จดหมายลูกโซ่
หมู่นี้ที่โรงเรียนของฉันกำลังพูดถึงเรื่องเรื่องอีเมลลูกโซ่ประหลาด
ฉันก็ว่ามันฟังดูไร้สาระมากไปหน่อยสำหรับเด็กวัยสิบหกสิบเจ็ด --- ก็ไอ้จำพวกฟอร์เวิร์ดเมล์ที่มีเนื้อความจำพวก ‘ยินดีด้วย! คุณคือผู้โชคดีได้รับเงินรางวัล 10 ล้านบาท...’ หรือนิยายสยองขวัญที่ทิ้งท้ายว่า ‘...โปรดส่งต่อให้คน 20 คน มิเช่นนั้นจะมีอันเป็นไป’ ดูยังไงก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ แต่ถ้าให้ฉันสันนิษฐาน, ที่โรงเรียนเพิ่งเริ่มหลักสูตรวิชาคอมพิวเตอร์ในปีนี้ และก็เป็นปีของเรานี่เองที่ได้ใช้หลักสูตรใหม่ ดังนั้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาครูประจำวิชาก็ให้นักเรียนทุกคนสมัครอีเมลไว้ส่งงานก่อนแล้ว (แต่เอาจริง ๆ พวกเราก็ไม่ได้ใช้หรอก คอมพิวเตอร์ในสมัยของฉันไม่ได้เข้าถึงง่ายขนาดนั้น ยิ่งอินเทอร์เน็ตก็ยิ่งแล้วใหญ่ อีกทั้งวิชาเรียนส่วนใหญ่ก็ยังให้เขียนรายงานด้วยมืออยู่) ฉันว่าก็น่าจะเป็นตอนนั้นแหละที่ข่าวลือเริ่มเลื่องลือกัน
แต่แทนที่มันจะเริ่มหายไปอย่างเงียบ ๆ กลับกลายเป็นว่าทุกคนเริ่มสนใจอีเมลลูกโซ่ประหลาดมากขึ้นเมื่อรู้ว่ามันมีคำสาป --- และคนแรกที่โดนคำสาปคือพอร์ช
พอร์ชเป็นนักเรียนห้องทับ 10 และเป็นนักเรียนที่คนส่วนใหญ่ในระดับชั้นรู้ว่าเดินเข้าออกห้องปกครองเป้นว่าเล่นเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่เอาดีด้านการเรียน และฉันก็รู้เพียงแค่นี้เท่านั้นแหละ
“แล้วพอร์เขาทำไม? ” ฉันถามด้วยท่าทีสนใจที่เกินจริงขึ้นเล็กน้อย เอาจริง ๆ เรื่องแบบนี้ฉันก็ไม่ได้ชื่นชอบเท่าไหร่หรอก แต่อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้อันอัน, เพื่อนสนิทที่นั่งตรงข้ามผิดหวังและหาว่าฉันไม่ฟังเธอเท่านั้น
อันอันพยักหน้า “คืองี้, เมื่อตอนปิดเทอมแกได้ยินข่าวที่บ้านพอร์ชเขาจัดปาร์ตี้มั้ย? ”
“อะไรนะ? ”
ผู้รอบรู้ทุกข่าวเล่าข่าวลือในโรงเรียนทำหน้าเหวอใส่ “ข่าวดังขนาดนี้ แกยังไม่รู้อีกเหรอ? ”
“ก็แล้วมันจะทำไมเล่า ปิดเทอมนี้ฉันก็อยู่ค่ายติวสอบอย่างเดียว จะไปรู้ว่าใครจัดงานเลี้ยงกันได้ที่ไหนล่ะยะ” ฉันบ่นก่อนจะลองถามเธอแกมหยอก “นี่ หรือว่าแกไป? บอกฉันมานะ” พร้อมกันก็เอื้อมมือทำท่าจะไปหยิกแขน อันอันรีบปัดมือฉันพร้อมโวยวายเป็นยกใหญ่
อันอันเล่าให้ฟังว่าเมื่อปิดเทอมที่ผ่านมา พอร์ชได้ชวนเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทมางานเลี้ยงที่บ้านของตัวเองในวันหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันแล้วก็มีทั้งจากต่างโรงเรียนรวมไปถึงนักศึกษาจากสถาบันอื่น ๆ และแน่นอนว่าด้วยพื้นฐานครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ งานเลี้ยงดังกล่าวก็ย่อมจัดเต็มทั้งด้วยสถานที่หรือก็คือถิ่นของเขา และครบครันทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งยังเปิดให้ชายหญิงในงานมีความสัมพันธ์ได้โดยอิสระ อันอันเสริมว่าได้ยินเขาลือกันว่าอาจมีไปถึงยาเสพติดและการมอมยาผู้หญิง ฉันได้ฟังก็ถึงกับส่ายหน้า
“แกพูดยังกับแกอยู่ในงานเองเลยนะ” ฉันว่ อันอันแก้ตัวเสียงเรียบ ๆ
“ไม่หรอกแก แต่ก็นะ, งานยังไม่ทันจบตำรวจบุกทลายเสียก่อน พอร์ชกับรุ่นพี่ที่น่าจะเป็นต้นคิดสั่งซื้อเบียร์และเหล้ามาก็โดนจับไป ใครที่หนีได้ก็เอามาเล่าให้ฉันฟังนี่ไงล่ะ --- แต่ก็นะ เห็นว่ามีคนตายในงานด้วย เป็นผู้หญิง น่าจะโดนยาเสียสาวขนานแรงเข้าไป”
ฉันทิ้งช้อนส้อมในมืออย่างขยาด ข้าวมันไก่ที่กินซึ่งแต่เดิมก็รสชาติเหมือนกระดาษกับเม็ดกรวดอยู่แล้วยิ่งรสชาติชวนพะอืดพะอมเข้าไปกันใหญ่ ต้องสั่งให้เพื่อนหยุดเล่าเรื่องชั่วคราวเพื่อพักดื่มน้ำแดงที่ก็ไม่ได้มีรสหวานอะไรเลย
