ผีในห้อง
ฉันตื่นขึ้นมาในกลางดึกจากฝันร้าย และจู่ ๆ ก็พบว่าในห้องนอนซึ่งควรจะมีฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น...ณ เวลานี้กลับมีใครอีกคนกำลังยืนอยู่ ณ มุมห้อง
ใช่แล้วค่ะ, มีคนอยู่ในห้องของฉัน
เมื่อเริ่มมีสติหลุดจากอาการงัวเงีย สิ่งแรกที่นึกได้หลังจากเจอะกับภาพนั้นคือโจร, โจรแน่ ๆ ผีสางอะไรนั่นมันจะไปมีจริงที่ไหนกัน ใช่มั้ยล่ะ ฉันเองก็เคยฟังเรื่องผีมามากเวลาที่มีใครจุดประเด็นขึ้นมาในวงเหล้า เมื่อใครเล่าว่ามีคนเจอผีแต่ขยับตัวหรือร้องขอความช่วยเหลือออกมาไม่ได้ ฉันก็มักจะหยอกล้อผู้เล่าซึ่งดูจะเชื่อกับเรื่องที่ตนบรรยายออกมาเสียเหลือเกินว่ามันไม่จริงหรอก --- เกิดจู่ ๆ เราตื่นขึ้นมาในห้องแล้วพบว่ามีผู้หญิงชุดขาวผมยาวปรกหน้ากำลังยืนจ้องผ่านเส้นผมมาจากปลายเตียงก็คงแปลกเกินกว่าจะกลัวได้ แถมยังท้าทายออกไปด้วยซ้ำว่าหากเป็นฉันละก็จะถีบเสียให้กลิ้ง
ทว่าพอมาเจอเข้ากับตัวนี่ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนะ
คนที่อยู่ตรงมุมห้องนั้นยืนนิ่งเงียบระหว่างตู้เสื้อผ้าไม้สีขาวหลังใหญ่ติดผนังกับประตูเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวามือ ด้วยว่าเธอหลบอยู่ในเงาทำให้แสงจากหน้าต่างส่งไม่โดนตัวเธอ เห็นเพียงเงาลาง ๆ ของคนใส่ชุดสีขาวเท่านั้น ทว่านั่นก็ทำเอาฉันสะพรึงกลัว จนเรี่ยวแรงที่ควรจะมีและสมควรจะมีให้มากที่สุด ณ ขณะนี้อยู่ ๆ ก็อันตรธานหายไปเสียสิ้น หัวใจเต้นตึกตัก ร่างกายวูบวาบรู้สึกขนลุกซู่ ท้องน้อยรู้สึกเสียววาบ ปัสสาวะเล็ดหน่อย ๆ --- พูดโดยไม่อายเลยค่ะ น่ากลัวเหี้ย ๆ
ฉันร้องขึ้น “...แกเป็นใคร? ” ทว่าแม้จะพยายามข่มเสียงให้เข้มและไม่สั่นพร่า แต่ก็สุดท้ายเสียงที่เปล่งออกมาได้ก็แหลมเล็กและแหบเหมือนเสียงแมวป่วย
เงาร่างนั่นนิ่งอยู่นานสองนาน...นานจนครู่หนึ่งฉันเผลอคิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าอาจจะเป็นแค่เงาจากแสงภายนอกที่, ก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน, แต่ด้วยฟิสิกส์ก็คงทำให้เกิดเงารูปร่างเหมือนคนขึ้นมาก็เป็นได้ --- แต่พอคิดแบบนั้น จู่ ๆ ไอ้เงาส่วนที่น่าจะเป็นหัวก็คอพับหักไปทางซ้ายทีหนึ่ง ฉันนี่กรี๊ดขากระตุกขึ้นมากวัดถอยติดหัวเตียงโดยอัตโนมัติ แล้วไอ้คนคนนั้นก็ยกแขนขาวซีดขึ้นมากลางอากาศ กวัดแกว่งอย่างเกร็ง ๆ ไปมาและนิ้วงองุ้ม
“แกเป็นใคร!”
ประหนึ่งว่าเสียงกรีดร้องทำให้ฉันหลุดจากพันธนาการของความกลัว ลำคอไม่ตีบตันอีกต่อไปและสามารถตะโกนได้ดังใจนึก พร้อมกันก็เอื้อมมือไปข้างหลังคว้าเอาหมอนหนุนปาไปข้างหน้า
“ฉ - ฉ - ฉ -ฉัน...”
