แปดปีก่อน...
เด็กชายที่ดูเหมือนเพิ่งพ้นวัยเด็กมาหมาดๆนั่งกอดเข่าแน่นอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผมสีดำขลับกระเซอะกระเซิง ร่างกายผอมเกร็งเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ร่องรอยบาดแผลเก่าที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจนกลายเป็นรอยแผลเป็นกระจายไปทั่วร่างกายส่วนที่พ้นออกมาจากผ้าพันแผลสีขาวสะอาดดวงตาดำสนิทคอยแต่จะกวาดไปมาอย่างระแวดระวัง รอยคล้ำจัดบริเวณใต้ตาบ่งบอกถึงอาการอดนอนอย่างรุนแรงแต่สายตาแข็งกร้าวกลับส่งผ่านไปยังช่องกระจกชนิดพิเศษที่อยู่ตรงประตูบ่อยครั้ง
“เขามองไม่เห็นเราใช่มั๊ย” เสียงนุ่มเอ่ยถามทั้งที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของจินยองยังคงจับจ้องอาการของคนที่อยู่ในห้องโดยไม่ละสายตา
“ไม่เห็น แต่คงจะรู้สึก น่าจะเป็นผลของการฝึก” เสียงทุ้มตอบกลับมาจากเพื่อนสนิทดวงตาคมกริบที่มีไฝเหนือตาซ้ายสองเม็ดโดดเด่นจ้องมองไปยังจุดเดียวกัน “รุ่นพี่ฉันเก็บเด็กนั่นมาได้ตอนไปทลายรังใหญ่ของแบล็คสตาร์ ตอนที่ไปเจอ เด็กถูกมัดไว้กับต้นไม้กลางป่าท่าทางจะอยู่แบบนั้นมาสองสามวันแล้ว ร่อแร่เต็มที เค้าก็เลยพากลับมาด้วยพอฟื้นก็อาละวาดซะจนใครก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายก็เลยส่งมาที่นี่.. นายคิดว่าไง”
“พูดยาก ถ้าแค่เคยผ่านการฝึกก็อาจจะพอช่วยได้ แต่ถ้าใจรักการฆ่าไปแล้วฉันไม่อยากยุ่ง” น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด
“เฮ้ออ ถ้าขนาดนายยังช่วยไม่ได้ ก็คงไม่มีใครทำได้ล่ะนะคงต้องส่งตัวให้กองทัพ น่าเสียดายแฮะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ อีกอย่างเด็กนั่นก็สะอาดด้วย” น้ำเสียงเพื่อนสนิทใส่อารมณ์ตัดพ้ออย่างเห็นได้ชัดจนน่าหมั่นไส้ทำเอาดวงตาเรียวเหล่ใส่พร้อมพ่นลมหายใจเบาๆ
“นายรู้ได้ไงว่าเด็กนั่นสะอาด แบล็คสตาร์ขึ้นชื่อเรื่องใช้เด็กลอบฆ่าคน”ชายหนุ่มขัดขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น
“รอยสักไง นักฆ่าของแบล็คสตาร์จะสักถมแฉกที่ล้อมรอบดาวจนกลายเป็นสีดำทุกครั้งที่ฆ่าคนได้แต่ของเด็กคนนั้นว่างเปล่า มีแค่รอยสักเริ่มต้น” จินยองหันมามองเพื่อนอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตาคู่สวยเต็มไปด้วยแววสงสัย
“เชื่อฉันเถอะน่าฉันทดสอบมาแล้วก่อนพามาหานาย เด็กนั่นน่ะแข็งนอกอ่อนใน อาละวาดแต่กับคนที่เข้าใกล้แต่พอเห็นสัตว์เล็กๆ ก็ท่าทีอ่อนยวบไปเลย น่าจะเพราะใจอ่อนละมั้งก็เลยโดนลงโทษไปมัดไว้กลางป่าแบบนั้น พละกำลัง เซ้นส์ กับทักษะของพวกนั้นมันฝึกกันได้ แต่จิตใจที่อ่อนโยนที่เกิดท่ามกลางการฝึกโหดๆ พวกนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ฝึกได้แน่นอน เด็กนั่นควรได้โอกาสเริ่มต้นใหม่” เจบีสบตาเพื่อนสนิทเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง จินยองสบตาเพื่อนชั่วครู่แล้วจึงถอนหายใจอย่างยอมจำนน
“ก็ได้ ฉันจะลองดู.. ”
.