อันอันเงียบไปชั่วครู่แต่เอาจริง ๆ เธอก็ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของผู้ฟังนัก เพราะสุดท้ายเธอก็เล่าต่ออยู่ดี
“พอร์ชเขาโดนคุมความประพฤติเดือนหนึ่ง และก็จริง ๆ สัปดาห์ก่อนหน้าเขาต้องกลับมาเรียนได้แล้ว แต่พอหลังจากคาบคอมพิวเตอร์มื่อวันจันทร์ที่แล้วพอร์ชก็หายไป และก็มีคนมาบอกว่าเขาโดนคำสาปจากอีเมลลูกโซ่แหละ”
“อีเมลลูกโซ่อีกแล้วเหรอ? ”
ไม่ใช่เสียงของฉัน --- เมื่อหันหลังไปตามต้นเสียงก็พบกับเด็กหนุ่มร่างสูง โครงหน้ากลมเครื่องหน้าจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาแต่ก็ดูมีความเป็นชายอยู่ ฉันถึงกับถอนหายใจออกมาโดยไม่ปิดบังเมื่อเห็นเขา
เต้อร์, นักเรียนห้องทับสี่เดินมาตบไหล่ฉันอย่างสนิทสนม ฉันปัดมือลงแต่เขาก็ดูไม่ใส่ใจอะไร เข้ามานั่งที่นั่งข้าง ๆ ฉันแทน อันอันอุทานออกมาอย่างเขินอาย “ต๊าย! นี่ยายนิ้ง ใจร้ายจังเลยนะ สุดหล่อของโรงเรียนมีถึงเนื้อถึงตัวเธอแท้ ๆ ”
“...เป็นคนที่ไม่อยากให้ถึงเนื้อถึงตัวที่สุดเลยล่ะ”
ฉันพึมพำโดยไม่แคร์ว่าคนที่อยู่ข้างฉันจะได้ยินหรือไม่ --- ฉันรู้เรื่องของเต้อร์ดี, เขาเป็นรองประธานชมรมโสตทัศนูปกรณ์ นับว่าเป็นกลุ่มนักเรียนที่ดังในหมู่นักเรียนและเป็นลูกรักของครูอย่างยิ่ง เพราะเราต้องเรียกใช้เขาเสมอหากจะถ่ายรูปตัวเองเพื่อเป็นเกียรติประวัติประดับว่าตนเคยร่วมงานกีฬาสี พิธีเปิดอาคารเรียนใหม่ หรือกิจกรรมการแสดงในวันเปิดบ้าน อีกอย่าง, ชมรมดังกล่าวนั้นก็คัดคนจากฐานะทางการเงินพอสมควร แม้จะไม่ได้คัดกันโดยตรงแต่ด้วยราคากล้องถ่ายภาพทั้งฟิล์มและดิจิตัลก็แพงกว่าค่าเทอมแล้วจึงบีบให้นักเรียนส่วนใหญ่ที่ต้องอยู่กับกลุ่มนี้จึงต้องมีเงิน, หรือไม่ก็ต้องหาลู่ทางอันจะได้มาซึ่งกล้องถ่ายภาพนี่แหละ และเพราะเหตุนี้เต้อร์จึงเรียกได้ว่าเป็นสุดหล่อของโรงเรียนคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และนั่นก็เบิกทางให้เขามีสังคมกว้างขวาง
แต่ฉันรู้ดีกว่าใครว่าเบื้องหลังของเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเด่อย่างที่หลายคนคิด พ่อคนนี้ทั้งขี้เกียจและไม่มีอารมณ์ลึกซึ้งขนาดหนักเลยวเชียว --- เมื่อตอนปิดเทอมที่ผ่านมาฉันกับเต้อร์เข้าค่ายติววิชาการด้วยกัน และตลอดสองเดือนที่อยู่ที่นั่นเราก็แอบคบหากันแบบลับ ๆ ซึ่งถึงฉันจะตั้งข้อตกลงเองว่าจะมีแค่การออกเดตเท่านั้นแต่ยังไม่ทันจะพ้นเดือนแรกก็ต้องยุติความสัมพันธ์นั้นลง และก็นับว่าฉันคิดผิดมหันต์ที่เลือกจะตอบรับคำชวนของเขาเมื่อตอนนั้น, ตลอดเดือนสุดท้ายในค่ายติวฉันแทบจะไม่มีสมาธิเลยเพราะต้องเดินหลบผู้ชายคนนี้ไปมาและพยายามไม่สนใจเขา
“นี่ ๆ เต้อร์” อันอันเรียกชายผู้มาใหม่ด้วยแววตาเธอเปี่ยมไปด้วยเสน่หา “เต้อร์รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพอร์ชรึเปล่า? เมือ่วันจันทร์ที่แล้วก็เรียนคาบคอมด้วยกันใช่มั้ย? ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ไม่รู้หรอก แต่ก็ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่มาโรงเรียน” แล้วจู่ ๆ ก็มีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมา “เอ้อนี่ เมื่อวานฉันก็ได้อีเมลลูกโซ่มาเหมือนกันนะ”
“อะไรนะ!” อันอันถึงกับยกมือขึ้นมาป้องปาก ท่าทางเธอดูหวาดกลัวประหนึ่งเชื่อข่าวลือนั่นเป็นตุเป็นตะ “เต้อร์โดนคำสาปแล้วจริงเหรอ? ”
“ใช่ --- ก็อีเมลนั่นเขียนว่า ‘เธอโดนคำสาปแล้ว’ แค่นั้นเลย!”
ฉันลอบถอนหายใจ คิดอยู่เนือง ๆ ว่าพ่อคนนี้ต้องกุเรื่องมาอำเพื่อนฉันแน่ ๆ จึงรีบตัดบทกับอันอัน “นี่ ยายอัน แกก็รู้ว่าไร้สาระจะตายไป...”
“แต่ว่าเต้อร์เขา...เขาไปเที่ยวปาร์ตี้ของพอร์ชด้วยเหรอ? ”
ฉันละอยากจะบ้าตาย…ยายเพื่อนคนนี้นี่!