เสียงแหบพร่าและเย็นเยียบดังมาจากร่างที่กำลังเดินใกล้เข้ามา พอสิ่งนั้นออกมาจากเงาของตู้ฉันจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กในชุดกระโปรงสีขาวเหมือนชุดนอนสภาพขาดรุ่งริ่งและเก่าเกรอะ แขนทั้งสองข้างเหยียดตรงมาข้างหน้า ทั้งแขนมีแผลบวมและแผลช้ำฟอนเฟะ ขาและเท้าเองก็ไม่ต่างกัน มันเดินเท้าลากก้มหน้า ทั้งนิ้วมือนิ้วเท้ามีเล็บยาวและมีรอยขีดข่วนถลอก บางนิ้วเล็บหลุดเหลือเพียงเนื้อเยื่อสีทึบ ๆ มีคราบเลือดเกรอะกรัง แค่ภาพตรงหน้าก็ทำเอาฉันตาพร่าด้วยน้ำตา กลัวจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่จ้องนางคนนั้นเดินเข้ามาช้า ๆ เป็นซอมบี้ --- แต่เมื่อถึงกลางห้องก็หยุดเดินก่อนจะลดแขนลง ทว่ายังก้มหน้าอยู่
ผีตนนั้นพูดตะกุกตะกัก ศีรษะก็ส่ายโคลงไปมา “ฉ - ฉ - ฉ -ฉัน...ฉัน...”
ฉันไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจนจบ รีบยกมือปิดหูหลับตาปี๋ “กรี๊ดดดดดด!! ไม่เอาไม่ฟัง!” รู้สึกเสียดายเหลือเกินที่ตัวเองยังคิดดื้อดึงไม่ไปงานศพทั้งที่พ่อแม่ก็ชวนแล้ว อย่างน้อยถึงเจอผีแต่ที่วัดก็ยังมีพระอยู่ หรือถ้าเกิดะไรขึ้นมาก็ยังมีพ่อแม่คอยช่วยไว้
จู่ ๆ ในห้องก็เกิดเงียบลงไป ฉันยังคงเงี่ยหูฟังขณะหลับตา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจทีหนึ่ง
“อะไรแกวะ ถามว่าฉันเป็นใครแต่พอจะตอบดันปิดหู”
เสียงหญิงสาวเยือกเย็นเหมือนคนตายมีแววเจืออารมณ์ไม่จอยเล็กน้อย --- ตอนนี้ความกลัวที่เกาะกุมในใจถูกแทนที่ด้วยความสับสน ฉันลดมือลงแล้วลืมตาดูภาพตรงหน้าอีกครั้ง ภาพของผีหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงมีความเน่าเฟะและชวนสะอิดสะเอียนอยู่ ทว่ากลับอยู่ในท่าเท้าสะเอว ดวงตาที่พอเห็นได้จากผมหน้ามายาวปรกใบหน้านั้นเป็นสีขาวไร้ชีวิต พอมองอีกฝ่ายในตอนนี้ฉันกลับรู้สึกเหมือนเห็นคนแต่งหน้าแต่งตัวเป็นผีไปงานเลี้ยงวันฮาโลวีนเท่านั้นเอง
“เอ๊ะ? ” ฉันร้อง ตอนนั้นใจก็กลับมาคิดว่าเธอคงเป็นคนจริง ๆ “แล้วแกเป็นใครเนี่ย? ”
อีกฝ่ายตอบ “ก็เป็นผีที่อยู่ในห้องนี้ไง” เนื้อเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิดเหมือนเพื่อนสาว
ฉันเบ้หน้า “เพ้อเจ้อ!” แล้วรีบผลุนลงจากเตียงตรงไปหาเธอแทน กวาดมือขวาไปข้างหน้าหวังจะคว้าแขนหญิงร่างเตี้ยคนนั้น --- แต่แทนที่จะคว้าได้เนื้อได้หนัง ดันกลายเป็นว่ามือของฉันกำลังอยู่กลางหน้าอกเธอ ส่วนนิ้วก็เลยทะลุข้างหลังของเธอไปด้วย
เอาจริง ๆ คือถ้านี่ไม่ใช่บ้านผีสิงละก็ฉันคงเชื่อว่านี่คือภาพโฮโลแกรมแน่ ๆ แต่พอสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่อยู่บนแขนส่วนที่แหวกผ่านร่างของเธอไปก็ต้องรีบชักมือออกอย่างหวาด ๆ
“อ - เอาจริงดิ? ”
“เต็มสองลูกกะตาแล้วยังไม่เชื่ออีกเหรอยะ? ” อีนางผีพูดจาประหนึ่งตนมีชีวิตอยู่ “และเอาจริง ๆ วันนี้ฉันจะไปเกิดแล้วด้วยซ้ำแต่เธอดันตื่นมาเห็นซะก่อน”
ฉันหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนเตียง “ก็ถ้าจะไปเกิดก็ไปดี ๆ ดิ!”
