เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อยากเล่าMr.PT
Kedi : อิสตันบูล ผู้คน และแมว


  • ระหว่างที่ผมนั่งเล่นเฟซบุ๊ก ผมไปสะดุดตากับโพสต์ของเพจรีวิวภาพยนตร์เพจหนึ่งซึ่งธรรมดาแล้วผมจะไม่ค่อยสนใจพวกเพจรีวิวแบบนี้เท่าไรนัก แต่โพสต์นั้นทำให้ผมต้องย้อนกลับไปดูอีกครั้งนึง

    โพสต์นั้นกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่อง "Kedi เมืองแมว" ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับแมว แมว และแมว ผมลองนั่งอ่านดูก็จับใจความได้ว่าเป็นภาพยนตร์สารคดีที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับแมวในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี (พยายามไม่หาอ่านอะไรมากไปกว่านั้น กลัวเสียอรรถรส) 

    ด้วยความที่ผมเป็นทาสแมวขั้นสุด รักแมวขนาดที่ว่ามีรูปแมวเยอะกว่ารูปแฟนในโทรศัพท์ ผมจึงสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และที่สำคัญคือนานๆ จะมีหนังเกี่ยวกับแมวเต็มรูปแบบอย่างนี้มาฉายในบ้านเราสักที ตอนเรื่อง A Street Cat Named Bob เข้าฉายผมก็ไม่ว่างไปดู ไหนๆ มีหนังแมวๆ ผมเลยไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญครั้งนี้


    แต่ผมเองก็แอบลังเลอยู่บ้าง เพราะช่วงนี้ผมเองก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง เงินทองก็ไม่ได้มีมากมาย แล้วค่าตั๋วหนังบ้านเรานี่ก็แพงบรรลัย ดูรอบนึงดาวน์รถได้งวดนึง (เวอร์ไป) ไปดูหนังแมวๆ แบบนี้จะคุ้มรึเปล่า เพราะงั้นผมเลยลองไปหาตัวอย่างภาพยนตร์ดูใน Youtube เพื่อประกอบการตัดสินใจ




    แค่ดูตัวอย่างผมก็จิกหมอนจิกเมาส์จิกคีย์บอร์ดอยู่หน้าคอมแล้วครับ แมวแต่ละตัวในเรื่องน่ารักน่าหยิกมากกกกกกกก ด้วยความที่ส่วนตัวผมเองเป็นคนชื่นชอบแมวอยู่แล้ว และมีความอยากไปดูตั้งแต่เห็นโปสเตอร์แล้ว ในที่สุดผมเลยตัดสินใจว่าจะไปดูเรื่องนี้ให้ได้

    ผมลองค้นหารอบในเว็บไซต์ของโรงภาพยนตร์เครือที่ฉายเพื่อที่จะจองตั๋วล่วงหน้า เข้าเว็บไปก็พบว่ารอบฉายมันน้อยมาก และเกือบทั้งหมดเป็นโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ 

    โชคดีที่มีรอบหนึ่งฉายที่สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ และที่สำคัญคือเป็นรอบวันพุธ ค่าตั๋วจะถูกกว่าปกติด้วย ผมจึงตัดสินใจจองตั๋วไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันอังคาร



  • อิสตันบูล

    ถึงวันพุธ ผมตื่นอาบน้ำไปเดอะมอลล์บางกะปิตั้งแต่เที่ยง กินข้าวอะไรเสร็จสรรพก็เดินเล่นฆ่าเวลาจนใกล้ถึงเวลาเข้าฉาย

    ผมไปถึงโรงฉายก่อนเวลาประมาณ 10 นาที ระหว่างเดินๆ นั่งๆ อยู่แถวนั้นผมลองเปิดดูเว็บจองตั๋วภาพยนตร์เพื่อที่จะดูว่าคนมาดูเรื่องนี้กันเยอะรึเปล่า เปิดเว็บไปก็เห็นว่าที่นั่งมีคนดูอยู่บ้าง ไม่ได้ถึงกับแน่นขนัด แต่ก็ไม่ได้น้อยจนน่ากลัว 

    สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากการจองตั๋วคือคนที่มาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่มาดูคนเดียว มองดูผังที่นัั่งในเว็บไซต์แล้วไม่เห็นมีที่นั่งไหนที่จองติดกันเลย ซึ่งผมไม่ค่อยจะได้เห็นบรรยากาศการดูหนังแบบนี้เท่าไร ปกติเห็นจองกันเป็นคู่ เป็นหมู่ตลอด แต่เรื่องนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น อาจเพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังนอกกระแสด้วย เลยทำให้คนที่มาดูเป็นคนสนใจในตัวหนังจริงๆ ไม่ได้แค่ดูตามกระแสเหมือนหนังฮีโร่หรือหนังดังที่ใครๆ ก็พูดถึงทั่วไป


  • คำเตือน !! เนื้อหาต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์หรือข้อความที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับชม ใครที่คิดจะเข้าไปดูพยายามเลี่ยงก่อนนะครับ

    กัมซิส VS อีเหลือง (ในเรื่องตัวเหลืองไม่มีชื่อครับ)

    สัมผัสแรกในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ของผมคือความงงครับ เนื่องจากตัวภาพยนตร์เป็นภาษาตุรกีล้วนๆ ซึ่งต่างจากที่ผมคิดไว้ ผมเข้าใจว่าบทพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วมี Subtitle เป็นภาษาไทย แต่บทพูดดันเป็นภาษาตุรกี แล้วมี Subtitle เป็นภาษาไทยกับภาษาอังกฤษคู่กัน ดูช่วงแรกๆ ผมเลยแอบมึนๆ นิดหน่อย

    หนังเริ่มต้นด้วยบรรยากาศของเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมืองที่เต็มไปด้วยแมว โดยมีผู้คนที่เกี่ยวข้องกับแมวมาเล่าเรื่องถึงแมวตัวหลักๆ อยู่ 7 ตัว ได้แก่ 

    • ซาริ : คุณแม่ผู้รักและดูแลลูกอย่างดี
    • เบงกู : แมวขี้อ้อนและหวงลูก
    • ซิโคพาท : แมวจอมเก๋า นักเลงคุมซอย โหดและหวงผัวมาก (พาร์ทนี้ผมชอบมาก 5555) 
    • เดนิส : แมวหนุ่มขี้อ้อน (ตัวนี้ผมไม่รู้รายละเอียดเท่าไรเพราะเผลอหลับไป) 
    • อัสลัน ปาเชสิ : นักล่าหนูประจำร้านอาหาร
    • ดูมาน : แมวมารยาทดี ตะกุยกระจกเวลาหิว
    • กัมซิส : จอมเก๋าอีกราย 

    ระหว่างเรื่องก็จะมีผู้คนที่ผูกพันกับเจ้าแมวตัวนั้นออกมาเล่าถึงความเป็นมาของเขากับแมวตัวนั้น อย่างเช่น เจ้าของร้านอาหารร้านหนึ่งเล่าว่าที่ร้านของเขามีหนูออกมาวิ่งอยู่ตลอด แต่ปัญหานั้นก็หมดไปเมื่อ อัสลัน ปาเชสิ แมวหนุ่มนักล่าได้ปรากฏตัวขึ้นและคอยไล่ตบพวกหนูนั้น หรือเรื่องของ ซาริ แมวที่สุดแสนจะขี้เกียจ ไม่ชอบออกไปไหน แต่เมื่อเจ้าซาริมีลูกก็เปลี่ยนเป็นตัวละตัว (คนละคนนั่นแหละ) กลายเป็นแมวที่ชอบออกไปหาอาหารด้วยตัวเองและนำมาเลี้ยงลูกๆ ของเธอ

    นอกจากแมวหลัก 7 ตัวแล้ว ยังมีบุคคลอื่นๆ ที่เล่าเรื่องของตนกับแมวจรจัดอีกด้วย เช่น เจ้าของร้านขายปลา หรือคนขับเรือที่ได้แมวช่วยชี้กระเป๋าสตางค์ให้ในวันที่ตัวเองแทบไม่มีเงินสักกะแดงเดียว 

