คำเตือน !! เนื้อหาต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์หรือข้อความที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับชม ใครที่คิดจะเข้าไปดูพยายามเลี่ยงก่อนนะครับ
กัมซิส VS อีเหลือง (ในเรื่องตัวเหลืองไม่มีชื่อครับ)
สัมผัสแรกในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ของผมคือความงงครับ เนื่องจากตัวภาพยนตร์เป็นภาษาตุรกีล้วนๆ ซึ่งต่างจากที่ผมคิดไว้ ผมเข้าใจว่าบทพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วมี Subtitle เป็นภาษาไทย แต่บทพูดดันเป็นภาษาตุรกี แล้วมี Subtitle เป็นภาษาไทยกับภาษาอังกฤษคู่กัน ดูช่วงแรกๆ ผมเลยแอบมึนๆ นิดหน่อย
หนังเริ่มต้นด้วยบรรยากาศของเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมืองที่เต็มไปด้วยแมว โดยมีผู้คนที่เกี่ยวข้องกับแมวมาเล่าเรื่องถึงแมวตัวหลักๆ อยู่ 7 ตัว ได้แก่
- ซาริ : คุณแม่ผู้รักและดูแลลูกอย่างดี
- เบงกู : แมวขี้อ้อนและหวงลูก
- ซิโคพาท : แมวจอมเก๋า นักเลงคุมซอย โหดและหวงผัวมาก (พาร์ทนี้ผมชอบมาก 5555)
- เดนิส : แมวหนุ่มขี้อ้อน (ตัวนี้ผมไม่รู้รายละเอียดเท่าไรเพราะเผลอหลับไป)
- อัสลัน ปาเชสิ : นักล่าหนูประจำร้านอาหาร
- ดูมาน : แมวมารยาทดี ตะกุยกระจกเวลาหิว
- กัมซิส : จอมเก๋าอีกราย
ระหว่างเรื่องก็จะมีผู้คนที่ผูกพันกับเจ้าแมวตัวนั้นออกมาเล่าถึงความเป็นมาของเขากับแมวตัวนั้น อย่างเช่น เจ้าของร้านอาหารร้านหนึ่งเล่าว่าที่ร้านของเขามีหนูออกมาวิ่งอยู่ตลอด แต่ปัญหานั้นก็หมดไปเมื่อ อัสลัน ปาเชสิ แมวหนุ่มนักล่าได้ปรากฏตัวขึ้นและคอยไล่ตบพวกหนูนั้น หรือเรื่องของ ซาริ แมวที่สุดแสนจะขี้เกียจ ไม่ชอบออกไปไหน แต่เมื่อเจ้าซาริมีลูกก็เปลี่ยนเป็นตัวละตัว (คนละคนนั่นแหละ) กลายเป็นแมวที่ชอบออกไปหาอาหารด้วยตัวเองและนำมาเลี้ยงลูกๆ ของเธอ
นอกจากแมวหลัก 7 ตัวแล้ว ยังมีบุคคลอื่นๆ ที่เล่าเรื่องของตนกับแมวจรจัดอีกด้วย เช่น เจ้าของร้านขายปลา หรือคนขับเรือที่ได้แมวช่วยชี้กระเป๋าสตางค์ให้ในวันที่ตัวเองแทบไม่มีเงินสักกะแดงเดียว
ตัวภาพยนตร์ดูธรรมดาใช่มั้ยครับ ? ก็แค่ถ่ายแมว ถ่ายคนเลี้ยง ถ่ายเมือง แล้วก็ให้คนที่อยู่กับแมวเล่าเรื่องแค่นั้น
ก่อนจะเข้าไปดูผมก็รู้สึกแบบนั้นแหละครับ คิดแค่ว่าอยากเข้าไปเสพแมวเฉยๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ
ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีความพิเศษมากกว่านั้น
อย่างแรกเลยคือมุมกล้อง ตัวภาพยนตร์มีมุมกล้องที่ดีมาก ถือว่ายอดเยี่ยมมากในสายตาคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องกล้องหรือการถ่ายภาพยนตร์อย่างผม มุมกล้องแต่ละจุดสื่อให้เห็นถึงความสวยงามของเมืองอิสตันบูล วิถีชีวิตของผู้คน และแมวได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุดสำคัญคือการถ่ายแมวออกมานี่แหละครับ
ผมไม่รู้ว่าเขาใช้เทคนิควิธีอะไรถึงทำให้ถ่ายแมวออกมาได้อย่างชัดเจนมากๆ ชัดเหมือนเราไปเจอเอง เห็นชัดทุกอณูรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็นช็อตไหน จะกระโดด วิ่ง เดิน ฟัด ตีลังกาม้วนห้าพันแปดร้อยสิบเจ็ดตลบก็ถ่ายออกมาได้ชัดมากจนทาสแมวอย่างผมได้ฟินอย่างเต็มรูปแบบ ผมฟินจนนั่งแทบไม่ติดที่ ยิ้มแล้วยิ้มอีก ฟินแล้วฟินอีก ตอนแรกคิดว่าเป็นคนเดียว แต่พอแอบมองไปที่นั่งใกล้ๆ หลายๆ คนก็มีอาการแบบผม นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาววัยทำงานที่มานั่งดูก็ต่างอดใจในความน่ารักของเจ้าแมวแต่ละตัวไม่ไหว