.
.
เสียงกดรหัสปลดล็อกดังขึ้นหน้าประตู ร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงสะดุ้งเล็กน้อย อ้อมแขนที่กอดเข่าไว้แน่นค่อยๆ คลายออกมือขวาเลื่อนลงไปกำโลหะเย็นเยียบที่ซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าห่ม ดวงตาจับจ้องประตูที่กำลังแง้มเปิดออกผ่านเส้นผมรุงรังที่ปรกหน้าตา ในใจนึกถึงโอกาสในการหลบหนีที่กำลังใกล้เข้ามาแม้ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลสักแค่ไหนเพราะกล้ามเนื้อทั่วร่างเล็กกำลังประท้วงด้วยความปวดร้าวจากการฝืนตัวเองมานานหลายวันบวกกับพิษไข้ที่รุมเร้าทว่าคนที่เดินเข้าประตูมากลับไม่ใช่หมอพร้อมการ์ดอาวุธครบมืออย่างที่เคย แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนในชุดลำลอง
“ถ้านายเอาส้อมนั่นจิ้มคอเพื่อนฉันล่ะก็นายได้หมดโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันแน่ ไอ้หนู” เสียงทุ้มปรามอย่างรู้ทัน แววตาแข็งกร้าวของเด็กน้อยเหลือบมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจมือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มปล่อยส้อมโลหะที่แอบซ่อนไว้ ใบหน้าคนที่ตามมาด้านหลังเขาเคยเห็นผ่านตาสองสามครั้งระหว่างที่ถูกส่งตัวไปๆมาๆ หลายที่หลังจากถูกจับ แต่คนที่อยู่ด้านหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดูท่าทางใจดี อ่อนโยน สร้างออร่าชวนให้สงบใจแปลกๆ
ระหว่างที่เด็กน้อยกำลังจ้องใบหน้าของจินยองอย่างเผลอไผลทันใดนั้น ชายที่อยู่ข้างหลังก็อ้อมมาด้านหน้าแล้วยื่นมือเข้ามาใกล้ เด็กชายสะดุ้งแล้วกระถดตัวถอยกรูดไปจนติดผนังข้างเตียง กล้ามเนื้อทุกส่วนกระตุกเกร็งด้วยสัญชาตญาณระวังภัยมือคว้าส้อมโลหะที่อยู่ใต้ผ้าห่มขึ้นชี้เพื่อข่มขู่
“แค่จะบอกว่าเอาส้อมนั่นมาให้ฉันแล้วคุยกันดีๆ” น้ำเสียงทุ้มไม่ได้มีแววข่มขู่หรือกดดัน ชายหนุ่มเพียงแค่ยื่นมือรออย่างใจเย็นแต่ภายใต้ท่าทางสบายๆ นั้นเด็กน้อยกลับไม่เห็นช่องโหว่มากพอที่จะโจมตี คนที่รออยู่ข้างหลังก็ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่แพ้กันต่างจากคนอื่นๆ ที่เข้ามาใกล้เขาด้วยอาการหวาดกลัว ระวังตัวเต็มที่หรือไม่ก็มีการ์ดพร้อมอาวุธครบมือ จนเขาชักสงสัยว่าสองคนนี้เป็นใครกันแน่
เมื่อสังเกตุสถานการณ์รอบตัวจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรแอบแฝงชายทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทีเร่งรีบ หรือกดดันให้เขาปลดอาวุธ เพียงแค่รออยู่เฉยๆ เด็กชายจึงตัดสินใจส่งอาวุธชิ้นเดียวในมือให้เพื่อดูว่าทั้งสองคนจะทำอะไรต่อไป เจบีรับส้อมไปแล้วเดินกลับไปยืนรออยู่ด้านหลังชายอีกคนที่กำลังก้าวเข้ามานั่งลงที่ปลายเตียงเด็กชายถอยห่างออกไปชิดผนังตรงหัวเตียง ยกมือขึ้นกอดเข่าแล้วซ่อนใบหน้าไว้หลังเข่ากับผมหน้าม้าที่รกรุงรัง
“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย ฉันมีไอ้นี่”เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วดึงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาโชว์ให้เด็กน้อยเห็นว่าเป็นรีโมทสีดำขนาดเล็กใบหน้าหลังเข่าแกร็นนั้นพยักหน้าช้าๆ ว่ารับรู้ นี่เองสาเหตุของท่าทีสบายๆ ของชายคนนี้ รีโมทของโรงพยาบาลที่ใช้ควบคุมปลอกข้อมือข้อเท้าที่เด็กน้อยสวมอยู่กดแค่กริ๊กเดียวร่างกายเขาจะถูกตรึงลงกับเตียงทันที ภายใต้ท่าทีที่อ่อนโยนนั้น ไม่ได้มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย
จินยองยิ้มอย่างพอใจแล้วใส่รีโมทกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงช้าๆ ให้เห็นได้ชัดเจนเสร็จแล้วก็ชูมือว่างเปล่าทั้งสองข้างให้เด็กน้อยเห็น “ฉันจะไม่ทำร้ายนายถ้านายไม่ทำร้ายฉัน เราจะคุยกันดีๆ ตกลงนะ” เด็กชายพยักหน้ารับอีกครั้ง
“ฉันชื่อจินยอง นั่นเจบี แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร..”