เต้อร์หันมามองฉันทีหนึ่ง สายตาราวกับจะขออนุญาตฉันแต่ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาแม้แต่จะสื่อผ่านสายตา เมื่อเขาเห็นว่าฉันเบือนหน้าหนีก็บอกสั้น ๆ ว่า
“ไม่รู้ซี...แต่คนอื่นที่หนีมาจากงานได้แล้วไม่โดนจับก็เห็นว่าได้รับอีเมลเหมือนกันนะ”
ฉันถอนหายใจแล้วยกแก้วน้ำหวานมาดื่มจนหมด --- ไร้ซึ่งรสชาติหวานใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังจากเลิกเรียนที่โรงเรียนแล้วฉันก็เดินทางต่อไปยังสถาบันติวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมือง เสร็จจากที่นั่นถึงทุ่มครึ่งแม่ก็มารับฉันก่อนจะแวะพาฉันไปกินข้าวที่ร้านอาหารไม่ไกลกันก่อนจะกลับบ้าน --- ฉันได้แต่นั่งคิดไปตลอดทางถึงเรื่องราวที่ได้ฟังมาเมื่อเที่ยง มันคงจะไม่มีอะไรเลยถ้าเต้อร์ไม่ได้พูดว่าตนก็ได้รับอีเมลลูกโซ่บ้าบอนั่น
เขาก็คงแค่แต่งเรื่องเรียกร้องความสนใจเท่านั้นแหละ, ฉันคิด พยายามไม่สนใจเรื่องนั้น ตลอดจนไม่สนใจความสัมพันธ์อันแสนวุ่นวายเมื่อตอนปิดเทอมซึ่งรบกวนจิตใจมากกว่าด้วย --- ฉันว่าดีแล้วล่ะที่ฉันกับเต้อร์ไม่คิดจะคบหากันจริงจังต่อจากตอนนั้น เพราะหากแม่ฉันรู้ขึ้นมาเธอคงจะตามติดฉันยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงบ้านแม่ก็เดินอ้อมเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ครัว เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบของสองสามอย่างออกมาพร้อมตะโกนถามฉัน “นิ้ง ลูกจะกินอะไรอีกมั้ย? ”
ฉันตอบเบา ๆ เพียงว่า “ขอเป็นคุกกี้กับนมร้อนละกันค่ะ”
แม่เงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้า ฉันยืนมองเธออย่างลังเล เรื่องอีเมลทำให้ฉันไม่ขยับไปไหน ตอนนี้ในใจกำลังต่อสู้กันอยู่ว่าฉันควรจะไปเช็กอีเมลดีหรือไม่ --- ทว่ามนุษย์ย่อมมีความอยากรู้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว และนั่นก็ชนะความยับยั้งชั่งใจไปในที่สุด
ฉันบอกแม่ที่กำลังสาละวนกับการจัดกระป๋องเบียร์ในตู้เย็นใหม่
“แม่คะ เดี๋ยวช่วยต่ออินเทอร์เน็ตให้หน่อยนะคะ พอดีหนูจะเช็กอีเมลที่สมัครไว้”
แม่ตอบฉันโดยไม่หันมามอง “โอเคจ้ะ” ฉันจึงเดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำ
หลังจากแต่งตัวเสร็จและเดินลงมาชั้นล่าง เข้ไปทางห้องนั่งเล่นก็พบว่าแม่กำลังกินขนมขบเคี้ยวกับเบียร์ของตัวเองพลางหัวเราะกับฉากในละครโทรทัศน์ ครั้นแม่รู้ตัวว่าฉันเสร็จธุระแล้วก็ชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ที่โต๊ะ ณ มุมในสุดตรงข้ามกับโวฟาของแม่ โต๊ะตัวนั้นแต่เดิมเป็นโต๊ะเขียนหนังสือของพี่สาว ตอนนี้เธออยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัยแล้ว กอปรกับแม่เพิ่มซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาให้เพราะเห็นว่าฉันคงจะได้ใช้ในอนาคตในตอนนี้โต๊ะนั่นก็เลยอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีเพียงแม่เท่านั้นซึ่งสนิทสนมกับมันที่สุดเนื่องจากทำงานที่บริษัทให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อยู่แล้ว
ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ เยื้องไปทาขวามือก็พบกับคุกกี้ในจานยาวและนมร้อนแก้วหนึ่ง เสียงครืดคราดของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเสียงสัญญาณของโมเด็มดังอยู่เรื่อย ๆ ฉันหันไปมองหน้าจอเดกส์ท็อป ก่อนจะดับเบิลคลิกโปรแกรมให้บริการอีเมล
เมื่อกรอกที่อยู่อีเมลและรหัสผ่านของตัวเองโปรแกรมก็ขึ้นหน้าจอบอกให้รอสักครู่ อินเทอร์เน็ตไม่ได้รวดเร็วทันใจอะไรนักในสมัยของฉัน กังนั้นระหว่างที่รอฉันก็หยิบคุกกี้มากัดเสี้ยวหนึ่งแล้วก็ตามด้วยนม จนเมื่อประมวลผลเสร็จสิ้นหน้าต่างโปรแกรมก็เด้งขึ้นมา --- ไม่มีข้อความเข้าและข้อความออก แต่ที่เมนู ‘จดหมายขยะ’ มีข้อความเข้าสี่ข้อความ
ฉันดับเบิลคลิกเข้าไปดูเมนูจดหมายขยะ
อีเมลผู้ส่งส่วนใหญ่ก็ดูรู้ว่าเป็นสแปม ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกจดหมายลูกโซ่ภาษาอังกฤษที่ฉันไม่เข้าใจเนื้อความเท่าไหร่กับพวกแนะนำแหล่งเงินกู้นอกระบบ ทว่าอีเมลสุดท้ายนั้นกลับไม่มีหัวเรื่อง --- และถูกส่งมาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนี่เอง เวลาประมาณบ่ายโมง ตรงกับคาบเรียนคอมพิวเตอร์ของห้องฉันพอดี แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันว่าใคร ๆ ก็คงส่งมาให้ฉันได้อยู่แล้ว เพราะคาบนั้นจะสอนพร้อมกันสองห้องเรียน และหัวหน้าห้องของแต่ละห้องจะจดที่อยู่อีเมลกับรหัสผ่านให้นักเรียนเพื่อส่งรายชื่อกับครูด้วย ดังนั้นถ้าไม่ใช่หัวหน้าห้องของฉันหรือของอีกห้อง ก็เป้นนักเรียนคนอื่นที่รู้ที่อยู่อีเมลฉันบ้างนี่แหละ
ฉันดับเบิลคลิกเปิดอีเมลดังกล่าว --- และก็พบกับข้อความสั้น ๆ เพียงว่า
‘เธอโดนคำสาปแล้ว’
ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเต้อร์!เขาชอบเรียกร้องความสนใจอยู่แล้ว เขาคงไปเจอที่อยู่อีเมลของฉันแล้วทำแบบนี้แน่ ๆ อย่างไรเสียครูที่ปรึกษาชมรมโสตทัสนูปกรณ์ก็คือครูสอนคอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นนักเรียนในชมรมที่ก็สนิทสนมกับครูดีก็สามารถเดินเข้าออกห้องคอมพิวเตอร์ได้โดยสะดวก...ทว่าเมื่อฉันจ้องมองข้อความนั้นบนพื้นสีขาว ความรู้สึกหนาวเย็นก็เริ่มไล่มาจากปลายสันหลังจนถึงต้นคอ ฉันหายใจออกยาว ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดขีดจนรีบผลุนลุกขึ้น
“ว้าย!”
ข้างหลัง, แม่ร้องวี้ดว้ายขึ้นมาเพราะเผลอทำเบียร์หกบนพื้นพรม แต่พอหายตกใจก็เปลี่ยนไปบ่นกระปอดกระแปดราวกับเด็ก ฉันถอนหายใจก่อนจะบ่นขึ้นมา
“โธ่แม่ หนูตกใจหมดเลย...”