“แต่มันต้องเปลี่ยนชุดนะ!” นางผีแย้ง “ใครมันจะใจกล้าถอดผ้าแล้วเดินล่อนจ้อนไปทั่วห้องทั้งที่เปิดม่านหน้าต่างแบบแกกัน? ”
คราวนี้จะผีไม่ผีก็ไม่สนแล้วโว้ย! บนเตียงมีหมอนหนุนอีกใบก็ปาเข้าไป แม้จะรู้ว่าสุดท้ายมันก็ไม่กระเทือนร่างของอีนางผีอยู่ดี ฉันตวาด “น - นี่แกแอบดูฉันมาตลอดเลยเหรอ? !”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจดูซะหน่อย” อีกฝ่ายว่า “วันไหนเธอกลับมาสภาพเมา ๆ ก็นอนแหมะบนพื้นเลยก็มี และก็ฉันนี่แหละที่ต้องลากเธอไปนอนบนเตียง”
ฉันทำสีหน้าคลางแคลง “ทำได้ด้วยเหรอ? ”
“ทำได้ก็แล้วกัน!”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ยืดอกเท้าเอวเหมือนภูมิใจเสียเต็มประดา ฉันได้แต่กลอกตา แต่พอพิจารณาดูดี ๆ ก็เหมือนจะเห็นว่าผีหญิงร่างเล็กนี้น่าจะอายุไม่มากเท่าไหร่, หมายถึงว่าไม่ได้แก่ แต่ก็ไม่ได้สาวนัก ดูเป็นวัยรุ่น ๆ , แต่ก็คงต้องอยู่บ้านนี้มานานจริง ๆ นั่นแหละถึงได้ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของขนาดนี้
เอาจริง ๆ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสิบปี, ครอบครัวซื้อบ้านหลังนี้เมื่อฉันอายุสิบห้า จนกระทั่งฉันเข้ามหาวิทยาลัยก็อยู่ที่บ้านตลอดเพราะนอกจากจะใกล้มหาวิทยาลัยแล้วก็ยังรู้สึกสบายกับการที่พ่อแม่ดูแลอยู่ แม้ตอนปีหนึ่งถึงปีสองจะย้ายไปอยู่หอแต่สุดท้ายพอเงินหมด หรือมีปัญหากับรูมเมตก็ต้องระเห็จกลับมาพึ่งพิงใบบุญของชายคานี้อยู่ดี --- แต่ตลอดมาที่อยู่ที่นี่ฉันก็ไม่เคยได้ยินว่าบ้านนี้มีประวัติไม่ดีอะไรนี่นา
“นี่ แล้วแก - เธออยู่ที่นั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? ” ฉันหันไปถามผีตนนั้น
“นานมาแล้ว”
“ก่อนหน้าฉันอีกเหรอ? ”
ฉันเห็นศีรษะนั้นพยักหน้าขึ้นลงทีหนึ่ง “แล้วเธอตายได้ยังไง? ”
“พ่อฆ่าฉันตาย”
และด้วยคำตอบที่เด็ดขาดและดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้มีความอาฆาตแค้นนั้นกลับทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างฉันขนลุกซู่ได้ ฉันหายใจเข้าออกลึก ๆ ทีหนึ่ง
“แล้วพ่อฆ่าเราทำไมล่ะ? ”
“พ่อไม่ใช่คนดีหรอก พอเมาก็ชอบทำร้ายแม่กับเรา และวันหนึ่งเขาก็ร้ายเราหนักมาก...”