ชื่อ.. ไม่เคยมีใครถามชื่อเขามาก่อนในองค์กรเขาถูกเรียกแทนตัวด้วยรหัสลับตั้งแต่จำความได้ความทรงจำเดียวที่เขาพยายามเกาะเกี่ยวเอาไว้ คือเสียงผู้หญิงเรียกชื่อใครบางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเด็กน้อยมั่นใจว่านั่นคือชื่อของเขาที่เขาไม่เคยบอกใคร แต่เมื่ออ้าปากเพื่อจะออกเสียงชื่อนั้นเป็นครั้งแรกความรู้สึกกลับเหมือนเขื่อนบางอย่างที่อยู่ในใจกำลังร้าวและปริแตกน้ำตาที่ไม่เคยไหลแม้จะผ่านการฝึกหนักแค่ไหนตั้งแต่จำความได้ เอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตา
“ยะ.. ยะ.. ยูคยอม” เสียงที่เปล่งออกมาในท้ายที่สุดพร้อมกับน้ำตาเม็ดโตที่ถูกปล่อยให้ร่วงหล่น เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่สองคนนี้เข้ามา เขากลับได้รับความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยตลอดชีวิต
“ยูคยอม.. ฉันกับเจบีอยากช่วยนาย แต่ว่านายก็ต้องช่วยพวกเราด้วยเหมือนกันถ้านายอยากออกไปจากที่นี่ นายต้องเชื่อฟังฉัน ส่วนฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนายได้อีก นายจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ตกลงรึเปล่า” เสียงนุ่มพูดช้าๆ ชัดเจนแต่น้ำเสียงมีความเด็ดขาดและมั่นคง
“อื้ม” คำตอบรับสั้นๆ ที่เหมือนเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ร่างเล็กรู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างค่อยๆ ผ่อนคลาย เกราะหนาที่สร้างเอาไว้ตั้งแต่ถูกจับได้ค่อยๆเบาบางลง ความรู้สึกร้อนรุ่มและง่วงงุนเริ่มเข้ามาแทนที่ ร่างผอมเกร็งนั้นเริ่มโงนเงนไปมา
“เจบี นายออกไปได้แล้ว ส่วนยูคยอมนอนซะฉันจะรออยู่ตรงนี้จนกว่านายจะตื่น ไม่มีใครทำร้ายนายได้แน่นอน” สิ้นเสียงนุ่มของจินยอง ร่างผอมเกร็งของเด็กชายก็ขดตัวกลมดำดิ่งลงสู่นิทราใต้ผ้าห่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน...
.
.
.
.
.
.
เจียเออร์
เจียเออร์ อย่าไป..
ใครน่ะ.. เสียงใคร..
เจียเออร์
กลับมา..
เสียงนั่น.. แบมแบม..
เจียเออร์
เจียเออร์!!!!
“แบมแบม!!"