แม่หันมาหัวเราะกับฉัน “ซอร์รี่นะยายนิ้ง” เธอไม่ได้สงสัยเลยว่าฉันลุกขึ้นยืนขึ้นมาทำไม หรืออะไรที่ทำให้ฉันกลัว
และเมื่อเหลือบไปมองอีเมลประหลาดนั่น มันก็ยังอยู่
เห็นดังนั้นฉันจึงลากเก้าอี้กลับมานั่งดังเดิม กดปุ่มากบาทมุมขวามือเพื่อปิดหน้าต่างโปรแกรม ก่อนจะจิบนมร้อนซึ่งเย็นชืดไปเสียแล้วอึกหนึ่ง
เช้าวันต่อมาที่โรงเรียนฉันก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้อันอันฟัง แต่ครั้นหวังจะเห็นเธอกรี๊ดกร๊าดหรือตื่นกลัว กลายเป็นว่าฉันเองนี่แหละที่โดนหัวเราะเยาะเสียอย่างนั้น
“โอ๊ย เวอร์ไปกันใหญ่ละแก คำส่งคำสาปมันจะไปมีจริงได้ไงกันยะ”
“อ้าว แล้วที่แกเล่าให้ฟังเมื่อวานล่ะ...” ฉันถึงกันวางปากกาลงทันที การบ้านกลายเป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดน้อยกว่ายายเพื่อนสนิทคนนี้เสียอย่างนั้น ไม่รู้คิดอะไรของเธอกันแน่
“ก็ฉันได้ยินเพื่อนห้องอื่นเล่า ๆ กันมาน่ะแก ว่าพอร์ชน่าจะได้จดหมายลูกโซ่แล้วก็เลยหยุดเรียน” เธอว่าก่อนจะก้มหน้าเขียนคำตอบวิชาคณิตศาสตร์พลางเล่าแบบรวบรัด “แต่ก็นะ ถ้าจะบอกว่านั่นเป็นฝีมือของผีผู้หญิงที่ตายในงานเลี้ยงนั่นก็คงจะเวอร์ไปหน่อย แกก็น่าจะรู้นี่นายายเด็กเรียน”
อันอันทำราวกับฉันเป็นคนโง่เสียเฉย ๆ เอาจริง ๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแบบนี้เพราะนี่ก็เป็นนิสัยหลักของเธออยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจอยู่เหมือนกัน
ในยามเช้า ณ ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ส่วนหนึ่งของลานเอนกประสงค์ซึ่งร่มรื่นและเต็มไปด้วยนักเรียน เสียงเพลงป็อปร่วมสมัยท่กระจายเสียงไปทั่วโรงเรียนนั้นออกจะเบาเกินจะชวนให้รู้สึกครื้นเครงขึ้นได้ --- ฉันก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไปก่อนจะเริ่มสังเกตว่าที่ทางเดินเลียบกับลานมีนักเรียนชายประมาณเก้าถึงสิบคนเดินหน้าตาตื่นม่งหน้าไปยังอาคารเรียนหลัก พร้อมกันนักเรียนบางส่วนก็เดินสวนกระแสเข้ามายังลาน เรียกเพื่อนที่รู้จักบางคนให้ลุกขึ้นตามตนไปเช่นกัน แล้วจู่ ๆ คนส่วนใหญ่ก็เริ่ลุกขึ้นไปเมื่อเสียงกรีดร้องดังแทรกผ่านเสียงตามสาย แว่วมาจากไกล ๆ
อันอันและฉันมองหน้ากันแล้วจึงลุกขึ้นเดินตามฝูงชนไป ที่จริงฉันไม่ใช่คนชอบสอดรู้หรือชอบวิถีไทยมุง แต่เพราะมีเรื่องรบกวนใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วจึงคิดว่าอย่างน้อยก็ลองไปดูพอให้รู้ก็พอว่ามีอะไรกันในเวลาเช้าเช่นนี้ --- ครั้นเราเดินไปถึงกลุ่มนักเรียนมุงที่เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และน่าแปลกเหลือเกินที่ในเช้าซึ่งอากาศออกจะร้อนอบอ้าวและแดดแรงเสียจนแสบตา ฉันกลับรู้สึกว่าบรรยากาศของผู้คนกลับปกคลุมด้วยความหนาวเย็นอย่างน่าประหลาด เสียงพูดคุยของนักเรียนกลุ่มใหญ่ซึ่งล้อมวงเป็นครึ่งวงกลมเบาและเงียบเชียบ มีเพียงเสียงของครูฝ่ายปกครองชายและสภานักเรียนซึ่งสวมปลอกแขนสีแดงระบุตำแหน่งสำคัญเท่านั้นที่ดังกว่าอะไรทั้งหมด เสียงเตือนอันเปี่ยมไปด้วยความกังวลและความแข็งกร้าวสอดประสานกับเสียงของเด็กส่วนใหญ่หันไปพูดกับคนใกล้ตัวกันปากต่อปากว่า “มีคนกระโดดตึก”
ฉันได้ยินเพียงแค่นั้นก็ถึงกับขาแข็งกึก ไม่คิดจะเดินไปดูอย่างแน่นอน ทันใดนักเรียนชายก็วิ่งเข้ามาจากข้างหลัง เบียดพวกเรากับนักเรียนคนอื่นเข้าไป เด็กหนุ่มที่อยู่ระดับชั้นเดียวกันประมาณสี่ถึงห้าคนเดินแหวกเข้าไป ฉันเห้นบางคนเหมือนมีครอบน้ำตาเจืออยู่ และครั้นทุกคนเห้นว่าตรงหน้านั้นคืออะไรเสียงร้องแตกพร่าของนักเรียนหนึ่งในนั้นก็ดังขึ้น
“เฮ้ย ไอ้พอร์ช!ไม่!ไม่!ไอ้พอร์ช!”
พร้อมกันครูฝ่ายปกครองที่ตัวใหญ่พอกันก็กอดแขนดึงหลังเสื้อเชิ้ตสีขาวชุ่มเหงื่อของรนักเรียนคนนั้นออกมาพร้อมพูดเพื่อสงบใจ “ใจเย็น ใจเย็น!ไปห้องพยาบาลกับครูก่อนมา พวกเธอทั้งหมดตามครูมา!”
