เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แนะนำไปเรื่อยFayathi Sorap
ภัยยุคใหม่ : โทรศัพท์ กับ จดหมาย
  •      ยุคนี้มีภัยให้รับมือกันหลายหลาก วันนี้เลยจะมาพูดถึงภัยจากคนสองรูปแบบ ทั้งที่ฟังมาจากรอบข้างบ้าง คนรอบตัวเจอเองบ้าง ไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ เผื่อใครอ่านเจอจะได้ระวังตัวเองกันให้จงหนัก 
         มุกแต่ละมุกของมิจฉาชีพช่างสร้างสรรค์ น่าเสียดาย มันเป็นการสร้างสรรค์ที่สรรค์สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

         วันนี้นำมาฝากสองเรื่องด้วยกัน  


         1. โทรศัพท์ 

         ใครตามข่าวคงจะเคยฟัง หรือไม่ อาจจะเคยเจอกับตัวเองบ้าง กับการที่มีสายแปลกๆโทรเข้ามาอ้างเหตุต่างๆนานา เพื่อหาประโยชน์จากเรา
         ใช่ค่ะ มันคือสิ่งที่สมัยนี้เรียกว่า "แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์"

         รูปแบบก็คือ วันร้ายคืนร้าย เหยื่อจะได้รับโทรศัพท์จากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตา เมื่อรับสายแล้ว บางทีก็เป็นเสียงคน บางทีก็เป็นเสียงอัติโนมัติ(เวรเอ๊ย จะหลอกเขาแล้วยังไม่ลงแรงอีก) ประมาณว่า "สวัสดีค่ะ คุณ...." คำในช่องว่างก็เช่น มีพัสดุที่โดนกักไว้, ผู้ต้องสงสัยว่าไปพัวพันกับแก๊งค้ายาเสพติด, มีการอายัดบัญชีจากความผิดพลาด ฯลฯ แล้วจะมีการโอนสายให้ใคร(ไอ้เวร)สักคนมากดดันต่อว่า ถ้าไม่เชื่อเดือดร้อนแน่
         พอเหยื่อเริ่มตกใจสติแตก มันก็ล่อลวงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง ดังนี้ 
         - หลอกถามข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน รหัสOTP ฯลฯ  หรือ
         - หลอกให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีใดบัญชีีหนึ่ง ซึ่งก็คือบัญชีของพวกมันนั่นแหละ 

         ซึ่งจุดหมายปลายทางของการหลงเชื่อและทำตาม ถ้าไม่เป็นหนี้ เพราะโจรเอาข้อมูลเหยื่อไปสมัครบัตรเครดิตโน่นนี่นั่น ก็เป็นผู้ต้องสงสัย เพราะเอาข้อมูลเหยื่อไปประกอบการกระทำความผิดของตนและพวกพ้อง หรือไม่ก็โดนเชิดเงินแล้วหายเข้ากลีบเมฆไปเลย 

         จะว่าไปก็นับเป็นโชคดีที่มีข่าวพวกนี้บ่อยขึ้น คนจึงเริ่มจับทางได้ และแกล้งมิจฉาชีพกลับไป แต่ก็อย่าย่ามใจ คนบางคนมันทำเลวเก่ง เราต้องตั้งการ์ดอย่างสม่ำเสมอ 

         ข้อควรตระหนักก็คือว่า เมื่อไหร่ที่คุณได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกๆ แล้วก็อ้างถ้อยคำแปลกๆ โดยมีใจความสำคัญในการขอเงินหรือขอข้อมูลส่วนบุคคล
         อย่าได้ตกใจ คล้อยตาม และทำตามที่พวกมันบอกเป็นอันขาด!!!