ร่างของชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งในความมืดลมหายใจกระชั้นถี่ เสียงที่ตัวเองเพิ่งตะโกนออกมายังก้องอยู่ในหู เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมขึ้นตามไรผมทั้งที่อยู่ในห้องปรับอากาศความอึดอัดแบบเดิมๆ ยังคงอัดแน่นในอก เพียงแต่ครั้งนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป
แจ็คสันยกมือขึ้นคลึงกลางอกตัวเองเบาๆเพื่อคลายความอึดอัด สายตาเหลือบมองเวลาที่หัวเตียงพบว่าเขาตื่นก่อนเวลาไปครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนท่ามกลางความมืดถึงแม้นอกหน้าต่างจะเริ่มเห็นแสงรำไรแล้วก็ตาม แต่เขาไม่มีอารมณ์อยากลุกขึ้นสักเท่าไหร่ความฝันสีขาวที่เขาคุ้นเคยยังคงวนเวียน ต่างจากปกติที่มักจะหายไปทันทีเมื่อเขาตื่นเหมือนน้ำที่ไหลออกจากฝ่ามือ
เสียงที่เขาเคยพยายามจดจำนับพันนับหมื่นครั้งแต่กลับไม่เคยจำได้ทุกทีที่ลืมตา มาวันนี้ เสียงนั้นซ้อนกันอย่างพอเหมาะพอเจาะกับใครบางคนที่เขาเพิ่งได้ใช้เวลาร่วมกันมันอาจจะเป็นความบังเอิญ หรืออาจจะเป็นเพราะเขากำลังเป็นห่วงเด็กน้อยมากเกินไป เสียงของแบมแบมจึงเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึกเขาและผนวกรวมเข้ากับความฝันสีขาวของเขาเอง คือคำตอบที่เขาสามารถให้กับตัวเองได้ในตอนนี้
.
.
.
.
.
.
ประตูหนาหนักของแผนกลาดตระเวนเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบเชียบแจ็คสันกวาดตามองคนที่อยู่รายล้อมโต๊ะประชุมตัวใหญ่แล้วก้มหัวทักทาย บรรยากาศในห้องค่อนข้างตึงเครียดผิดไปจากที่เคยยูคยอมที่ทำหน้าที่ประกบติดเขาตามสัญญาก้าวเดินเข้าไปนั่งประจำที่ของตัวเอง จินยองสังเกตุเห็นสภาพจิตใจของยูคยอมที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานจึงยิ้มให้แจ็คสันบางๆด้วยความพอใจ
“มากันครบแล้วสินะ” เสียงบ๊อบบี้ที่อาวุโสสุดในห้องเอ่ยแผนกลาดตระเวนในห้องขาดไปเพียงลิซ่ากับออสริคที่เป็นเวรลาดตระเวนของวันนี้
“นั่งลงสิแจ็คสัน เล่ามาสิเรื่องเป็นมายังไงกันแน่” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนผายมือให้เขานั่งลงด้วยความสงบนิ่งเกินคาด ชายหนุ่มเดินไปยืนประจำที่แต่ไม่ได้นั่งลงเขามองกวาดไปรอบๆ เพื่อสบตากับทุกคนก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่เขาคิดมาตั้งแต่เมื่อวาน
“ผมคิดว่าในสถาบันเรามีหนอนบ่อนไส้” แจ็คสันโพล่งประเด็นที่ตัวเองคิดไปตรงๆ จนเกิดเสียงกระแอมไอดังขึ้นหลายเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ระวังคำพูดหน่อยไอ้หนู” บ๊อบบี้เอ่ยเตือนเสียงเข้ม แต่ยักคิ้วส่งสัญญานให้แจ็คสันเห็นกล้องวงจรปิดที่ถูกติดตั้งขึ้นใหม่ในแผนกลาดตระเวนแจ็คสันย่นคิ้วเป็นเชิงถาม นิ้วของบ๊อบบี้เคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะโดยไม่มีเสียง //FAKEIT// แจ็คสันสังเกตุเห็นและเข้าใจรหัสที่บ๊อบบี้ส่งให้จึงพยักหน้าเล็กๆทันที