พลางครูฝ่ายปกครองกำชับนักเรียนที่สวมปลอกแขนสีแดง “สภา ช่วยกันไม่ให้เพื่อนหรือน้องเข้ามายุ่งกับศพนะ!” นักเรียนส่วนใหญ่ก็รีบถอยเปิดทางให้ครูกับนักเรียนชายที่ร้องไห้จนใบหน้าบิดเบี้ยวขี้มูกย้อย ฉันกับอันอันอาศัยจังหวะชะเง้อมองเข้าไปดูว่า ‘ศพ’ ที่ว่านั่นคืออะไร
และเมื่อแสงสะท้อนสีแดงชาดของของเหลวบนพื้นคอนกรีตกระทบเข้ามาในตา ฉันหลับตาทีหนึ่ง แดดเช้าจ้าเกินกว่าจะมองเห็นอะไรได้ชัด ครั้นเมื่อหันกลับไปดูอีกครั้งก็พบว่าไม่ได้มีเพียงเลือดเท่านั้นที่อยู่บนพื้น --- เศษก้อนเนื้อสีชมพูและสีออกเทา ๆ เศษฟันและเศษกระดูกเกลื่อนกลาดนอนกองบนจุดที่มันตกลงมาหลังจากกระเด็น...เพียงแค่นั้นฉันก็ถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมาจับใจ และความรู้สึกคล้ายมีอะไรจุกอยู่บริเวณคอหอยก็เรียกให้ต้องหนีไปจากตรงนี้
ไม่ว่าใครย่อมต้องกลัวความตาย แม้แต่ฉันเอง และนี่ก็เห็นจะเป็นครั้งแรกสุดที่ได้พบกับรูปลักษณ์แท้จริงของสิ่งที่ฉันหวาดกลัวโดยจิตใต้สำนึก...และภาพตรงหน้า, แม้จะเห็นเพียงส่วนเล็ก ๆ แต่ฉันกลับรับรู้ได้ถึงความทรมานและความเจ็บปวดที่แล่นแปลบปลาบอยู่ทั่วร่างกาย นั่นทำอาแขนขาอ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ทว่าก็มีคนมาประคองฉันเอาไว้พร้อมถามสั้น ๆ
“เดินไหวมั้ยนิ้ง? ”
ฉันหันไปหาผู้ที่จับแขนและโอบเอวไว้ แต่กลับพบใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างสูง --- เต้อร์จ้องลึกเข้ามาในดวงตาราวกับอยากจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ครั้นเห็นหน้าเขาฉันก็ผลักหน้าอกเขาให้ถอยห่าง หันไปเกาะแขนของเพื่อนหญิงแทน
อันอันไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบตัวพอ ๆ กับไม่สนใจฉัน เธอยกมือข้างที่ว่างป้องปาก “ว้ายตาย เมื่อกี้ยังกะซีนในละครหลังข่าว!”
ฉันตีแขนเธอทีหนึ่ง “จะบ้ารึไงยะ...ไปเถอะอัน ไปห้องน้ำกัน” แล้วอันอันก็ประคองฉันไป
จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่ง เสียงกระดิ่งเตือนให้เข้าแถวหน้าเสาธงดังกังวานไปทั่วโรงเรียน ทว่ากลับไม่มีใครสนใจเสียงนั้นแม้แต่คนเดียว
สิ้นเสียงสัญญาณเตือนให้เข้าแถวไปห้านาที ก็มีเสียงตามสายประกาศว่าให้นักเรียนทุกคนไปรวมตัวที่โรงยิม แต่ขอความร่วมมือให้นักเรียนที่อยู่บริเวณอาคารหลักตั้งแต่ช่วงเจ็ดโมงครึ่งยังคงประจำอยู่ที่บริเวณเดิม นักเรียนส่วนใหญ่จึงได้แยกย้ายกันไปรวมตัวที่โรงยิมตามคำสั่งในที่สุด ทุกคนดูจะสงสัยว่าโรงเรียนจะจัดการเรียนการสอนต่อหรือจะปล่อยนักเรียนกลับบ้านในวันนี้ ส่วนตัวฉันเองแม้จะเสียดายเวลาเรียนแต่ถ้าให้เลือกได้ก็คงอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่า...ภาพที่เห็นเมื่อครู่นั้นยังคงผุดระลึกขึ้นมาในสมองซ้ำ ๆ และฉันก็กลัวเหลือเกินว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปตัวเองจะต้องทนมองเห็นภาพนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
ในโรงยิมนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมหนึ่งถึงมัธยมหกต่างเข้าแถวเรียงตามระดับชั้น ครูประจำชั้นของแต่ละห้องก็เดนเข้ามาควบคุมและจัดการให้นักเรียนอยู่กันอย่างเรียบร้อยจนกว่าผู้อำนวยการโรงเรียนและหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ จะประชุมกันเสร็จ ระหว่างนั้นท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่วึ่งดังก้องทั่วโถงสูงกว่าสี่เมตรครึ่ง อันอันกับฉันก็ต่างสันนิษฐานกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าที่รู้ และแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเพื่อนที่เห้นเหตุการณือยุ่ใกล้ ๆ --- คนที่ตกดาดฟ้าตึกของอาคารหลักคือพอร์ช ซึ่งไม่ได้เข้าเรียนมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน หลายคนเข้าใจว่าเขาอาจจะเครียดเพราะเรื่องเมื่อตอนปิดเทอม แต่เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งซึ่งพอจะสนิทกับกลุ่มของพอร์ชก็ไม่เห็นด้วย พอร์ชจิตใจเข้มแข็งมากพอ, และอาจจะถึงขั้นไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องเมื่อตอนนั้นด้วยซ้ำไป
นักเรียนที่มาสายในวันนี้แล้วมารวมตัวที่โรงเรียนเพราะครูเวรจับนักเรียนมาสายก็ไม่มีกะจิตกะใจจะมาคาดโทษอะไรพวกเขาในวันนี้ มาเสริมว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ผู้ตายจะมาโรงเรียนก่อนเวลา --- หากจะเรียกว่าใครที่ต้องโดนหักคะแนนความประพฤติเพราะมาโรงเรียนหลงเข้าแถวหน้าเสาธง พอร์ชก็หนึ่งในนั้นนี่แหละ แต่ครูฝ่ายปกครองส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะกล้าทำอะไรเขาได้นักเพราะพ่อของเขาก็เป็นถึงข้าราชการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบกับโรงเรียนนี้ด้วย ดังนั้นการหักคะแนนหน้าโรงเรียนก็เป็นแค่หนึ่งในละครตบตาแก่นักเรียนคนอื่นเท่านั้นเอง
