เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากออดิทYour writer
จงเป็นความภูมิใจของตัวเอง
  • สวัสดีวันศุกร์ค่ะ
    วันศุกร์เป็นวันที่ฉันมักจะเลอกงานเร็ว กลับมาบ้าน ใช้เวลากับการทานข้าวอย่างสบายใจ
    แล้วปล่อยให้การงานที่คั่งค้างเป็นเรื่องของวันเสาร์

    อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น
    ฉันไปงานศพมาค่ะ
    งานศพก็เป็นเหมือนงานรวมญาติ และการรวมญาตินี้จะขาดคำถามว่า 
    เรียนที่ไหน? จบอะไร? 'ทำงานอะไร? ไปไม่ได้เลย

    อย่างที่คาดไว้ค่ะ
    ทุกคนคิดว่า หน้าที่การงานของเรา เงินดี มั่งคง (มั่นคงขนาดที่โควิดก็พิสูจน์แล้ว)
    ทำให้คุณแม่หน้ายิ้มได้
    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ

    ประเด็น คือ คุณแม่ต้องการให้ฉันได้ไปคุยกับผู้ใหญ่หลายๆคน ทั้งที่วัยใกล้กันและแก่ (ซึ่งก็ยอมรับว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ถือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตพอตัว) เพื่อให้แง่มุมแก่ฉันที่มีแผนอันชัดเจนว่า จะลาออกตอนเดือน 8

    คำกล่าวที่ว่า 'คำพูดของใครก็ไม่สำคัญเท่าคนในบ้าน' ช่างเป็นเรื่องจริงที่น่าขัน
    แม่ของฉันคอยพูดกับญาติๆว่า 'ตอนนั้น คะแนนก็ถึงหมอนะคะ แต่ไม่เลือก'
    เมื่อมีคนถามว่า เรียนเก่งไหม? ก็จะตอบว่า 'เค้าก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 นะคะ'

    ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
    ประโยคพวกนี้ ฟังดูแล้วเหมือนคุณแม่จะภูมิใจในตัวฉัน แต่ฉันกับรู้สึกราวกับเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
    เป็นเหมือนเงินลงทุนก้อนหนึ่งที่ไม่เติบโตอย่างที่คาดหวังแต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุน

    ถ้าหากฉันในตอนนั้นล้มเหลวในการสอบ 
    ถ้าหากคะแนนสอบของฉันไม่ถึงหมอที่ไหนเลย?
    ถ้าฉันไม่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1
    ฉันก็จะกลายเป็นคนไม่มีค่าหรือ?

    ฉันเติบโตมาในบ้านที่มีการแข่งขันทางการศึกษาค่อนข้างสูง
    จนบางครั้ง มันก็เริ่มครอบงำความคิดฉัน ฉันกลัวที่จะแพ้
    แม้จะไม่เคยอยากแข่ง แต่ฉันก็ตั้งมาตรฐานบางๆไว้ในใจเสมอ

    ตอนฉันเข้ามหาลัย ฉันเคยถามุณพ่อค่ะ ว่า ในบรรดารุ่นคุณพ่อ คนที่เรียนแย่ที่สุด จบอะไร?
    คำตอบ คือ นิติศาสตร์ธรรมศาสตร์
    และใช่ค่ะ ฉันจะไม่เป็นคนที่โง่ที่สุดในบ้าน
    ฉันจะเลือกคณะที่คะแนนสูงกว่านั้น

    และท้ายที่สุด ฉันก็มาอยู่ตรงนี้
    ถึงจุดที่ฉันเริ่มตั้งคำถามต่อคุณค่าของตัวเอง

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเลือกทำ
    เหมือนจะมีเรื่องพวกนี้ขับเคลื่อน แต่ส่วนหนึ่ง ฉันเองก็อยากได้มัน
    แต่อย่างไรก็ตาม ของพวกนี้ ต้องมี 2 ปัจจัย คือ 'ฉันอยากได้' และ 'ฉันคิดว่า ฉันทำได้'

    บางทีช่วงนี้ฉันก็ emotional มากไปหน่อยค่ะ
    อย่างวันแรกที่กลับมา ฉันถึงกับนอนไม่หลับ หลังจากไม่ได้เกิดอาการแบบนี้มากว่า 2 เดือน
    ฉันคิดว่า อาการที่อาจจะเป็นโรคซึมเศร้าของฉันกำลังแย่ลงอีกครั้ง

    ฉันก็ยังคงไม่ได้ไปหาหมอค่ะ
    หลังจากที่ตั้งเป้าว่า จะอยู่แค่ปีเดียว ทำให้ฉันเลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่านกับอนาคตของตัวเอง
    โฟกัสกับงานได้มากขึ้น และ ความเหนื่อยจากการทำงานหนัก (มาก) ก็ทำให้ฉันหลับได้ดีขึ้น
    แต่หลังจาก เหตุการณ์นี้ ฉันคงต้องคิดเรื่องไปหาหมอจริงจังสักที

    คุณผู้อ่านเองก็อย่าลืมดูแลจิตใจของตัวเองนะคะ ;-)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in