“ขอโทษครับ ผมคงใจร้อนแล้วก็โมโหมากไปหน่อยก็เลยด่วนตัดสิน” แจ็คสันก้มหัวขอโทษแล้วจึงนั่งลง การประชุมผ่านไปด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเว้นข้อมูลสำคัญบางอย่างทุกคนร่วมกันออกความเห็นและสรุปที่ดูเหมือนจริงจัง แต่แค่มองตากันก็รู้ว่าข้อมูลที่ออกมาในตอนนี้นั้นเป็นเพียงแค่หน้าฉากอารมณ์ตึงเครียดแบบหลอกๆ ลอยวนอยู่หน้ากล้องวงจรปิดตัวใหม่
“แจ็คสัน ยูคยอม ไปแผนกไอทีกับฉัน ส่วนคนอื่น แยกย้ายได้” เจบีออกคำสั่งเมื่อจบการประชุมแล้วเดินนำลิ่วออกจากห้องไปโดยมี ยูคยอม แจ็คสัน และยองแจตามไปไม่ห่างนัก
เมื่อทุกคนมาถึงแผนกไอที ยองแจส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ส่วนเจ้าตัวเดินไปคว้าโน๊ตบุ๊คที่ดูเก่าคร่ำครึออกมาจากล็อคเกอร์ส่วนตัวแล้วเสียบสายต่างๆ ในห้องต่อพ่วงเข้าไป เพียงชั่วอึดใจที่แฮ็คเกอร์หนุ่มรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดสัญลักษณ์โอเคก็ชูขึ้นมา
“ห้องนี้เคลียร์ครับฮยอง โฮ๊ยยยยยยยยยยย อึดอัดชะมัดยาดเลยให้ตายสิ” ยองแจส่งเสียงดังเหมือนไม่ได้พูดมาสามวันตามด้วยเสียงหักข้อนิ้วดังกร๊อบแกร๊บรัวๆคนที่เหลือจึงผ่อนคลายท่าทีลง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับฮยอง” แจ็คสันสะกิดถามหัวหน้า
“ก็อย่างที่นายว่า เกลือเป็นหนอน” เจบีตอบแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะใหญ่กลางห้องตามด้วยยูคยอม
“ไม่ใช่หนอนธรรมดานะ หนอนยักษ์ซะด้วย”ยองแจหยิบริสแบนด์อันใหม่ส่งให้แจ็คสัน แล้วแจกเอียร์ปลั๊กสีดำที่มีสัญลักษณ์คล้ายเลข3 เป็นเหลี่ยมๆ สีเงินตรงกลางให้กับทุกคน
“หนอนยักษ์??” แจ็คสันสวมริสแบนด์กับเอียร์ปลั๊กแล้วนั่งลงเป็นคนสุดท้ายพอดีกับเสียงประตูแผนกเปิดออกดังขึ้น ทุกคนชะงักเล็กน้อยแล้วจึงเห็นว่าเป็นจินยองที่เดินเข้ามา หัวหน้าแผนกวิจัยรับเอียร์ปลั๊กไปสวมแล้วลงนั่งล้อมวง
“ก็สั่งติดตั้งกล้องในแผนกลาดตระเวนโดยไม่ผ่านเจบีฮยองได้ แถมยังเปิดกรงของแบมแบมได้อีกถ้าไม่ใหญ่ก็คงทำไม่ได้แน่ โย่ๆ โหลๆ เทสทุกคนได้ยินรึเปล่า!!” ยองแจอธิบายแล้วจบด้วยการเทสเอียร์ปลั๊กอันใหม่ทำเอาทุกคนนิ่วหน้ากับเสียงที่ดังก้องในหู
“อีตาบ้ายองงแจ!! ถ้าฉันไม่ได้อยู่ในป่าฉันจะเอาแส้ฟาดนาย!! หูฉันจะหนวกก็เพราะนายนั่นแหละ” เสียงลิซ่าตอบกลับมาตามด้วยเสียงบ่นงึมงำของใครบางคนบวกกับเสียงด่าของบ๊อบบี้
“ฮ่าๆๆ เพิ่งรู้ว่าเจ๊ชอบแนวซาดิสม์นะเนี่ย ทุกคนพร้อมกันแล้วสินะผมเข้ารหัสล็อคการสนทนาเรียบร้อย โอเคเริ่มเลยคร้าบฮยองงง” แต่เจบีพยักหน้าให้แจ็คสันเป็นคนเริ่ม
“วันนั้นผมรู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ ก็เลยจะแวะเข้าไปหาแบมแบม.. เอ่อแค่แวะไปดูเฉยๆ นะฮะไม่ได้จะไปรบกวน”แจ็คสันแก้ตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาคมกริบของเจบีเหล่มาเบาๆ