ฉันกับอันอันยืนฟังแต่ก็ไม่ได้นึกสนใจส่วนนั้นมากนัก เอาจริง ๆ ส่วนที่นักเรียนส่วนใหญ่สนใจมากกว่าคือเรื่องดาดฟ้าของอาคารหลัก --- ในสถานการณ์ปกติประตูทางขึ้นดาดฟ้าทั้งสองฝั่งจะล็อกประตูไว้ มีเพียงครูไม่กี่คนและภารโรงเท่านั้นที่มีกุญแจเปิดประตูได้ การที่นักเรียนจะไปอยู่ที่นั่นได้นั่นแหละที่ประหลาด อีกอย่าง, ขอบดาดฟ้าก็มีรั้วตาข่ายขึงกั้นไว้สูงกว่าสองเมตรครึ่งเพื่อความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ในหมู่นักเรียนก็ไม่ได้เห็นว่าการที่พอร์ชปีนข้ามไปอีกฝั่งจะเป็นไปไม่ได้ เอาจริง ๆ หากหารูโหว่ของตาข่ายที่ชำรุดก็สามารถเดินไปยืนบนขอบได้สบาย ดังนั้นประเด็นส่วนใหญี่นักเรียนสงสัยกันก็คือพอร์ชขึ้นไปบนนั้นได้อย่างไร และอะไรคือแรงจูงใจให้เขาทำเช่นนั้นมากกว่า
ผ่านไปกว่าสิบนาทีแล้วก็ไม่มีใครมาบอกว่าเราควรจะทำอะไรต่อ ทันใดนั้น, ทุกคนในโรงยิมก็เงียบลงเมื่อดสียงกรีดร้องแหลมยาวของเด็กหญิงดังขึ้น --- ต้นเสียงมาจากแถวของนักเรียนชั้น ม. 2 ตรงนั้นทุกคนแตกฮือถอยไปชนกับแถวที่อยู่ใกล้ ๆ ครูที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบกระโจนเข้าไปดูสถานการณ์ ตะโกนอะไรสักอย่างที่ฉันก็ได้ยินไม่ถนัดนัก ทว่าจากเสียงบอกเล่ากันบาอกต่อปากไปเรื่อย ๆ จนถึงแถวระดับ ม. 5 พวกเราก็พอรุ้แล้วว่ามีนักเรียนหญิงเป็นลมชัก
“เหมือนว่าน้องเขาเห็นศพเต็ม ๆ ตาน่ะ”
อันอันผู้เดินเข้าใกล้แถวของนักเรียนรุ่นน้องกลับมาพร้อมรายงานด้วยใบหน้าหนักใจ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีก คราวนี้มาจากนักเรียนหญิงชั้น ม. 3 เธอได้แต่กรีดร้องบอกว่า “อย่า อย่าเข้ามา ไม่!” จนเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องช่วยกันปลอบและรั้งเธอไว้ไม่ให้วิ่งเตลิดไปไหน และจู่ ๆ นักเรียนชายที่ยืนแถวใกล้กับห้องของฉันก็เป็นลมล้มพับไป โชคดีที่ครูเข้ามาประคองเขาไว้ทัน พร้อมกันทางฝั่งรุ่นน้อง ม. 4 ก็มีนักเรียนชักอีกสองคน
สถานการณ์ตรงหน้าวุ่นวายดูไร้ซึ่งจุดจบ แม้ผู้อำนวยการโรงเรียนเดินหย่ง ๆ ขึ้นเวทีมาแล้วความวุ่นวายก็ไม่จางหายไป ฉันมองดูครูและนักเรียนชายอีกสองคนลากนักเรียนที่เป็นลมออกไปนอกโรงยิมพร้อม ๆ กับชายวัยกลางคนประกาศว่าวันนี้โรงเรียนจะปล่อยให้กลับบ้านในตอนเที่ยงและจะประสานงานกับครูประจำชั้นเพื่อติดต่อผู้ปกครองให้ แต่ครั้งมาถึงจุดนี้, เมื่อสำรวจสายตาของนักเรียนทั้งหลายรอบตัว, ทุกคนดูจะไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ พวกเขาคิดแต่เพียงว่าตอนนี้ต้องออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น
เป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นและไม่เคยประสบมาก่อน และความสับสนก็กลายเป็นความหวาดกลัว...ราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของอะไรบางอย่างอันได้ชื่อว่า ‘คำสาป’ และมันกำลังทดสอบจิตใจฉันอยู่
หลังจากความโกลาหลทั้งหมดของโรงเรียนผ่านพ้นไป นักเรียนส่วนใหญ่ก็ถูกปล่อยจากโรงยิมทีละห้อง ๆ หลังจากครูประจำชั้นเช็กชื่อนักเรียนเสร็จ ฉันหันไปมองแถวของนักเรียนห้องสิบที่ยังคงไม่ไปไหน นักเรียนชายหญิงที่สนิทกับผู้ตายร้องห่มร้องไห้จนตาแดงก่ำ บางคนที่เหมือนจะไม่ได้สนิทอะไรนักก็มีสายตาไร้อารมณ์เสียมากไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ แต่นักเรียนคนอื่นที่อาจจะไม่รู้จักตัวตนของพอร์ชก็ไม่ค่อยจะแยแสอะไรนักซึ่งนั่นก็เป็นปกติ --- ฉันตั้งใจจะไปที่โรงอาหารเพื่อใช้ตู้โทรศัพท์ แต่เห็นว่านักเรียนยืนต่อแถวเบียดเสียดกันหลายคนก็รู้สึกไม่สบายใจ
อันอันสะกิดไหล่ “เดี๋ยวไปดูตู้โทรศัพท์ที่อื่นกัน เนอะ” ทว่าไม่ทันไรก็มีเสียงเรียกมาจากกข้างหลัง, อีกแล้ว
“เข้าไปใช้ที่ห้องโสตฯ มั้ย? มีโทรศัพท์ของโรงเรียนตัวหนึ่ง”
เพื่อนสนิทของฉันไม่ลังเลที่จะตอบรับความกรุณาของเต้อร์ “ขอบใจมากนะเต้อร์ ไป ๆ ...นิ้ง เร็วเข้าซี” และฉันก็ถูกอันอันลากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หอประชุมของโรงเรียนตั้งอยู่ไม่ไกลจากอาคารหลัก พวกเราเดินไปตามทางเดินเลียบกับข้างอาคารหลักเรื่อย ๆ แน่นอนว่าก็ย่อมเห็นจุดเกิดเหตุตรงนั้น --- นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มบางตาลงมากกว่าตอนแปดโมงเช้าซึ่งก็น่าจะเดินทางกลับบ้านหลังจากให้ปากคำกับตำรวจและครูเสร็จแล้ว บนพื้นยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังอยู่ แม้ว่าเศษซากของความตายนั้นจะถูกเก็บไปจนหมดแล้วแต่นั่นก็เตือนใจให้รู้ว่าที่ตรงนั้นยังเกิดอะไรขึ้น
