เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
nasapollomalibunight
PERMANENT


  •       นัม แทฮยอน ยืนอยู่บนริมฟุตบาทมองท้องฟ้าสีวานิลาที่กำลังเปลี่ยนสีกลายเป็นความมืดท่ามกลาง ผู้คนที่ข้ามถนนไปมาผมไม่ได้ยืนเกะกะผู้คนเหล่านั้นแต่ผู้คนต่างหากที่ไม่เห็นผม ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นเพียงตัวประหลาดในสายตาคนอื่นแต่แม่ของผมบอกว่าผมนั่นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผมหายตัวได้เหมือนในหนัง ข้อดีของมันคือเมื่อผมเจอเรื่องแย่ๆต้องการที่จะหายไปจากตรงนั้นก็สามารถทำได้เลยแต่ข้อเสียนั้นมันก็มี พระเจ้ามอบสิ่งพิเศษให้แต่มันก็มีของแถมสิ่งนั้นคือ ผมจะรู้ว่าตัวเองจะตายวันไหนแต่จะบอกล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันแต่หนึ่งวันที่ว่า ผมอาจจะมีชีวิตอยู่บนโลกแค่หนึ่งนาทีก็ได้ในจดหมายถึงไม่บอกอะไรชัดเจนมันลงท้ายแค่ว่า เป็นประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ไร้สาระสิ้นดี ไม่มีแม้แต่จะบอกว่าผมจะตายยังไงผมแต่ยังไงมันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีคงต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิด จดหมายที่ว่านั้นผมได้รับในเช้าวันนึงในเดือนธันวาผมตื่นมาพร้อมกับจดหมายประหลาดใต้หมอนผมคิดว่ามันคือเรื่องล้อเล่น แต่เมื่อผมพยายามที่จะเผาจดหมายมันกลับอยู่ในสภาพเดิมทั้งที่ไฟลนอยู่ที่กระดาษ แต่จดหมายมันสลายไปกับตาผมเมื่อครบ24ชั่วโมงผมเลือกเก็บสิ่งที่รู้เป็นความลับ แล้วใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ชีวิตผมเรียบง่ายมาตลอด จนมาเจอ ซง มินโฮ 


    ผู้ชายที่แสนประหลาดมินโฮเป็นพวกกระจอกที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มินโฮเป็นจิตกรฝีมือดี มีร้านขายภาพวาดเป็นของตัวเองอยู่ตรงหัวมุมในย่านคนรวย เรารู้จักกันด้วยความบังเอิญในงานแกลลอรี่ หลังจากออกจากงานผมก็ได้เจอเขาอีกเขาเข้ามาพาผมด้วยท่าทางแปลกประหลาดก่อนจะชวนผมให้มาเจอกันในวันถัดไปเขาบอกเพียงเวลาและสถานที่เท่านั้นแต่ไม่ให้ช่องทางการติดต่อใดๆ เขาพูดแค่ว่า  ถ้าหากคุณอยากเจอผมเหมือนที่ผมอยากเจอคุณ ก็มานะครับ ผมจะรอ ก่อนเราจะแยกย้ายกันไป

    สุดท้ายผมก็ไปตามนัดของเขาต้องยอมรับก่อนผมค่อยข้างจะชอบความประทับใจที่อีกฝ่ายสร้างออกมาไม่รู้ตัวและมินโฮดันทำได้ดีทีเดียวเพราะเขามักสร้างความประทับใจจนผมตกลงไปในหลุมที่สร้างขึ้นตกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเหล่า จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนที่ผมเจอเขาทุกวันหลังพระอาทิตย์ตก


    " ทำไมเราต้องเจอหลังพระอาทิตย์ตกด้วย คุณไม่ชอบพระอาทิตย์หรอ " มินโฮถามผมในขณะที่เขากำลังวาดภาพผมอยู่บนเก้าอี้ไม้ส่วนผมก็นอนอยู่บนโซฟาเก่าๆที่มินโฮบอกว่าคลาสสิกเหมาะกับร้านของเขาแต่ผมกลับคิดต่างออกไป


    " ประมาณนั้นตอนสว่างคนมันเยอะน่ารำคาญ กลางคืนมันเงียบและคนน้อยดีผมชอบมากกว่า " ผมตอบ