         ถ้ามันอ้างว่ามาจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง วางสายแล้วติดต่อไปยังหน่วยงานนั้นโดยตรง จะเดินเข้าไปถามเอง(อารมณ์แบบบ้านอยู่ใกล้ธนาคาร อะไรเงี้ย) เช็คในเว็บไซต์ที่ถูกต้องและแท้จริงของหน่วยงานนั้น หรือต่อสายตรงเข้าไปถามหน่วยงานต่างๆเลยก็ได้ 
         ...เท่าที่สังเกต เวลามีอะไร เขาไม่โทรมาหรอก 
         ถ้าอ้างเป็นตำรวจยิ่งเชื่อไม่ได้ โปรดจำไว้ว่าเวลาตำรวจสืบคดีและต้องการข้อมูล เขาจะใช้วิธีส่งจดหมาย เพราะมันมีหลักฐานเก็บเข้าสำนวนได้ โทรศัพท์มันเก็บหลักฐานไม่ได้ 
         อ่อ เทคนิคล่าสุด อ้างเป็นคนในครอบครัวเพื่อขอเงิน อันนี้น่าจะตรวจสอบยาก แต่อย่าเพิ่งผลีผลามโอนเงินให้มันเชียวนะ หายใจลึกๆแล้วปรึกษาคนรอบข้างหรือตำรวจก่อน

         อีกประการหนึ่ง คุณต้องจำให้แม่นว่าข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลตามบัตรประชาชน, รหัสหลังบัตรประชาชน, รหัสหลังบัตรเครดิต, เบอร์โทรศัพท์ และ รหัสOTP 
         ห้ามบอกใครสุ่มสี่สุ่มห้า
         ยิ่ง OTP เนี่ยห้ามเลย ข่าวออกคึกโครมว่าโจรเอารหัสOTP ไปใช้สูบเงินจากบัญชีธนาคารของเหยื่อไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ 

         เพราะงั้น เจอพวกแปลกๆโทรมา วางสายไปเลย

         จริงๆเราว่าจะรวบรวมพวกเบอร์มิจฉาชีพที่ตัวเองและที่บ้านเคยรับสายมาแปะไว้ให้นะ แต่กว่าจะนึกได้ เบอร์พวกนั้นก็ไม่รู้หายไปไหนละ 
         ระวังไว้ละกันนะคะ 


         2. จดหมาย 
     
         ขอเล่าเรื่องแทนการอธิบายละกัน 
     
         กาลครั้งหนึ่ง ผ่านมาไม่เกินสัปดาห์ ตอนเช้าของวันๆหนึ่ง ป้า(พี่สาวแม่)เราซึ่งอยู่คอนโดฯลงไปกล่องไปรษณีย์ (ที่คอนโดทั่วไปจะมีกล่องสำหรับให้คนส่งไปรษณีย์มาส่งจดหมายที่ไม่จำต้องมีผู้ลงชื่อรับค่ะ) แล้วพบไปรษณียบัตรใบหนึ่ง ระบุว่ามีพัสดุที่ไม่มีผู้รับ หากอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมให้แอ๊ดไลน์ตาม QR Code ที่ให้...
         ด้วยความตกใจ(ป้าเป็นคนขี้กลัวและตกใจง่ายอยู่แล้วเป็นทุนเดิม) ป้าจึงโทรมาหาแม่แล้วเล่าให้ฟัง

         แม่ : คอนโดฯมีนิติบุคคลคอยรับจดหมายลงทะเบียนอยู่แล้ว จะไม่มีคนรับได้ยังไง? 
         ป้ายังคงละล่ำละลักอย่างไม่ได้สติต่อไป แม่เลยบอกให้ดูซิว่า สาเหตุที่ส่งไม่ได้คืออะไร (ปกติเนี่ย เวลาแจ้งว่าจดหมายส่งไม่ได้ ไปรษณีย์จะแจ้งสาเหตุให้ทราบในหนังสือแจ้ง เช่น ไม่มีผู้รับ อะไรแบบนี้) 

         ป้า : ไม่เห็นบอกสาเหตุเลย 
         แม่ให้ป้าถ่ายรูปไปรษณียบัตรใบนั้นแล้วส่งมาให้ดู และบอกป้าให้โทรไปถามที่ไปรษณีย์โดยตรง หรือ โทรไปถามคนส่งไปรษณีย์ที่รู้จักกันว่า มีจดหมายจากอีนายอะไรที่ลงชื่อมาในไปรษณียบัตรแผ่นนี้ ค้างอยู่ที่ไปรษณีย์จริงหรือเปล่า 

         ระหว่างที่ป้ากำลังหาทางติดต่อไปรษณีย์ไทย แม่เอารูปที่ป้าส่งให้มาดู แล้วเอาโลโก้ไปเทียบกับโลโก้ไปรษณีย์ไทย พบว่า 
         โลโก้ไม่เหมือนกัน