ฉันเบือนหน้าหนีจากความกลัวที่ไร้รูปร่าง แต่เมื่อก้มมองดูปลายเท้าตัวเองก็คล้ายจะสัมผัสความเจ็บปวดที่ยังตกค้างอยู่ในอก เมื่อเงยหน้ามองเต้อร์ แผ่นหลังชุ่มเหงื่อของเขานั้นตรงแน่วทว่าคล้ายกับกำลังแบกรับภาระอะไรบางอย่าง แม้ว่าเขาจะยังคงปั้นยิ้มเมื่อคุยกับอันอันทว่านั่นก็ดูผิดธรรมชาติเหลือเกิน
พวกเราเดินไปที่หอประชุม ตอนนี้ในห้องมืดสนิท แสงสลัวจากภายนอกยังพอทำให้เห็นเค้าร่างของหอประชุม เก้าอี้และโต๊ะเล็กเชอร์ที่วางเรียงคล้ายอัฒจันทร์ล้อมรอบเวทีตรงกลาง เต้อร์พาพวกเราเดินไปสุดมุมของโถงซึ่งจะพบประตูไม้สักหนาไม่มีป้ายบอกว่าเป็นห้องอะไร เด็กหนุ่มบิดลูกบิดสองสามทีเมื่อเห็นว่าประตูล็อกอยู่ก็ล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเอากุญแจออกมาพวงหนึ่งแล้วไขเปิดประตูออก ข้างในห้องมืดมิดอยู่ไม่นานแสงไฟก็ติด ข้างในนี้น่าจะเป็นคล้าย ๆ ห้องคุมเสียง มีคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่วางอยู่เครื่องหนึ่ง มุมใกล้ประตูทางซ้ายมือคือตู้เย็นและตู้เก็บของ มีโทรศัพทืเครื่องหนึ่งวางอยู่หลังตู้นั้น
หลังจากพวกเราใช้โทรศัพท์ของโรงเรียนติดต่อผู้ปกครองแล้วก็นั่งรอในห้องนี้ตามคำเชื้อเชิญของเต้อร์ “ถึงครูสรพงศ์จะมาเห็นเราก็ไม่โดนด่าหรอก” เขายกชื่อครูฝ่ายปกครองจอมเฮี้ยวมาเป็นหลักประกันว่าเราสามารถนั่งเล่นและเอาขนมรับรองแขกจากในห้องมากินก็ได้ ซึ่งเต้อร์ก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างจริง ๆ สุดท้ายแล้วเราสามคนก็นั่งดื่มกาแฟและกินขนมราวกับไม่กลัวความผิดใด ๆ และพูดคุยถึงเรื่องในวันนี้ อันเป็นเรื่องเดียวที่เราพอจะพูดคุยได้
เมื่อถึงสิบเอ็ดโมง อันอันก็ขอตัวออกไปรอแม่มารับที่หน้าโรงเรียน ตอนนี้เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้นในห้องคุมเสียงของหอประชุม
เต้อร์จิบกาแฟรสหวานเลี่ยนก่อนจะหันมามองฉัน ตอนนี้เขานั่งบนที่ว่างบนโต๊ะวางเครื่องคุมเสียงและคอมพิวเตอร์ “อันนี่น่ารักเนอะ”
“ถ้านายจะจีบอัน ฉันจะกันนายออกไปให้ได้เลย” ฉันพูด มองดูขนมและกาแฟของตัวเองที่แทบจะไม่พร่องไป
เต้อร์หัวเราะ “ไม่หรอกน่า...แต่ว่านิ้งล่ะ คิดจะคบกับใครอีกรึเปล่า? ”
ฉันถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาเกาหน้าผากเหนื่อย ๆ “ไอ้ที่เราทำไปเมื่อตอนปิดเทอมไม่เรียกว่าคบกันด้วยซ้ำไป”
“อย่าหนีความจริงไปหน่อยเลยน่า ถึงจะไม่ได้จะเป็นแฟนกันแต่ก็...ลึกซึ้งพอสมควรใช่มั้ยล่ะ? ”
“อยากจะกลับมาเล่นเป็นคู่เดตแบบนั้นอีกรึไง? ”
อีกฝ่ายคล้ายจะจับน้ำเสียงห้วนของฉันได้ เขาจึงพูดเสียงอ่อนลง “เปล่า ๆ ” พวกเราเงียบไปสักพักใหญ่เลยทีเดียว แล้วเต้อร์ก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“วันที่พอร์ชได้อีเมลนั่นคือวันจันทร์ที่แล้วนะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย ตอนนี้สายตาของเต้อร์ยากจะคาดเดาเหลือเกิน...คล้ายคนที่มีความคิดเหลือล้นแต่ก็ดูเหมือนมองเห็นทางตันในอีกทาง
“จะพูดอะไรเหรอ? ”
เขาตอบฉันเสียงเรียบ ๆ “เราไม่รู้น่ะว่านั่นจะเกี่ยวกับที่พอร์ชตกจากตึกรึเปล่า”
“ไม่ใช่ว่าฆ่าตัวตายเหรอ? ”
เต้อร์ส่ายหน้า “ไม่...คือว่า --- แค่...ไม่อยากจะเชื่อแบบนั้นน่ะ”
“แค่อีเมลงี่เง่าแบบนั้นทำอะไรเราจริง ๆ ไม่ได้หรอกน่า” ฉันตัดบท เบื่อเหลือเกินกับเรื่องไร้สาระนี่
“แต่คนน่ะทำได้นะ” เขาว่า, แล้วก็เบี่ยงประเด็น “นี่นิ้ง ไม่คิดบ้างเหรอว่าเรื่องมันส่งผลต่อกันเป็นลูกโซ่น่ะ? ”
เขาเห็นฉันเอียงคอสงสัยก็พูดต่อ
“อย่าลืมนะว่าพวกเราไปงานเลี้ยงนั้นด้วยกัน”
ฉันหัวเราะขึ้นคอทีหนึ่ง กอดอกพลางส่ายหน้า “อย่าเอาฉันมารวมนะเต้อร์ ฉันกลับทันทีที่ถึงหน้างานเถอะ” แม้จะปฏิเสธไปเช่นนั้นแต่สมองของฉันกลับคิดต่อไปไม่หยุด --- ในคืนหนึ่ง, น่าจะเป็นศุกร์หรือวันเสาร์ก็ไม่ทราบได้, ของวันที่เรายังอยู่ในค่ายติวพิเศษ วันนั้นทางค่ายปล่อยให้นักเรียนไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ตั้งแต่บ่ายสี่โมง ดังนั้นหลังจากพวกเราเดินห้างกันแล้ว เต้อร์ก็ชวนฉันไปงานปาร์ตี้ที่บ้านพอร์ชเพื่อพบเจอเพื่อนสนิทหลังจากไม่ได้เจอมานาน ซึ่งฉันก็ตามเขาไป แต่ก็ทำเพียงรอหน้าบ้านเท่านั้น ทว่าสิบห้านาทีต่อมาเต้อร์ก็ออกมาจากบ้านนั้นด้วยท่าทีพยายามสดใสแบบที่เขาทำเมื่อตอนคุยกับอันอันนั่นแหละ
เต้อร์ว่าต่อ “ว่าแต่นิ้งได้รับอีเมลรึเปล่าล่ะ? ”
ฉันชะงักไป --- จู่ ๆ ร่างกายก็รู้สึกร้อนรุ่มเหลือเกิน ฉันเปลี่ยนไปถามเรื่องงานปาร์ตี้นั่นแทน
“แล้วนายล่ะเต้อร์ คืนนั้นนายไปเจออะไรมาเหรอ? ”
“อะไรนะ? ”
“ฉันดูนายออกหรอกนะ เวลานายปกปิดอะไรอยู่ก็ชอบทำปั้นยิ้มเจื่อน ๆ และชวนคุยเรื่องธรรมดา ๆ อยู่นั่นแหละ!”