    " เราลองไปเที่ยวกันตอนกลางวันไหมเช่น นั่งดูผู้คนในสวนสาธารณะ ไปงานดนตรี หรือไม่ก็ไปซื้อหนังสือสักเล่มมาแลกกัน "


    " คุณอยากไปหรอ? "


    “ผมอยากไปกับคุณ “  เขาเงยหน้ามองผม เขากำลังอ้อนวอนผ่านสายตาที่เรียบเฉย ผมเพียงพยักหน้าตอบไปรอยยิ้มอย่างเจ้างั่งหลุดออกมาจากใบหน้าที่นิ่งขรึม จากนั้นเขาเอาแต่ผู้ถึงเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน พูดมากไม่หยุดจนผมลุกไปหยิบน้ำมาให้เขาดื่ม มีบางช่วงที่เขาหยุดพูดแล้วตั้งสมาธิกับภาพที่เขาวาดค้างอยู่บางทีก็ถามความเห็นจากผมว่าอยากทำอะไรเพิ่มเติมไหม ผมได้แต่ตอบว่า ตามใจคุณเลย เวลาล่วงเลยไปจนเข้าวันใหม่ผมยังคงอยู่กับมินโฮที่ร้านที่รวมเป็นบ้านของเขาผมไม่ได้แค่มาหาเขาในตอนที่ฟ้ามืดเท่านั้น บางทีผมก็นอนที่นี่


    ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เหมือนคู่รักทั้งที่ความจริงเราทั้งสองยังไม่มีสถานะที่ตายตัวนอกจากคนที่อยากอยู่ด้วยกันไปนานๆ เขาก็ไม่เคยถามหาสถานะผมด้วย เราต่างเคารพซึ่งกันและกัน แต่เราทั้งคู่ก็ไม่มีใครนอกจากกันและกันผมเคยพูดกับมินโฮว่า ' หากคุณเจอคนที่อยากดูแลและรักเขาจนคุณไม่อยากรักใครอีกขอคุณแค่บอกผม โอเคไหม เขาตอบผมว่า ผมเจอเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจไปดูงานแกลลอรี่ที่จัดวันสุดท้ายและตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าผม พอคิดถึงประโยคพวกนั้นทีไรเจ้างั่งมินโฮกลับดูดีจนทำให้ใจเขาสั่น



     คุณโอเคใช่ไหมที่เราจะไปเดตกันตอนกลางวัน “ มินโฮถามออกมาในขณะที่เขานอนอยู่บนตักผมเขากำลังจดจ่อไปที่หนังดราม่าในทีวี  ให้ตายเหอะซงมินโฮ หมอนี่เอาแต่ถามคำถามนี่เพื่อย้ำกับตัวเองหลายๆรอบว่าผมโอเคที่จะไป


    “ รู้ตัวไหมว่าคุณเอาแต่ถามคำถามนี่“ เขาลุกขึ้นจากตัก แล้วนั่งมองผมตอนนี้ผมคิดว่าเขาควรไปใส่เสื้อเพราะสายตาของผมกำลังมองผลงานศิลปะบนตัวเขาต้องใช้คำว่าพยายามที่จะเอาสายตาตัวเองมองที่ดวงตาของเขาแทนศิลปะที่น่ามอง


    “ผมแค่ไม่อยากทำอะไรที่คุณไม่ชอบก็เท่านั้น “ เหมือนเจ้าหมาตัวโตกำลังรู้สึกเศร้าจนหูตกหางตกดวงตามีแต่ความเศร้าหมองเหมือนเจ้านายจะออกไปทำงานในวันหยุด


    “ ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าไม่ชอบอย่าคิดมากสิ ถ้าผมไม่ชอบคุณก็คงไม่ชอบตั้งแต่ครั้งแรก ที่คุณถามผมว่ารู้ไหมรอยเลือดในรูปอ่านว่า mother fucker   ผมและเขา หลุดขำออกมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นมันจะมีสักกี่คนบนโลกที่เดินเข้ามาพูดถึงรูปการตัดหัวนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมา แบบนั้นกับคนแปลกหน้าหากเป็นคนอื่นคงเดินหนีเขาไปแล้ว แต่ผมกลับยืนหัวเราะกับคำพูดของเขาในวันนั้น


