เมื่อยายรู้ว่าเราโผล่เข้าไปในห้องผู้ป่วยห้องพิเศษในช่วงเที่ยงวันอังคาร คำแรกที่ถามจึงเป็น “มาทำไม” แม้เสียงนั้นจะไม่ค่อยชัดเหมือนอย่างเก่า แต่ความโวยวายของยายก็ยังส่งออกมาชัดเจน ก็อยู่ๆ เล่นมากันในเวลางานแบบนี้
“มาหาแม่ไง” เราตอบเสียงสดใส เข้าไปจุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวาแบบที่ทำประจำ คิดแล้วเสียดายเหมือนกัน ช่วงที่ผ่านมา เราไม่ได้กอดจูบยายเป็นเดือนๆ เพราะกลัวตัวเองจะเอาเชื้อโรคโควิด-19 ที่อาจจะรับมาจากในเมืองแบบไม่รู้ตัวมาติดยาย
ไม่น่าคิดมากเลย ที่ผ่านมาน่าจะกอดจูบกันให้คุ้มๆ
ตอนนี้ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ลุง แม่ น้า เรา พ่อเรา
เราเข้าไปยืนข้างเตียง ลุงเรียกยายให้ลืมตามองเรา
ยายลืมตา แต่สายตายายไม่โฟกัส ยายตาลอยมองขึ้นไปบนเพดาน เหมือนควบคุมให้มองมาที่เราไม่ได้ เราพยายามเขย่งเก็งกอย ในเมื่อยายเอาตามามองเราไม่ได้ ก็เอาหน้าตัวเองไปให้อยู่ในสายตายายแทน เราจุ๊บยายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยายบ่นว่าเจ็บ เจ็บแผลที่เจาะปอด และคงจะเจ็บข้างในด้วย
ตั้งแต่ที่พวกเรารู้ว่ายายเป็นอะไร เราทั้งครอบครัวก็หลีกเลี่ยงการพูดชื่อโรคนั้นกันมากที่สุดไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่แค่ไม่พูดให้ยายรู้ แต่สำหรับเราเองมันคือการไม่อยากพูดถึงด้วยซ้ำ เพราะมันฟังดูร้ายแรงจนเหมือนเราจะรับไม่ไหว ไม่อยากยอมรับว่าเรากำลังเผชิญมันอยู่จริงๆ
เวลาพูดกันเอง ทั้งแม่ ทั้งลุง ทั้งน้า ก็จะใช้คำว่า “เป็น” คำเดียว เหมือนละคำหลังไปเสียอย่างนั้น วันที่เราไปคุยกับเพื่อนก็เหมือนกัน เราไม่พูดมันออกไปแม้แต่คำเดียว เรามีวิธีละคำ เลือกคำโน่นนี่นั่นมาใช้สารพัดสารพัน
ช่วงที่เรานั่งว่างๆ อยู่ในโรงพยาบาล ก็เลยนึกถึงเรื่องที่เคยเรียนในวิชาภาษาทัศนา ของภาควิชาภาษาศาสตร์ที่คณะขึ้นมา เรื่องมโนอุปลักษณ์ โดยที่ตอนฟังบรรยาย อาจารย์ผู้บรรยายให้กรณีตัวอย่างเป็นคำว่า “มะเร็ง” พลางคิดว่าคนเราต้องพูดถึงมันมากขนาดไหน ถึงได้มีวิจัยเรื่องนี้ได้เป็นเล่มๆ
คอนเซปต์ของมโนอุปลักษณ์คือการเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นนามธรรมกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่า ผ่านพื้นฐานความคิดของผู้ใช้ภาษา ในภาษาไทยมีการใช้มโนอุปลักษณ์เกี่ยวกับมะเร็งหลายอย่าง เช่น มะเร็งเป็นศัตรู มะเร็งเป็นเชื้อโรค มะเร็งเป็นวัชพืช และ มะเร็งเป็นเพื่อน
“หมอบอกว่ามันอยู่เป็นเพื่อนแม่มานานแล้ว” น้าชายบอกพวกเราแบบนั้น
จากที่พวกเราไม่เคยเชื่อว่าแม่จะเป็นมะเร็งได้ยังไง ทำไมที่ผ่านมาไม่เคยมีอาการ ทำไมเราถึงไม่เคยรู้ และมารู้เอาในวันที่เราแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว เราก็ได้รู้ความจริงที่ว่า มันคงอยู่กับแม่มานานเป็นสิบปี หรืออาจจะถึง 15 ปีด้วยซ้ำ ตามคำหมอบอก
ตอนแรกหมออีกคนหนึ่งบอกว่า เนื้อร้ายนี้เพิ่งเกิดไม่นาน ไม่กี่เดือน และมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นให้มันลุกลามเร็วมากๆ จนทำลายปอดไปข้างหนึ่ง เบียดหลอดลมจนตีบ เป็นอะไรแบบที่เรียกกันว่า “ระยะสุดท้าย”
แต่เราไม่เคยเข้าใจว่าอยู่ๆ มันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง แล้วยายเพิ่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อ 5 เดือนก่อน ระยะเวลา 5 เดือนมันจะเกิดแล้วพัฒนาไปเป็นระยะสุดท้ายได้เลยจริงๆ เหรอ แต่พวกเราก็ไม่มีใครมีความรู้ทางการแพทย์ทั้งนั้น จึงทำได้แค่สงสัยต่อไป