    ตัวภาพยนตร์ดูธรรมดาใช่มั้ยครับ ? ก็แค่ถ่ายแมว ถ่ายคนเลี้ยง ถ่ายเมือง แล้วก็ให้คนที่อยู่กับแมวเล่าเรื่องแค่นั้น

    ก่อนจะเข้าไปดูผมก็รู้สึกแบบนั้นแหละครับ คิดแค่ว่าอยากเข้าไปเสพแมวเฉยๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ

    ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีความพิเศษมากกว่านั้น

    อย่างแรกเลยคือมุมกล้อง ตัวภาพยนตร์มีมุมกล้องที่ดีมาก ถือว่ายอดเยี่ยมมากในสายตาคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องกล้องหรือการถ่ายภาพยนตร์อย่างผม มุมกล้องแต่ละจุดสื่อให้เห็นถึงความสวยงามของเมืองอิสตันบูล วิถีชีวิตของผู้คน และแมวได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุดสำคัญคือการถ่ายแมวออกมานี่แหละครับ

    ผมไม่รู้ว่าเขาใช้เทคนิควิธีอะไรถึงทำให้ถ่ายแมวออกมาได้อย่างชัดเจนมากๆ ชัดเหมือนเราไปเจอเอง เห็นชัดทุกอณูรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็นช็อตไหน จะกระโดด วิ่ง เดิน ฟัด ตีลังกาม้วนห้าพันแปดร้อยสิบเจ็ดตลบก็ถ่ายออกมาได้ชัดมากจนทาสแมวอย่างผมได้ฟินอย่างเต็มรูปแบบ ผมฟินจนนั่งแทบไม่ติดที่ ยิ้มแล้วยิ้มอีก ฟินแล้วฟินอีก ตอนแรกคิดว่าเป็นคนเดียว แต่พอแอบมองไปที่นั่งใกล้ๆ หลายๆ คนก็มีอาการแบบผม นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาววัยทำงานที่มานั่งดูก็ต่างอดใจในความน่ารักของเจ้าแมวแต่ละตัวไม่ไหว


    ชัดขนาดไหนดูเอาเอง

    อย่างที่สองที่ต้องชื่นชมคือการเดินเรื่อง ตัวภาพยนตร์เดินเรื่องได้อย่างน่าดูน่าชม ไม่น่าเบื่อในแบบสารคดีทั่วไป เดินเรื่องไม่เร็วไปช้าไป พอให้ได้ฟินกับเจ้าแมวตัวต่างๆ อย่างพอดิบพอดี 

    (ถ้าจะมีข้อติก็ติที่ผมนี่แหละครับ ผมแอบหลับในโรงไปช่วงที่เนื้อเรื่องกำลังเล่าถึงเจ้า เดนิส แมวขี้อ้อนพอดี แหม่ หนังมันเพลินน่ะครับเลยเผลอหลับไปหน่อย แฮ่ๆ)

    และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมต้องมาเขียนสรรเสริญภาพยนตร์เรื่องนี้คือบรรยากาศของตัวภาพยนตร์ครับ

    ตัวภาพยนตร์นี้อย่างที่ผมบอกไปว่ามีแค่ ภาพเมือง แมว คนที่ผูกพันกับแมว ภาพเมือง แมว คนที่ผูกพันกับแมว วนไปเรื่อยๆ มีแค่นั้นจริงๆ ครับ แต่การสร้างบรรยากาศมันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างไปกว่าเรื่องอื่น 

    การเล่าเรื่องของทุกๆ คนที่ผูกพันกับแมวต่างก็เล่าเรื่องที่แตกต่างกันไป บางคนก็เลี้ยงไว้เป็นกิจลักษณะบางคนก็แค่ให้อาหาร บางคนก็แทบไม่ได้ผูกพันอะไรกันเลยแค่เห็นกันเฉยๆ แต่สิ่งที่ผมสังเกตจากทุกๆ คนที่เล่าเรื่องนั้นคือทุกๆ คนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขที่ได้เล่าถึงการได้มีเจ้าตัวน้อยนี้มาผูกพันในชีวิต