    “ คุณยังจำมันได้อยู่อีกหรอนึกถึงมันทีไรผมอยากจะบ้าตายตลอด “ เขาพูด “ ความจริง ผมไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรแบบนั้นหรอกผมมองคุณตั้งแต่ลงชื่อเข้างานแล้ว เอาแต่คิดว่าจะชวนคุณคุยยังไงดีแล้วคุณก็ยืนดูรูปนั่นพอดีผมเลยเผลอพูดสิ่งที่คิดไป " 


    " สิ่งที่คุณไม่ได้ตั้งใจพูดวันนั้นมันทำให้ผมกับคุณอยู่ด้วยกันในวันนี้นะ " เขายิ้ม ยิ้มอย่างมีความสุข เขาจับแก้มผมแล้วเอาแต่พูดว่า น่ารักไปมาพร้อมโยกหัวผม ผมทำได้แต่เอาเท้ายันหน้าท้องเขาให้ออกห่างแต่มันก็ไม่สะทกสะท้านใดๆเพราะตอนนี้ผมถูกล็อคตัวอยู่ในอ้อมกอดเขาเสียแล้ว ผมไม่ขัดขืนปล่อยให้ตัวผมอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาจนกว่าตัวผมและเขาจะพอใจ เราเอาแต่กอดกันไม่มีใครยอมผลักออกจากกัน แต่ก็เป็นผมเองที่ต้องเป็นคนออกจากอ้อมกอดนั้น บทสรุปของค่ำคืนนี้คือผมนอนอยู่บนเตียงที่มีเขานอนกอดผมอยู่ข้างหลัง เรากล่าวลาด้วยคำว่าฝันดีก่อนจะหลงไปในของความฝันของตัวเอง



         ผมก็ไม่ได้เกลียดแสงสว่างมากมายแต่ถ้าเลือกได้ผมจะอยู่แต่ในห้องที่มีผ้าม่านปิดหน้าต่าง ปิดไฟปกป้องตัวเองจากโลกภายนอกและแสงจากด้านนอกผมไม่ได้เป็นโรคอะไรมันเป็นเพียงสิ่งที่ไม่ชอบก็เท่านั้น ผมพยายามหาคำตอบว่าทำไมผมออกจากสังคมทั้งที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบหรือที่จริงผมแค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้ารับความจริงว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดที่กลัวสังคมรังเกียจจนต้องอยู่คนเดียว ผมนั่งอยู่บนผ้าสีน้ำตาลอ่อนผืนใหญ่กลางสวนสาธารณะที่มีผู้คนทุกช่วงวัยอยู่ที่นี้เ ด็กๆที่วิ่งไปวิ่งมา คู่รักเดินจับมือกัน ผู้สูงอายุเดินเล่นบางคนก็นั่งอยู่บนม้านั่งผมค่อยข้างขี้รำคาญในระดับแก้ไม่หาย แค่ผมมองเด็กๆที่เสียงดังเพราะเล่นกับเพื่อนหรือ ผู้คนที่เดินไปเดินมาก็รู้สึกรำคาญจนต้องหันไปมองแม่น้ำที่นิ่งสงบพยายามโฟกัสแต่เสียงลมแต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย เสียงเด็กยังคงดังอยู่ต่อเนื่องอาจจะมากกว่าเดิม ผมยังคงทำใจเย็นรอมินโฮที่ไปซุปเปอร์ทั้งที่เราต้มรามยอนกินกันที่บ้านก็ได้แต่เขากลับอยากทำให้เดตสมบูรณ์แบบมันควรเป็นข้าวกล่องที่ตั้งใจทำเพื่อเดตแต่ไม่ใช่มันกลายเป็นข้าวกล่องที่ซุปเปอร์แทน นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องรอเขาท่ามกลางผู้คนที่น่ารำคาญคนเดียว


    “ แทฮยอนมาแล้ว “  ผมหันไปตามเสียงเรียก เขาถือของมาเต็มสองมือจนผมต้องลุกขึ้นไปช่วยเขาให้ผมถือถุงข้าวกล่องส่วนเขาถือน้ำเปล่าแล้วก็ขนมกินเล่นเหมือนผมแอบเห็นน้ำผลไม้อีกสองสามกล่อง


    “ ทำไมคุณซื้อมาเยอะแยะ เรามากันแค่สองคนนะ "