ขณะเล่าน้ำเสียงของผีก็เหมือนจะอ่อนลง ฉันไม่ควรเรียกให้เธอย้อนไปดูความทรงจำเลวร้ายนั้นเลยจริง ๆ แต่อย่างไรเสียฉันก็ยังอยากรู้อยู่หลายอย่าง
“แล้ว...ตอนนี้ครอบครัวของเราไปไหนแล้วล่ะ? ”
“เราเอาพ่อมาอยู่ด้วยแล้ว”
แม่งเอ๊ย น้ำตาจะไหล นึกว่าจะเป็นเด็กดี!
“ล - แล้วนี่...พ่ออยู่ไหน? ”
“ปกติอยู่บนฝ้าห้องน้ำแกไง เราก็พยายามไม่ให้พ่อมองลอดฝ้าตอนแกอาบน้ำนะแต่ปกติพ่อก็ไม่ทำร้ายใครหรอก”
ขอบคุณ, ช่วยเบาใจได้มากเลย
แค่คิดถึงเรื่องนั้นฉันก็เหมือนจะหมดแรง มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด นี่สรุปว่าครอบครัวนี้เฝ้าดูพวกเรามาตั้งแต่แรกแล้วงั้นสิ? --- ฉันนึกไปถึงเรื่องของแม่ที่ครั้งหนึ่งเคยเล่าให้พวกเราฟังว่าเคยได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดตอนดึก เมื่อลุกขึ้นไปดูก็พบว่ามีเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งกำลังเปิดตู้เย็นจึงเข้าใจว่าเป็นพี่ชายก็เดินกลับขึ้นไปนอน แต่พอเช้าเมื่อถามพี่ชายเขาก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมาข้างล่างเลย แถมก็ยังยืนยันว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงคนเดินเหมือนกันจนแม่ออกไปดู
พอพูดถึงพี่ชายแล้วฉันก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาจึงเงยหน้าถามเธอ “แล้วนี่ไม่ไปหลอกพี่ชายบ้างล่ะ? ”
“มีไปดูเขาเล่นเกมในห้องบ้าง แต่นาน ๆ ที เขามองไม่เห็นเรา”
ฉันคิดในใจ ปกติฉันก็มองไม่เห็นผีอยู่แล้วแต่ทำไมวันนี้ถึงได้เจอเธอกันนะ...และราวกับจะรู้ความคิด ผีตนนั้นก็ตอบคำถามของฉัน
“วันนี้ดวงเธออาจจะเหมาะเจาะก็ได้มั้ง”
ฉันกลอกตา อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักชอบใจ แต่ในฐานะคนเป็นฉันกลับไม่ขำสักเท่าไหร่ ไหนจะวิธีแกล้งเดินแขนงอคอหักในทีแรกนั่นอีก ยายผีนี่มันแสบจริง ๆ !
ฉันเหลือบไปมองนาฬิกา ตอนนี้เวลาตีสามสิบหกนาที ดวงจันทร์ที่แต่เดิมควรจะอยู่ทางทิศตะวันออกก็คล้อยหายไปอยู่อีกทิศ ข้างนอกยังมืดอยู่ มีเพียงแสงไฟจากถนนหน้าบ้านเท่านั้นที่ทำให้ห้องนี้ยังไม่มืดจนเกินไป ฉันจ้องมองคนที่ยังยืนอยุ่ที่เดิม ครั้นเห็นขาข้างหนึ่งของเธอกระตุกก็ใจแป้วขึ้นมาแว้บหนึ่ง ต้องรีบปรามยายผีจอมแกล้ง “อย่าอย่าอย่า ขอร้องล่ะอยู่ตรงนั้นก็พอ, นะ...” เธอก็ดูจะเชื่อฟังแต่โดยดี
ฉันครุ่นคิดอยู่นานจนกระทังตัดสินใจถามในที่สุด “นี่, แล้วแกรู้เรื่องที่ฉันกับพี่นัต...”