อย่างที่สองที่ต้องชื่นชมคือการเดินเรื่อง ตัวภาพยนตร์เดินเรื่องได้อย่างน่าดูน่าชม ไม่น่าเบื่อในแบบสารคดีทั่วไป เดินเรื่องไม่เร็วไปช้าไป พอให้ได้ฟินกับเจ้าแมวตัวต่างๆ อย่างพอดิบพอดี
(ถ้าจะมีข้อติก็ติที่ผมนี่แหละครับ ผมแอบหลับในโรงไปช่วงที่เนื้อเรื่องกำลังเล่าถึงเจ้า เดนิส แมวขี้อ้อนพอดี แหม่ หนังมันเพลินน่ะครับเลยเผลอหลับไปหน่อย แฮ่ๆ)
และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมต้องมาเขียนสรรเสริญภาพยนตร์เรื่องนี้คือบรรยากาศของตัวภาพยนตร์ครับ
ตัวภาพยนตร์นี้อย่างที่ผมบอกไปว่ามีแค่ ภาพเมือง แมว คนที่ผูกพันกับแมว ภาพเมือง แมว คนที่ผูกพันกับแมว วนไปเรื่อยๆ มีแค่นั้นจริงๆ ครับ แต่การสร้างบรรยากาศมันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างไปกว่าเรื่องอื่น
การเล่าเรื่องของทุกๆ คนที่ผูกพันกับแมวต่างก็เล่าเรื่องที่แตกต่างกันไป บางคนก็เลี้ยงไว้เป็นกิจลักษณะบางคนก็แค่ให้อาหาร บางคนก็แทบไม่ได้ผูกพันอะไรกันเลยแค่เห็นกันเฉยๆ แต่สิ่งที่ผมสังเกตจากทุกๆ คนที่เล่าเรื่องนั้นคือทุกๆ คนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขที่ได้เล่าถึงการได้มีเจ้าตัวน้อยนี้มาผูกพันในชีวิต
มีฉากนึงจากภาพยนตร์ที่ผมประทับใจมาก ฉากนั้นมีผู้ชายคนนึงเล่าว่าเขาป่วยด้วยอาการทางจิตตั้งแต่ปี 2002 ไม่ยิ้ม ไม่พูดคุยสุงสิงกับใคร ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่เมื่อเขาได้มาผูกพันกับแมว ได้ให้อาหารแมว ดูแลแมวจร สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้น จากที่เป็นคนไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่มีความสุข เมื่อได้มาผูกพันกับแมวชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มันเป็นการเยียวยาหัวใจของเขาและช่วยเหลือแมวเหล่านั้นไปในตัว
ได้ฟังเรื่องนี้แล้วผมขนลุกเลยครับ ไม่ได้ขนลุกเพราะปวดขี้นะครับ แต่ขนลุกในพลังของความรักที่คนมีต่อแมว ขนลุกในพลังของการให้ รู้สึกตื้นตันบอกไม่ถูก
นอกเหนือจากชายคนนี้ ทุกคนที่ได้เล่าเรื่องแมวต่างก็เล่าออกมาด้วยความสุข ความสุขนั้นมันออกมาจากแววตา น้ำเสียงและท่าทางของพวกเขาเวลาเล่าเรื่อง ทำให้พอดูๆ ไปแล้วนอกจากที่ผมจะหลงรักแมวอิสตันบูลแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้ผมยังหลงรักผู้คนที่อิสตันบูลอีกด้วย
ว่ากันง่ายๆ คือภาพยนตร์เรื่องนี้แทบไม่ต้องพยายามบีบคั้นเอาความ Feel Good ออกมา หรือพยายามเค้นเอาความน่ารักของแมวออกมาให้มันดูน่ารักเวอร์ในสายตาคนดู แค่ปล่อยทุกอย่างเป็นธรรมชาติก็โคตรจะ Feel Good แล้วล่ะครับ
และไอ้ความ Feel Good นี่แหละที่ทำให้บรรยากาศของภาพยนตร์มันอบอวลไปด้วยความสุข มันต่างจากภาพยนตร์สารคดีน่าเบื่อๆ ที่เราคิดไว้ในหัว มันเต็มไปด้วยความสุขจริงๆ
จบส่วนสปอยล์แล้วจ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in