จนวันนี้หมออีกคนก็ได้บอกกับเราแบบนั้น “มันอยู่เป็นเพื่อนแม่มานานแล้ว” ก้อนมะเร็งซ่อนอยู่ข้างหลังปอด (น่าจะแปลว่าตอนที่มันยังไม่ลุกลาม ต่อให้เอ็กซเรย์ก็มองไม่เห็น) ทำให้หมอก็ไม่เคยรับรู้ถึงมัน รวมทั้งยายไม่มีอาการอะไรให้สงสัย เราไม่เคยตรวจหาโรคนี้จริงๆ จังๆ ก็เลยไม่เคยรู้ แต่ที่หมอใช้คำว่า “อยู่เป็นเพื่อน” ก็หมายถึงอยู่เป็นเพื่อนจริงๆ เพราะมันอยู่อย่างสงบ ยายไม่เคยเจ็บ ไม่เคยปวด มันไม่ได้ทำร้ายยายเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ยายมีแรง สดใส ไม่มีอาการที่ทำให้เรากังวลใจ
แม่เราพูดขึ้นว่า “จริงๆ นี่ก็ดีที่สุดแล้วเนอะ”
เราเห็นด้วย
เพราะพวกเราทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันมาตลอดในบ้านที่มียายเป็นแม่ของทุกคน ยายที่ทำกับข้าว ยายที่ทำสวน ยายที่ซักผ้า ตากผ้า ยายที่ทำทุกอย่าง
แม่บอกว่า ถ้าเรารู้ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ชีวิตพวกเราจะไม่เป็นแบบนี้เลย ทุกคนจะไม่ได้มีความสุขแบบนี้เลย
เราจะไม่ได้เติบโตมาแบบนี้เลย
ถ้าเรารู้ตั้งแต่สิบปีก่อน ยายต้องเจ็บและทรมานกับการรักษาสารพัด แม่ก็คงต้องหาเงินอีกไม่รู้เท่าไหร่เพื่อรักษายาย ต้องยอมเหนื่อยกับการเดินทางอีกไม่รู้เท่าไหร่เพื่อกลับบ้านมาอยู่กับยาย การงานของแม่ที่ก้าวหน้าอยู่ทุกวันนี้ ก็อาจไม่ได้เป็นแบบนี้ หากเราต้องรักษายาย
เราคงไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีความรัก มีความสุข ได้ใช้ชีวิตเต็มที่ ได้อยู่กับเพื่อนเท่าที่อยากอยู่ ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ทำกิจกรรม เข้าค่าย ไปเที่ยว มีความพร้อมเตรียมตัวจนได้เข้าคณะที่อยากเรียน เข้ามหาวิทยาลัยที่ดี ถ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมายายเราเป็นผู้ป่วย แล้วเราต้องรักษายาย
ทุกคนในครอบครัวจะเป็นทุกข์กับเรื่องนี้อีกไม่รู้เท่าไหร่ โดยเฉพาะตัวยายเอง ที่คงไม่ได้ทำอะไรแบบที่ทำในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งกินเวลาถึง 5 ปี ก่อนจะเริ่มติดเตียงเมื่อ 5 ปีก่อน
ยายมีความสุขในบ้านหลังนี้มาก พวกเราก็เหมือนกัน บ้านของเรามีองค์ประกอบทุกอย่างให้เรียกว่าบ้าน (in the sense of home) เสมอมา
และใช่ ถ้าเรารู้ก่อน บ้านคงไม่เป็นบ้านแบบนี้
เราเป็นพวกชอบคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว มันคือโชคชะตา และในโชคร้ายที่กำลังเผชิญอยู่นี้ พวกเราโชคดีที่สุดแล้ว
พวกเราได้อยู่ด้วยกันมาอย่างมีความสุขที่สุดตลอดชีวิตของเราแต่ละคน และมันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้
ตลอด 55 ปี ของลุง 51 ปี ของแม่ 48 ปี ของน้า และ 23 ปี ของเรา พวกเราได้อยู่กับ “แม่” โดยที่ “แม่” ได้เป็นแบบที่เราแต่ละคนเห็นผ่านสายตาของตัวเอง โดยไม่ต้องเป็นผู้ป่วยหนัก ไม่ต้องรับการรักษาที่ทรมาน
ถึงแม้ว่ามันจะน่าเศร้าตรงที่เราทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนี้ แต่คิดยังไง แบบนี้ก็ดีกว่าแน่ๆ
ยายอายุ 82 แล้ว เราก็รู้ ไม่วันไหนก็วันไหน ยายก็ต้องไป
การที่เจ้าโรคที่อยู่เป็นเพื่อนยายมานานยอมเผยตัวออกมาวันนี้ มันก็อาจจะแค่ถึงเวลาแล้วจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in