“ยังคบกับเขาอยู่เหรอ? ” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ไม่เอาแล้วล่ะ คนหลายใจแบบนั้น...” ฉันว่า คว้าหมอนข้างขึ้นมากอด นึกไปถึงแฟนเก่าที่เคยคบหาตอนอยู่ปีหนึ่งใหม่ ๆ และเป็นผู้ชายที่เธออุตส่าห์จัดแจงวันที่ไม่มีใครอยู่บ้านพาเขาเข้ามาถึงในห้อง --- ครั้นพอนึกไปถึงว่าขณะที่เธอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งตั้งแต่กอด หนุนตัก หอมแก้ม จูบ หรือแม้แต่ล่วงล้ำไปไกลขนาดนั้น ก็ยังมีสายตาอีกคู่ หรืออีกสองคู่ที่เฝ้าดูเราในฐานะพยานรู้เห็นอยู่ด้วย
โอ๊ย แค่คิดก็จะเป็นบ้า ไม่มีเหตุผลที่ให้อภัยยายผีนี่ได้เลยให้ตาย!
ฉันเหลือบมองผีประจำห้องของฉัน ท่าทางเธอเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา ฉันจึงสั่ง “นี่ ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเลยนะ จะไปเกิดใหม่แล้วนี่ยะ”
“เฮอะ!” ยายผีพ่นลมก่อนจะยืนกอดอกคล้ายละเหี่ยกับความไม่ยอมเดินหน้าต่อ “อย่าให้ฉันเห็นเธอกลับไปคบกับเขาอีกก็พอ”
“แกคงไม่ได้เห็นหรอก เชอะ!”
แล้วก็เล่นเป็นแม่คนแสนงอนประชดประชันกลับ แต่เอาจริง ๆ ที่เธอพูดมาก็ตรงจนเจ็บใจ --- ฉันกับนัตอยู่ในสถานะรัก ๆ เลิก ๆ มาก็หลายต่อหลายครั้ง เห็นจะมีตอนนี้นี่แหละที่ฉันขาดการติดต่อกับเขานานที่สุดเพราะจับได้คาหนังคาเขาว่าเขาคบกับผู้หญิงคนอื่น และยังพาเธอไปสมาคมกับเพื่อนในกลุ่มตัวเองทั้งที่ไม่ทำแบบนั้นกับฉันแท้ ๆ ...เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้ฉันตัดใจกับเขาไม่ได้ บางทีแล้วอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นรักแรกก็ได้กระมัง
ผีในห้องยังคงยืนมองฉันต่อไปก่อนจะพูดว่า “ถ้าเกิดเขามาขอคืนดี ฉันแนะนำให้แกไปเจอเขาที่ลานน้ำพุหน้ามหา’ ลัยนะ”
“ทำไม? ” คำแนะนำของคนตายเรียกความสนใจจากฉันได้
“ไม่รู้ซี แต่อาจจะช่วยให้เธอตัดใจเร็วขึ้น” ผีตนนั้นว่า
ฉันเข้าใจว่าเธอคงรู้อนาคตแน่ ๆ ก็นึกอะไรดี ๆ ออก
“นี่ ๆ ก่อนจะไปเกิดใหม่ช่วยใบ้หวยงวดหน้าให้หน่อยซี!”
ยายผีเอ็ดใส่ทันที “โอ๊ย ยายบ้า! เกิดมาชาตินี้จนตายฉันยังไม่เคยถูกหวยสักงวดจะให้เลขแกได้ไงยะ!”