    “ ผมกลัวคุณไม่อิ่ม ดูซิมีแต่ของโปรดคุณทั้งนั้นเลย “


    “เกินไปแล้วซงมินโฮ “ เขานั่งลงตรงข้ามผมพร้อมจัดแจนทุกอย่างให้สมบูรณ์ 


       วันนี้อากาศไม่ร้อนไปแล้วไม่เย็นไป เรียกได้ว่าอากาศสบายได้เลยแต่อากาศแบบนี้มันเหมือนเรียกผู้คนให้ออกจากบ้าน มินโฮบอกว่า วันนี้คนไม่เยอะโชคดีจริง แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้นผมรู้สึกว่าผู้คนเยอะไปหมดเยอะจนเหมือนล้นโลกมีแต่ความอึดอัดและน่ารำคาญ ผมพยายามที่สนใจแต่มินโฮไม่สนใจผู้คนเหล่านั้นและผมคิดว่าผมทำได้ดีเหมือนกัน ตอนนี้มีแค่เราสองคนผมได้ยินเพียงเสียงมินโฮที่เล่าเรื่องระหว่างทางไปซุปเปอร์และเสียงลมจากธรรมชาติ การออกมาข้างนอกในตอนที่มีแสงสว่างก็ไม่ได้แย่ถ้ามีมินโฮอยู่ด้วย เมื่ออาหารหมดลงผมชวนเขาออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเพราะเจ้าเด็กที่วิ่งเล่นไม่ดูทางล้มลงแล้วเอาแต่ร้องเสียงดัง มินโฮเหมือรู้ว่าทำไมผมถึงรีบร้อนที่จะเก็บของใส่กระเป๋า เขาเก็บขยะใส่ถุงด้วยความเร็วเหมือนกัน เราสองคนไม่สิผมคนเดียวพยายามรีบเดินออกห่างจากเด็กนั่นที่แหกปากร้องไห้ผมเดินออกมาจนถึงทางออก เสียงเด็กนั่นก็หายไปแล้วข้างๆผมไม่มีมินโฮอยู่แต่กลับมีเสียงฝีเท้าอยู่ข้างหลัง เป็นมินโฮเขาวิ่งหอบมาหาผม เขานอกจากระจอกอย่างที่ผมว่าแล้ว เขายังไม่เก่งกีฬาเอาเสียเลย เขาเคยบอกผมว่าสิ่งที่เขาเกลียดกว่าพวกแมลงนั้นก็คือการออกแรง ถ้าให้เขาวิ่งจากห้องรับแขกไปหน้าบ้านก็ไม่ทำแต่ตอนนี้เขากำลังวิ่งตามผมมาทั้งที่เขาไม่ชอบมัน


     “ นี่ อย่าวิ่งแบบนั้นอีก ถ้าคุณหลงกับผมจะทำยังไงสวนที่นี้ไม่ใช่เล็กๆนะ “ เขาดุผมก่อนจะยื่นมือตัวเองมาจับผมไว้


    “ ผมก็จะนั่งรอคุณที่ม้านั่งจนกว่าคุณจะหาผมเจอ “


    “ ไม่กลัวผมจะทิ้งคุณหรอ “


    “ ผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ทิ้งผมหรอก “


    “แล้วคุณจะทิ้งผมไหม “ คำตอบมันจุกอยู่ที่คอไม่ใช่ตอบไม่ได้ แต่ผมไม่อยากให้คำพูดที่ผมพูดไปในตอนนี้กลายเป็นคำสัญญาที่เทำให้เขาต้องเจ็บปวด ผมอยากรักเขาในแบบที่ควรเป็นแล้วจากลากันด้วยความรัก ถึงแม้ร่างผมจะหายไปก็ตาม ผมทำได้เพียงกระซับมือที่จับอยู่ให้แน่นแล้วส่งรอยยิ้มให้กับเขาแทนคำพูด เขายิ้มตอบ ก่อนจะจูงมือผมออกจากสวนแห่งนี้ เราเดินไปสถานที่สองเขาบอกว่าผมต้องชอบมันมากๆแน่ ผมก็ได้แต่สงสัย มีอะไรที่ผมชอบมากกว่ามินโฮอีกหรอ


    ความไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ช้าไปมันก็เป็นสิ่งที่ผมชอบแต่ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่เหนื่อยล้ากับการเดินนานๆ ต่างจากเขาที่เอาแต่ยิ้มไปมาอย่างกับคนบ้า คนบ้าที่มีรังสีความสุขกระจัดกระกระจายไปทั่ว จนผมรับรู้ถึงมันแต่ยังไงผมก็เหนื่อยอยู่ดี 