“แต่พอไปถึงก็ได้ยินเสียงแบมแบมร้อง ผมเลยรีบวิ่งไปดู เห็นกรงเปิดอยู่ผู้ชายชุดดำสองคน กำลังทำอะไรบางอย่างกับแบมแบม ผมก็เลยเข้าไปช่วย สองคนนั่นสวมไอ้โม่งแต่อุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้เป็นของสถาบันแน่นอน ผมจำได้ พวกมันมีกระเป๋าสีเงินใบเล็กๆใส่อะไรบางอย่าง ผมพยายามแย่งมาแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ โดนปืนเลเซอร์เข้าไปจนสลบ โชคดีที่พวกมันไม่ฆ่าแต่ปล่อยผมไว้ในกรง คงตั้งใจจะให้แบมแบมจัดการ ตื่นเช้ามาก็ออกไม่ได้แล้วครับจนกระทั่งพวกจินยองฮยองมาตาม”
“ตอนที่ผมเช็ควงจรปิดเพื่อตามหาเฮีย มันมีอะไรแปลกๆไฟล์ที่เกี่ยวข้องถูกลบออกจากระบบแบบถาวร ซึ่งเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คำสั่งผมหรือข้างบนจัดการโดยตรง ผมลองย้อนเช็คประวัติการเปิดกรง ก็ไม่มีประวัติของคนอื่นนอกจากเจบีกับจินยองฮยองแต่ผมเช็คแบ็คอัพแล้ว ปรากฎว่ามีร่องรอยการลบประวัติการเข้าใช้งานอยู่หลายครั้งในรอบสองสามปีที่ผ่านมาและทุกครั้งจะมีการลบไฟล์จากกล้องวงจรปิดในเวลาใกล้เคียงกันด้วย”ยองแจเสริมข้อมูลในส่วนของตัวเอง
ปึ๊ง!!!! เสียงทุบโต๊ะจนสะเทือนดังมาจากหัวหน้าแผนกลาดตระเวนเมื่อสิ้นเสียงของยองแจหมัดของเจบีกำแน่นเพื่อระงับอารมณ์
“แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบมแบมถูกทำร้าย เจ็บใจนัก!!แผนกลาดตระเวนคุ้มครองแองเจิ้ลส์ในป่ากันทั้งวันทั้งคืนแต่แองเจิ้ลส์ในสถาบันที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมกลับโดนทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า!” คิ้วหนาขมวดมุ่น สันกรามของเจบีขบกันจนเส้นเลือดนูนเด่น ปลายคางยื่นออกมาอย่างขัดใจ
“ว่าแต่ทำไม แบมแบมไม่เคยบอกอะไรพวกฮยองเลยล่ะฮะ” ยูคยอมเอ่ยถามขึ้นมาซื่อๆ“เขาไม่คุยกับคนอื่นก็จริง แต่ก็คุยกับพวกฮยองนี่นา”
“แบมแบมคงไม่อยากให้พวกฮยองเดือดร้อน เฮียว่าแบมแบมเข้าใจ ว่าถ้าตัวเองทำอะไรไปเจบีกับจินยองฮยองจะเดือนร้อนน่ะ” แจ็คสันตอบยูคยอม เจบีกับจินยองหันมามองชายหนุ่มพร้อมกัน
“นายรู้ได้ยังไง” เจบีอดถามไม่ได้ เพราะแองเจิ้ลส์น้อยไม่เคยแสดงออกแบบนั้นต่อหน้าเขา
“ก็ตอนที่ผมพยายามแกะปลอกคอนั่น แบมแบมห้ามผมเอาไว้ แล้วก็จากท่าทางแล้วไม่ใช่เพราะเจ็บด้วย” รอยยิ้มเศร้าของแองเจิ้ลส์น้อยผุดขึ้นในความคิดของชายหนุ่ม“ถ้าเด็กคนนั้นอยากเป็นอิสระ ผมว่าปลอกคอนั่นก็ไม่น่าจะเอาอยู่ แต่ที่เค้ายอมอยู่น่าจะเพื่อฮยองทั้งสองคน” เจบีกับจินยองสบตากันในความเงียบ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจดีว่าอีกคนรู้สึกเช่นไร
“หึ.. พวกเราสองคนคิดมาตลอด ว่าเรากำลังปกป้องเด็กคนนั้น แต่กลายเป็นว่าเด็กคนต่างหากสินะที่พยายามปกป้องเรา..”หัวหน้าแผนกลาดตระเวนย้อนนึกถึงเรื่องที่แบมแบมไม่เคยอาละวาดอีกเลยในระยะสองสามปีให้หลังแต่พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะแบมแบมยอมเปิดใจให้ ส่วนจินยองจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ
“ที่ผมอยากรู้คือพวกมันต้องการอะไรจากแบมแบมกันแน่” แจ็คสันถามปัญหาที่ยังคิดไม่ตก
“เลือดไงล่ะ พวกมันต้องการเลือดของแองเจิ้ลส์เด็ก” จินยองที่นั่งเงียบอยู่ตอบขึ้นมาให้“ใครๆ ก็รู้ว่าเลือดของแองเจิ้ลส์มีประสิทธิภาพในการรักษา แต่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าแองเจิ้ลส์พอจับคู่แล้วประสิทธิภาพในการรักษาของเลือดจะตอบสนองต่อเฉพาะเมทของตัวเองเท่านั้น จึงไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์กับคนอื่นได้มีแต่เลือดของแองเจิ้ลส์ที่ยังไม่ได้จับคู่หรือแองเจิ้ลส์ที่อยู่ในวัยเด็กนั่นแหละ ที่เลือดสามารถนำไปใช้ได้โดยตรง นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกพรานชอบล่าแองเจิ้ลส์เด็กมากกว่าพวกที่โตเต็มวัย”
“หรือว่าเซรุ่มที่ฮยองฉีดให้ผมจะมาจาก...” แจ็คสันกลืนน้ำลายที่อยู่ๆก็เหมือนจะเหนียวหนึบ
“ไม่!! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ทำการทดลองอะไรกับแบมแบมทั้งนั้น” จินยองตอบแทรกเพราะรู้คำถามดี “เซรุ่มพวกนั้นเป็นของแองเจิ้ลส์เต็มวัยของสถาบันทั้งหกคนและทุกคนยอมสละให้ด้วยความเต็มใจ ฉันวิจัยจนสามารถถอดปฏิกิริยาจับคู่ในเลือดออกจนสามารถนำมาใช้ได้!”น้ำเสียงหัวหน้าแผนกวิจัยเริ่มใส่อารมณ์คุกรุ่น
“เฮ้.. จินยอง ใจเย็น..” เจบีลูบแขนเพื่อนสนิทเบาๆ อย่างเข้าใจ
“ผม.. ขอโทษครับ ผมก็ดูออกว่าจินยองฮยองรักแบมแบมมากแค่ไหน” แจ็คสันก้มหัวอย่างสำนึกผิด จินยองพ่นลมหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดีหัวหน้า” เสียงของออสริคดังขึ้นในเอียร์ปลั๊ก ทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องก็กำลังติดตามการประชุมอย่างเงียบเชียบ
“ผมว่า.. เราน่าจะพาแบมแบมหนีไปที่อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกมันจะมาทำร้ายแบมแบมอีก”แจ็คสันเสนอความคิด
“ไม่ได้!”จินยองค้านเสียงแข็ง
“ทำไมล่ะฮะฮยอง หรือฮยองคิดว่าแบมแบมไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้นอกจากในกรงนั่น”
“ไม่ใช่!! แต่เป็นเพราะตอนนี้ฉันยอมให้แบมแบมไปไหนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าแบมแบมอยู่ที่นี่ เรายังมีอุปกรณ์กับความพร้อมมากพอจะช่วยได้แต่ข้างนอกนั่น ฉันรับประกันชีวิตเขาไม่ได้” เสียงที่เคยนุ่มนวลอยู่เสมอแข็งกร้าวจนทุกคนในห้องเงียบกริบยกเว้นเพียงคนเดียว
“ทำไมล่ะฮะ ทำไมเราถึงพาแบมแบมหนีไม่ได้ จะต้องรับประกันอะไรอีกแบมแบมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ผมให้เพื่อนหาที่อยู่ที่เป็นความลับให้เราได้” แจ็คสันยังพยายามโน้มน้าว
“เพราะแบมแบมใกล้จะถึงเวลาจับคู่แล้ว และนั่นเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของแองเจิ้ลส์ ถ้าเราหาเมทของเด็กคนนั้นมาให้เขาไม่ทัน เด็กคนนั้นจะต้องตายไงล่ะ!!”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in