“แม่ฉันทำบุญให้ทุกวันยังไม่สำนึกบุญคุณ” ฉันบ่นอุบอิบ “คงจะมีบุญพอละซี่คืนนี้ถึงได้ไปเกิดข้ามหน้าข้ามตาฉัน”
“พูดเหมือนตัวเองเป็นผีเฉยเลยนะ” อีกฝ่ายว่า “เอาเถอะ ฉันบอกได้แค่ว่าให้แม่เธอซื้อเลขไหนก็ได้ที่ถูกใจ เดี๋ยวก็ถูกเอง”
“แล้วถ้าไม่ถูกล่ะ? ”
“ก็ถือว่าโดนผีหลอก”
ตลกร้ายเหลือเกิน
พวกเราเงียบไปอีกครั้ง เอาจริง ๆ ในใจฉันมีอะไรอยากจะถามเต็มไปหมดทว่าเรื่องในวันนี้มันอัศจรรย์เกินกว่าจะตั้งตัวถูกในสิบห้านาที ฉันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ตั้งแต่เรื่องที่เธอน่าจะเคยช่วยฉันที่เมาค้าง หรือไปจนถึงเรื่องความรัก
จนกระทั่งยายผีถามฉัน “นี่ จะไม่ไปงานศพจริงเหรอ? ”
“ยุ่งอะไรด้วย? ”
อีกฝ่ายบอกเพียงสั้น ๆ “เปล่า แค่คิดว่าอยากให้ไป”
“ไม่ต้องมาสั่งฉันหรอกน่า! ฉันเป็นพี่แกนะ ถึงแกจะตายก่อนแนมานานแล้วก็เหอะ” ว่าแล้วฉันก็คิดว่าจะนอนหลับอีกรอบเพราะง่วงเหลือเกินแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปเก็บหมอนที่ปาพ้นไปเมื่อทีแรกกลับมา ระหว่างนั้นผีหญิงวัยรุ่นก็มองคล้อยตามมาเรื่อย ๆ
“ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่ไม่มีน้อง” เธอว่า “พอเราตายก็ไม่มีใครทำบุญให้เราเลย แม่ของเราถึงยังไม่ตายแต่ตอนนี้ก็ลืมเรื่องของเราไปหมดแล้ว”
ฉันก้มเก็บหมอนที่อยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะเงียบไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบใจอย่างไรดี หากเธอยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะง่ายกว่านี้
“...เสียใจด้วยนะ”
“เราอยากให้เธอไปงานศพพี่ชาย” เธอว่า “อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยนะ”
ฉันเงียบไป “...จะบอวก่าพี่ชายฉันจะกลับมาเป็นผีวนเวียนอยู่ที่นี่งั้นสิ”
“ก็ถ้าเธอไม่ทำเขาก็คงจะกลับมา” เธอว่า “พรุ่งนี้ก็วันที่สามแล้ว เธอเชื่อเรื่องที่วิญญาณคนตายจะมาเก็บรอยเท้ารึเปล่าล่ะ? ”
ฉันไม่ฟังเธอ เดินกระดดดขึ้นเตียงไป รีบคว้าหมอนมาหนุนหัวหันไปทางใดก็ได้ที่มองไม่เห็นอีกฝ่าย
“นี่ ฟังฉันหน่อยซี...”
“ยายผีปากมาก! รีบ ๆ ไปเกิดได้แล้ว ขอให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีย่ะ!”
ฉันอวยพรไปผ่าน ๆ และทันใดศีรษะของผีตนนั้นก็ผุดห้อยลงมาจากเพดานโผล่ตรงที่ที่ไม่ควรอยู่ ฉันหันไปทางมุมห้องที่ควรจะเป็นจุดอับแล้วแท้ ๆ และนั่นทำเอาฉันตกใจ กรี๊ดลั่นแล้วกระเถิบถดหนีจนตกเตียงล้มตึง เมื่อมองกลับขึ้นไปก็พบว่ายายตัวดีครองเตียงนอนแสนสงบสุขของฉันไปแล้ว
“โอ๊ย ยายบ้านี่ เดี๋ยวก็แช่งให้ตกนรกหมกไหม้เสียหรอก!” อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ว่าอะไรต่อ ฉันจึงกลับมาอยู่โหมดจริงจังอีกครั้ง
“นี่ ถ้าคิดว่าฉันเกลียดพี่ชายล่ะก็ฉันบอกให้ก็ได้ ฉันแค่ไม่ชอบที่สุดท้ายพ่อแม่ก็สนใจเขาทั้งที่กลายเป็นพวกเก็บตัวอยู่ในห้องน่ะ”