    มีฉากนึงจากภาพยนตร์ที่ผมประทับใจมาก ฉากนั้นมีผู้ชายคนนึงเล่าว่าเขาป่วยด้วยอาการทางจิตตั้งแต่ปี 2002 ไม่ยิ้ม ไม่พูดคุยสุงสิงกับใคร ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่เมื่อเขาได้มาผูกพันกับแมว ได้ให้อาหารแมว ดูแลแมวจร สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้น จากที่เป็นคนไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่มีความสุข เมื่อได้มาผูกพันกับแมวชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มันเป็นการเยียวยาหัวใจของเขาและช่วยเหลือแมวเหล่านั้นไปในตัว

    ได้ฟังเรื่องนี้แล้วผมขนลุกเลยครับ ไม่ได้ขนลุกเพราะปวดขี้นะครับ แต่ขนลุกในพลังของความรักที่คนมีต่อแมว ขนลุกในพลังของการให้ รู้สึกตื้นตันบอกไม่ถูก

    นอกเหนือจากชายคนนี้ ทุกคนที่ได้เล่าเรื่องแมวต่างก็เล่าออกมาด้วยความสุข ความสุขนั้นมันออกมาจากแววตา น้ำเสียงและท่าทางของพวกเขาเวลาเล่าเรื่อง ทำให้พอดูๆ ไปแล้วนอกจากที่ผมจะหลงรักแมวอิสตันบูลแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้ผมยังหลงรักผู้คนที่อิสตันบูลอีกด้วย 

    ว่ากันง่ายๆ คือภาพยนตร์เรื่องนี้แทบไม่ต้องพยายามบีบคั้นเอาความ Feel Good ออกมา หรือพยายามเค้นเอาความน่ารักของแมวออกมาให้มันดูน่ารักเวอร์ในสายตาคนดู แค่ปล่อยทุกอย่างเป็นธรรมชาติก็โคตรจะ Feel Good แล้วล่ะครับ 

    และไอ้ความ Feel Good นี่แหละที่ทำให้บรรยากาศของภาพยนตร์มันอบอวลไปด้วยความสุข มันต่างจากภาพยนตร์สารคดีน่าเบื่อๆ ที่เราคิดไว้ในหัว มันเต็มไปด้วยความสุขจริงๆ



    จบส่วนสปอยล์แล้วจ้า 

  • ตลอดเวลากว่า 90 นาทีที่ผมอยู่ในโรง ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ผมนั่งยิ้มเหมือนคนบ้า นั่งบิดไปบิดมา แอบทำเสียงหมั่นเขี้ยวออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งปกติผมไม่ค่อยเป็นแบบนี้นะครับ เหมือนกับว่าหนังมันพาเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไปนั่งฟังคนเล่าเรื่องแมว นั่งดูแมววิ่งไปมาเหมือนว่าเราอยู่ที่อิสตันบูลจริงๆ  

    ความรู้สึกตอนผมออกมาจากโรงเต็มไปด้วยความสุข แม้จะเป็นการดูหนังสารคดีครั้งแรกของผมแต่ก็เป็นหนังสารคดีที่ทำให้ผมมีความสุขอย่างมาก ผมรู้สึกดีมากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไทย และรู้สึกขอบคุณโพสต์ของเพจรีวิวภาพยนตร์เพจนั้นด้วยที่ทำให้ผมได้มาดูภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง

    ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วล่ะครับนอกจากมีความสุขและรู้สึกโชคดีที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ 

    ไว้ถ้ามีโอกาสเราจะไปหานะ อิสตันบูล :)




    แถมเพลงประกอบภาพยนตร์ไว้ครับ 


    ขอบคุณภาพจาก https://www.kedifilm.com/และ http://documentaryclubthailand.com/2017/05/24/kedi มา ณ ที่นี้ด้วยครับ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Mr.PT (@Mr.PT)
@sc.siwika :D