ได้ฟังดังนั้นเต้อร์หัวเราะ หัวเราะนานทีเดียวจนกระทั่งเขาเหมือนจะสะท้อนใจอะไรอยู่เนือง ๆ --- แล้วในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้น ตอนนี้ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปแล้ว...ดวงตาคู่นั้นคล้ายกำลังร้องขออภัยโทษจากฉัน
“เราแค่ไปดื่มสองสามจิบพอเป็นพิธี...แต่ว่าตอนนั้น, เราเห็นเด็กผู้หญิงที่ตายในงาน...ตอนนั้นเธอกำลังเดินไปกับพอร์ชและเพื่อนที่สระน้ำ”
ฉันอ้าปากค้าง ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ฟังเรื่องนั้นจากปากเขาฉันกลับรู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก ฉันอยากด่าทอเขา อยากบอกเขาว่าถ้าเขาช่วยเธอได้ก็คงไม่เกิดเรื่องสลดอะไรไปมากกว่านี้ และเหตุเลวร้ายของวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น --- แต่นั่นก็ไม่สมเหตุสมผลเลย พอร์ชซึ่งเป็นตัวการตาย, และก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวโยงกับเรื่องปาร์ตี้นั่นเลยสักอย่างเว้นแต่ข่าวลือที่อันอันไปรู้ต่อมาอีกที...ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่างที่จะพูดถึงเรื่องอดีต เพราะต่อให้ฉันเข้าไปในงานจริง ๆ ก็คงไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะต้องพบกับโชคชะตาแบบไหนเว้นเสียแต่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน
เต้อร์ถอนหายใจ เขาพูดเหมือนจะเตือนสติตัวเอง “...ไม่เห็นมีเหตุผลเลย”
“ยังไง? ” ฉันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา คล้ายความหวาดกลัวจากคำให้การเมื่อครู่ยังคงสะเทือนใจอยู่
“ถ้าเป็นคนที่อยากจะแก้แค้นแทนเด็กที่ตายขนาดนั้น ทำไมต้องส่งจดหมายลูกโซ่มาหาเราด้วยนะ? ”
ฉันถามเขา “เอาจริง ๆ คดีนั้นปิดไปรึยังล่ะ? ”
เต้อร์ส่ายหน้า, แม้ฉันจะไม่เงยหน้าไปมองก็พอจะรู้
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่ายานั่นมาจากไหน และก็...” แล้วจู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เงียบไป ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ “รึว่า --- จะมีคนอยากให้เราบอกว่าใครเป็นคนทำงั้นเหรอ? ”
ฉันส่ายหน้า ยกมือขึ้นมาเกาหน้าผาก “ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องส่งอีเมลลูกโซ่มาให้เราสิ เพราะนี่พอร์ชก็ตายไปแล้ว...นี่ก็อาจจะเป็นฝีมือของ ‘คนนั้น’ ด้วยรึเปล่าล่ะ? ”
เต้อร์เอียงคอ “นิ้งก็ได้อีเมลด้วยเหรอ? ”
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วจึงพยักหน้า เขาก็พยักหน้ารับตามก่อนจะชวนฉัน
“ถ้างั้น...เย็นนี้นิ้งไปเรียนพิเศษมั้ย? ยังไงเดี๋ยวเราไปรอรับหลังจากนิ้งเรียนเสร็จแล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้ต่อ”
ฉันชักไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีแรงไปเรียนหรือไม่ ครั้นเงยหน้ามองดูนาฬิกา ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ฉันนึกขึ้นได้ว่าบอกให้แม่มารับเวลานี้ ป่านนี้เธอคงรอนานแล้วแน่ ๆ เพราะแม่มักจะมาก่อนเวลาเสมอ --- ฉันคว้ากระเป๋าหูหิ้วขึ้นมาแล้วถามเขา
“คิดว่าวันนี้จะลา --- เดี๋ยวยังไงฉันกลับบ้านก่อนนะ แม่น่าจะมารอแล้ว”
“โฮ้ เด็กห้องหนึ่งจะโดดเรียนพิเศษเหรอเนี่ย? ”
“เงียบไปเลยตาบ้า!” ฉันดุชายที่ทำหน้าตายียวนใส่ “เดี๋ยวยังไงถึงบ้านจะโทร. ไปนัดนายอีกทีละกัน ขอเบอร์โทรศัพท์ได้มั้ย? ”
เต้อร์เสนอว่าให้ฉันทิ้งเบอร์โทรศัพท์บ้านไว้เพราะเขาคงจะออกไปข้างนอกสักพัก ฉันจึงเขียนหมายเลขไว้นกระดาษจดก่อนจะเดินออกจากห้องคุมเสียงไป --- ฉันหวังว่าเขาคงจะไปทำอะไรที่เข้าท่าสักที หมอนี่ชอบพาฉันเสียสมาธิและชวนทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย เรื่องปาร์ตี้นั่นก็ด้วย...ถ้าฉันรั้งให้เขาไปดูภาพยนตร์สักเรื่องเขาก็คงไม่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่ข้อสรุปที่ดีนักเรพาะท้ายที่สุดฉันก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันเป็นสายอนุกรมแห่งเหตุผลเดียวกัน
แต่เอาจริง ๆ ไอ้การที่คนมาเล่าเรื่องต่อ ๆ กันแล้วเชื่อกันไปเป็นตุเป็นตะนี่มันก็ออกจะไร้สาระไปหน่อย เต้อร์ก็ไม่มีหลักฐานเรื่องอีเมล์ลูกโซ่ และอิทธิฤทธิ์ของคำสาปอะไรนั่นก็ออกจะกว้างเกินไปเสียหน่อย --- และถ้าเรื่องทั้งหมดนี้มีใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังจริง ทำไมอีเมลนั่นต้องส่งมาถึงฉันด้วยนะ
ฉันเดินมาหยุด ณ โถงกลาง ยืนบังโพเดียมพลางเงยหน้าสำรวจไปยังเก้าอี้ผู้ชมอันว่างเปล่า ก่อนจะหันกลับไปมองประตูห้องคุมเสียงเมื่อได้ยินเสียงกึงทีหนึ่งคล้ายสับคัตเอาต์ตัดไป
ความเงียบงันกัดกินใจฉันอยู่นานแสนนานทีเดียว และนั่นก็ทำให้ฉันทบทวนตัวเองอีกครั้งว่ากำลังหลงลืมอะไรไปหรือไม่...ส่วนเล็ก ๆ ที่อาจทำให้ทุกอย่างร้อยเรียงเป็นลูกโซ่ดังที่เด็กหนุ่มคนนั้นว่า --- ฉันต้องกลับไปถามเขาที่ห้องนั่นอีกสักหน่อย
AFTERWORD:
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้เป็นแนวย้อนยุค 90s ดังนั้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่จะไม่ค่อยทันสมัยมากนะครับ บวกกับมีเดดไลน์ของเรื่องที่ต้องทำให้ได้ สุดท้ายแล้วเรื่องมันก็เลยออกมาแถ ๆ แถ่ด ๆ หน่อย ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
และสำหรับใครที่มีความคิดเห้นก็สามารถบอกกันได้นะครับ ขอบคุณมากครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in