ฉันกับพี่ชายไม่ได้สนิทสนมกันนัก --- พี่ชายอายุมากกว่าฉันสองปี และด้วยความเป็นลูกชายคนโตพ่อจึงเข้มงวดกับเขาเป็นพิเศษ พ่อแม่จะให้ทุกอย่างแก่พี่ชายมากกว่าให้ฉันเสมอ ไม่ว่าจะส่งเขาไปโรงเรียนดี ๆ ให้เขาได้เรียนเสริมเพื่อพัฒนาความรู้ พยายามหนุนหลังเขาให้เข้าคณะวิศวกรรมที่พ่อต้องการ และปล่อยให้ฉันเรียน ๆ ล้ม ๆ ไปตามใจตัวเอง ได้เท่าที่ได้แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหันมามองฉันหรือแม้แต่จะชื่นชมฉันสักคน ขนาดที่ว่าพอพี่ชายไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนจนต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วขังตัวเองอยู่ในห้อง แทนที่ทุกคนจะหันมาสนใจฉันก็กลับพูดคุยถึงเรื่องพี่ชายทุกวันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี และฉันรู้ดี...รู้ดีมาตลอดว่าถึงปากพ่อจะบอกว่า ‘ไอ้ลูกชายคนนี้ตาย ๆ เสียก็ดี’ แต่พ่อก็ยังห่วงใยเขาอยู่ลึก ๆ
จนกระทั่งวันที่พี่ชายฆ่าตัวตายในห้องของตัวเอง --- เมื่อสองวันก่อน
ยายผีสาวตนนี้คงรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะเธอก็สิตอยู่แต่ในบ้านหลังนี้ไม่เคยไปโผล่นอกอาณาบริเวณไหนแน่ ๆ แต่อย่างไรฉันก็ไม่ยอมให้ผีมาติเตือนฉันหรอกนะ
“และฉันก็ไม่อยากเจอหน้าเขาด้วย”
เอาจริง ๆ สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีตรงหน้าฉันคือสายตาของพี่ชายที่โผล่พ้นขอบประตูห้องมามองฉันตอนที่เอาอาหารไปให้ --- ฉันทั้งเกลียดทั้งกลัวสายตาที่เต็มไปด้วยคำก่นด่าสาปแช่งนั่นเสียยิ่งกว่าอะไร แต่เพราะถึงแม้จะหนีไปอยู่หอพักกับเพื่อนหลายต่อหลายครั้ง พอถึงคราวลำบากก็ต้องกลับมาอยู่ร่วมชายคนกับคนคนนี้อีก
นี่ถ้าเขากลับมาเป็นผีตามหลอกคนในบ้านจริง ๆ ฉันก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะเป็นผีดีหรือผีร้าย
อีกฝ่ายมองฉันผ่านเส้นผมที่ปรกหน้า สักพักใหญ่ ๆ ก็พูดออกมาว่า
“ตอนนี้เขาตายแล้ว ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก”
“ย้อนแย้งจังเลยนะ” ฉันว่า
“ก็ถ้าเธอไม่ไปบอกเขาว่าเธอรู้สึกยังไงน่ะนะ”
ฟังเหมือนเป็นคำขู่ว่า ‘ถ้าไม่ไปขออโหสิกรรมจะกลับมาหลอก’ จากปากของผีอาฆาต --- โลกนี้แม่งเป็นเหี้ยอะไรกันไปหมดวะ! ฉันได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกตัดสินใจไม่ได้ทันทีทั้งที่มันก็ออกจะง่ายแสนง่ายขนาดนี้แท้ ๆ
ลุกขึ้นมาก่อนจะไล่ผีกลับไป “ออกไปได้แล้ว จะนอน” แล้วก็ทิ้งตัวนอนโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่หรือไม่ ตอนที่โน้มตัวผ่านร่างเธอไปก็รู้สึกเย็น ๆ อยู่หรอก แต่พอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิรอบ ๆ เริ่มกลับมาเป็นปกติ แสดงว่าเธอคงจะไปแล้ว
ฉันหันไปทางประตูห้อง เห็นว่าผีตนนั้นยังคงยืนอยู่ก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนเช้าค่อยคิดอีกที ไปเกิดได้แล้วไป!”
อีกฝ่ายเงียบนิ่ง ทำตัวเหมือนเป็นวอลเพเพอร์ติดผนังห้อง จนกระทั่งฉันพบว่าร่างของเธอกำลังเลือนหายไปราวกับคราบที่ถูกน้ำชะออก ครั้นรู้ว่าทุกอย่างรอบตัวนิ่งสนิท ฉันจึงหลับไป พยายามไม่ใส่ใจความคิดที่ว่าพี่ชายจะกลับมาหลอกพวกเราทุกคน
เอาจริง ๆ ฉันเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ว่ายังมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งต่อผีหญิงตนนั้น
เธอจะเหงาหรือเปล่านะที่แม้จะอยู่ในห้องมาตลอด แต่ฉันก็ไม่เคยสนใจเธอเลยจนกระทั่งตอนที่เธอกำลังจะจากไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in