การเริ่มด้วย “ผิด” อาจปิดโอกาสถกเถียง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งคำถามได้ เราก็สามารถตั้งคำถามย้อนกลับไปยังคำถามที่ตั้งมาได้เช่นกัน แต่การที่เริ่มต้นการวิพากษ์ด้วยการแปะป้ายว่า “ผิด” หรือปักป้ายว่างานนี้ “มีอคติ” ย่อมทำให้การตั้งคำถามไม่ได้เกิดอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันได้ เนื่องจากมีการปักป้ายขีดเส้นกันแล้วว่าข้อมูลในมือใครผิดหรือถูก หรือข้อมูลใครมีอคติหรือไม่ การตั้งคำถามแบบนี้ไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่นักในการเล่นแร่แปรธาตุกับสิ่งที่ไม่มีความชัดเจนแต่ลื่นไหลในตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาว่าอะไรถูกต้องหรือผิดในความคิด การเริ่มต้นด้วยคำถามเหล่านี้นำมาสู่การถกเถียงเพื่อจะแสดงอำนาจของการกำหนดความถูกต้องแท้จริงของความรู้ชุดใดชุดหนึ่งผ่านการกำหนดแล้วว่าข้อสรุปนี้ถูกต้อง โดยหลายครั้ง (และมักเป็นส่วนใหญ่ของวงวิชาการอนุรักษ์นิยมไทย) ที่เชื่อว่ามีความรู้ที่ถูกต้องอยู่แล้วในตัว นัยหนึ่งต้องอย่าลืมว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ผูกความรู้ไว้อย่างแนบชิดกับอำนาจของโครงสร้างส่วนบนที่ทำหน้าที่เป็นชนชั้นนำ
การท้าทายความรู้ที่ไม่เป็นไปตามการพรรณนาของชนชั้นนำจึงยอมรับไม่ได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เห็นข้อพิจารณาตรงนี้แต่พวกเขายึดเอาแนวคิดนี้เป็นที่ตั้งต่างหากเพื่อทำลายน้ำหนักของงานวิชาการนอกขนบทั้งหลายที่พยายามบ่งชี้สภาวะของการกดทับ/กดขี่ที่พวกเขา(อาจ) เลือกมองไม่เห็นหรือไม่เห็นเลย เพราะการอยู่กับความรู้ที่มีอำนาจจึงทำให้เกิดทั้งความปลอดภัย และหน้าที่ในการปกปักรักษาความรู้ที่ถูกต้องนั้นๆ ให้ดำรงไป
ในขณะเดียวกัน เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าความรู้ที่ถูกนั้นถูกต้องจริงๆ ถ้าพวกเขาเชื่อว่าถูกต้องจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องถกเถียงอะไรกัน แต่ในเมื่อพวกเขาพาตัวเองเข้าสู่สนามของการถกเถียงแล้ว แต่กลับมาด้วยจุดยืนที่ควานหาความถูกต้องแบบนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังลดทอนคุณค่าในความรู้ของพวกเขาเอง แต่อย่างไรก็ดี ความน่ากลัวกว่ากลับไปอยู่ที่อำนาจของความรู้ที่กระทำกับการกระทำ สำนึก และกระบวนการคิดของคนที่อยู่ภายใต้ความรู้เหล่านั้นเช่นกัน
เรารับรู้กันดีว่าความรู้คืออำนาจ แต่การตั้งคำถามกับอำนาจที่กำหนดว่าอะไรถูกผิดและวิพากษ์การใช้อำนาจพวกนั้นจำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะเมื่อวิธีการชี้ถูกชี้ผิดปรากฏตัวออกมาให้เห็น และการระแวดระวังอำนาจเหนือที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้การแสดงออกโดยไม่รู้ตัวเพื่อปกป้องอำนาจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in