         สุดท้ายแม่เลยโทรไปบอกป้าว่า ไม่ต้องไปใส่ใจ น่าจะไม่ใช่ของจริง 

         พอแม่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เราเลยคิดว่า มันคือกลยุทธ์ใหม่ของมิจฉาชีพ ที่แสร้งเป็นไปรษณีย์ให้เหยื่อติดต่อไปหา แล้วถ้าใครหลงกลคงจะขอข้อมูลหรือขอเงิน แล้วสุดท้ายก็เชิดเงินหนีไป แน่ๆเลย

         ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าป้าบ้าจี้ไปแอ๊ดไลน์มัน จะโดนหลอกอะไรมั้ย แต่ก็ดีแล้วล่ะที่รอดปากเสือปากจระเข้มาได้



         ยุคนี้คนที่ฉลาดในการเอาเปรียบคนอื่นเพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เราต้องมีสติรู้เท่าทันคนเหล่านี้ เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อพวกมัน 

         แล้วคนที่ทำมาหากินจากความเดือดร้อนของผู้อื่นนั้นน่ะ ระวังนะ ทางพุทธศาสนากล่าวว่า ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น นอกจากทำชั่วจะตกนรกแล้ว พอกลับมาเกิดเป็นคน(ถ้าโชคดีได้เกิดเป็นคนน่ะนะ) ก็จะโดนหลอกบ้าง อีกด้วย 
         จะไม่โดนก็เห็นจะลำบาก เพราะสิ่งใดก็ตามที่ใช้เพื่อทำให้คนอื่นเดือดร้อนจะด้อยลง เอาปัญญาไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน วันหนึ่งปัญญาก็จะด้อยเข้าบ้าง พอปัญญาด้อยเลยตามคนอื่นเขาไม่ทัน ก็เอวัง 

         ส่วนใครเสียรู้มิจฉาชีพไปแล้ว นอกจากการนำมาบอกเล่าเพื่อเตือนภัยเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไป แนะนำให้ดำเนินการทางกฎหมายค่ะ อย่าปล่อยให้คนพวกนี้ลอยนวล และหากโชคดีคุณอาจจะได้เงินคืน 
         เมื่อศาลตัดสินให้จำเลย(มิจฉาชีพ)ชดใช้ค่าเสียหายแก่คุณ ถ้าพวกนั้นมีเงินคืนจริง("ถ้ามี" น่ะนะ) นอกจากเงินที่เสียไป พวกโจรยังต้องให้ดอกเบี้ยคุณด้วยแน่ะ
         แต่หากดำเนินการถึงที่สุดแล้วยังไม่ได้อะไรกลับมา ก็คิดเสียว่า ชาติก่อนเราไปโกงเขามา ชาตินี้จึงต้องใช้หนี้้เขาไป รู้ค่ะว่าการปลงมันยาก แต่ถ้าปลงได้จริง คุณจะออกจากบ่วงเวรตรงนี้ แล้วปล่อยโจรตัวดีไปผจญชะตากรรมของการหลอกลวงเอาเอง เราไม่ได้อภัยเพื่อปล่อยโจรพ้นผิดนะคะ เราอภัยเพื่อปล่อยตัวเราเองจากความเคียดแค้นต่างหาก เราโดนเอาเงินไปแล้ว ยังต้องมาทุกข์ใจอีก มันไม่ยุติธรรมกับเราเลยค่ะ (นี่เขียนตามหลักพุทธศาสนา เขียนไปก็แบบ เอ๊ยย ฉันก็อยากอภัยให้เป็นเหมือนกันแต่ยังทำไม่ได้ เอิ้กก // ยอมรับตรงนี้เลยว่ายังกิเลสหนาอยู่)


         แต่หากเป็นไปได้ ก็ระวังตัวกันไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่มาเสียใจและเสียดายภายหลังนะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน ค่ะ


         ด้วยความปรารถนาดีจาก...ยายคนเขียน 


         สวัสดีค่ะ 
         

         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่

         https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html

         ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
         จนกว่าจะพบกันใหม่
         สวัสดีค่ะ

         

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in