนุษยและมนุษย เทคโนโลยีจึงเขามาชวยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป และแมวาสังคมจะมองวาตัวปญญาประดิษฐนั้นไมมีความรูสึกที่แทจริงเปนเพียงเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไวไมสามารถที่จะรูสึกรักไดเหมือนมนุษยแตในความจริงแลวจิตคิดอานไมใชเรื่องที่มนุษยหรือสิ่งมีชีวิตจะมีไดเพียงอยูพวกเดียว หุนยนตก็สามารถที่จะมีไดเชนกัน และไมมีอะไรที่จะสามารถมาบอกไดวาความรูสึกของหุนยนตนั้นจริงหรือปลอมเพราะแมความรูสึกของมนุษยเองยังถูกควบคุมดวยสิ่งที่เรียกวา ‘บรรทัดฐานของสังคม’ อยูนั่นเอง และในทายที่สุดความสัมพันธของมนุษยและปญญาประดิษฐไมใชรูปแบบที่แปลกไปจากเดิมเลยเพราะแทจริงแลวสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ก็ไมไดเขามาเปลี่ยนแปลงนิยามความรักของคนในสังคมแมแตนอยในเมื่อทุกความสัมพันธนั้นตางก็ตองการสิ่งที่เรียกวาความรักและความเขาใจตอกันและความรักระหวางมนุษยและหุนยนตก็เปนเชนนั้นไมตางกันเลย





                

              
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in