    “ มินโฮผมเหนื่อย “ ผมหยุดเดิน


    “อีกแค่นิดเดียวก็ถึงแล้ว “


    “คุณพูดแบบนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์อยู่เหนือหัวเราจนตอนนี้พระอาทิตย์นั้นมันค่อยๆลงจากเหนือหัวแล้วนะ"


    “ อือ งั้นเราไปนั่งพักกันในร้านนั้นกัน “ เขาชี้ไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม เป็นร้านสีมัสตาร์ดแคบๆถ้าเทียบกับตึกใหญ่รอบข้าง มีคุณป้าใบหน้าเปื้อนยิ้มต้อนรับเรา คุณป้าแนะนำให้เรานั่งชั้นสี่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหนังสือมีเพียงโต๊ะเตี้ยบนพื้นสองสามโต๊ะและชิงช้าใหญ่่อยู่ตรงกระจกที่สามารถมองเห็นผู้คนจากด้านล่างและตึกตรงข้ามด้านหน้า ห้องที่ไม่ได้เล็กไปไม่ได้กว้างไปมีเพียงแสงจากด้านนอกเท่านั้นที่เข้ามาในห้อง คุณป้าปล่อยให้เราสองคนใช้เวลาเป็นการส่วนตัวหลังจากเราสั่งเครื่องดื่มเสร็จเราเลือกที่นั่งโต๊ะตัวเตี้ยข้างชั้นนวนิยายแปล เขาหยิบหนังสืออกมาดูสองสามเล่มจนเจอเรื่องที่ถูกใจ


    โรมิโอ แอน จูเรียส ? “ผมถามเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่มินโฮกำลังคืออ่านิยายน้ำเน่าผมเคยอ่านมันครั้งเดียวก็ไม่กลับมาอ่านมันอีก ต้องยอมรับว่าเป็นบทประพันธ์ที่สวยงามแต่ผมดันมองว่ามันเป็นเรื่องโง่งมที่คนๆนึงจะยอมตายเพราะความรัก


    “ อืม ผมเคยดูแต่ในหนังไม่เคยอ่านแบบนิยายเลย คุณเคยอ่านมันไหม “ ผมพยักหน้าตอบ


    “ผมอ่านมันแค่ครั้งเดียวก็ไม่กลับมาอ่านมันอีกเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามาให้คุณอ่านเล่มของผมมันแปลดีกว่า เล่มที่คุณกำลังถืออยู่อีก“ เหมือนคำสั่ง มินโฮเก็บนิยายเล่มในมือไว้ที่เดิมเราทั้งคู่แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันไปมาระหว่างรอน้ำที่สั่ง บทสนทนาเงียบลงเมื่อคุณป้ามาเสิร์ฟ ผมย้ายตัวและแก้วชาเขียวไปนั่งบนชิงช้า มองท้องฟ้าบนตึกที่ถูกเมฆฝนปิดบังแสง แต่มันก็ยังมีแสงอ่อนๆออกมา ส่วนมินโฮกำลังอยู่ในโลกของจิตกร ผมชอบการอยู่คนเดียวมาตลอดจนวันนี้ทำให้ผมรู้ว่าผม การอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแสงจากด้านนอกลอดผ่านผ้าม่านแล้วหันไปเจอมินโฮนั่งอยู่ข้างหลังมันก็ดีกว่าอยู่คนเดียว



         หลังจากวันที่เราไปเดตกันผมกับมินโฮเราก็อยู่ด้วยกันมาเกือบสามเดือนแล้วผมย้ายมาอยู่กับมินโฮถาวร เราทั้งคู่เหมือนบุคคลที่มีความสุขที่สุดในโลกมีความสุขจนพระเจ้าอิจฉาความอิจฉาคือสิ่งน่ากลัวมันคอยแต่จะทำร้าย และมันกำลังทำร้ายเรา เช้าที่เหมือนกับทุกวันผมได้รับจดหมายจากบนฟ้าเป็นครั้งที่สองในเนื้อความจดหมายบอกว่า ผมมีเวลาแค่วันนี้เท่านั้นที่จะได้อยู่บนโลกเมื่อถึงยามหนึ่งผมก็จะหายไปมันเร็วเกินไปสำหรับตอนนี้หากเป็นเมื่อก่อนผมคงรอเวลานี้มานานแสนนานแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ผมได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ผมกำลังตัดสินใจว่าควรบอกเรื่องทั้งหมดกับมินโฮดีไหมหรือผมควรจะทิ้งความสัมพันธ์ของเราแล้วจากเขาไปแบบเงียบๆ


    ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง

    ผมอยากรักเขาให้นานกว่านี้

    แค่ร้องไห้ออกมาผมยังทำมันไม่ได้


    “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า “ มินโฮสวดกอดผมจากด้านหลัง เขาเอาคางเกยไหล่ผมอย่างเป็นห่วง

    “ไม่มีอะไรหรอก “


    เขายังกอดผมอยู่มันทำให้หัวใจผมเจ็บปวดกว่าเดิมการที่ผมหายไปมันไม่เจ็บปวดเท่าคนที่ยังอยู่กับความรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกไห มผมไม่อยากให้เรื่องของเราจบเหมือนโรมิโอกับจูเรียสความรักคือสิ่งสวยงามแต่มันก็น่ากลัวเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียวผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังร้องไห้ จนรับรู้ถึงความอบอุ่นจากโอบกอดของเขาแล้วมือที่กำลังลูบหัว

    คำปลอบโยนออกมาจากปากมินโฮอย่างลนลานผมควรบอกเขาให้รู้เรื่องราวทั้งนั้น มันอาจจะเจ็บปวดแต่ก็ดีกว่าที่เขาเห็นผมแหลกสลายโดยไม่รู้อะไรเลย ผมพยายามที่จะหยุดร้องแล้วพูดกับเขาว่า ผมมีเรื่องจะบอก เราย้ายตัวจากห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่น สีหน้ากังวลของเขาทำให้ผมเจ็บปวด

    ผมเล่าเรื่องทั้งหมดและแสดงความสามารถให้เขาดูเขาค่อยข้างจะตกใจแต่ก็ยังคงกอดผมเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ผมเอาแต่ขอโทษ เขาพูดแต่ว่า ไม่เป็นไรมันไม่ใช่ความผิดของผม เขาพยายามที่ยิ้มทั้งที่สายตาเขากำลังเศร้าเขาคงเจ็บปวดไม่ต่างจากผม


    “ วันนี้อยากไปไหนไหม“


    “ ผมอยากอยู่กับคุณ “

    เขายิ้ม

    ลูบหัวผมเบาๆ


    “ผมจะยังไม่พูดอะไรตอนนี้ ผมจะทำวันนี้เป็นวันที่ดีของคุณ “


    เราไม่ได้ออกไปไหนอยู่แต่ในบ้านพูดคุยกัน อ่านหนังสือ ทำทุกอย่างปกติเหมือนทุกวัน มินโฮที่นอนอยู่บนตักกำลังเล่นมือของผม ผมลูบหัวเขามีเพียงเสียงเพลงจากแผ่นเสียงบรรเลงเรื่องราวความรักของเราความเรียบง่ายไม่ได้หวือหวาเป็นสิ่งที่ผมตกหลุมรักมาตลอดเช่น ซง มินโฮ ผู้ชายที่เงอะงะอ่อนหัดเรื่องกีฬาแต่กลับมีเสน่ห์เมื่อเขาเริ่มวาดรูปหรือเขียนเพลงเขาชอบทำตัวให้น่าหลงไหลอย่างไม่รู้ตัว ทั้งรอยยิ้ม คำพูด การกระทำเรื่องราวความรักของเราไม่ได้สวยงามทุกวันช่วงระหว่างหนึ่งปีที่เราเริ่มเข้าใจความรัก รักมากก็ยิ่งหวงยิ่งห่วงมันก็ต้องมีบ้างที่เราทะเลาะกันแต่โชคดีที่เรามีเหตุผลกันมากพอที่จะรักษาเราทั้งสองไว้เพราะ มินโฮมีอยู่คนเดียวจะปล่อยไปได้ยังไงละ


    “ มีอะไรที่อยากทำไหม“


    “ จริงๆผมอยากลองปล้นธนาคาร “ เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ก็ถามนี่ผมก็แค่ตอบสิ่งที่ผมคิด “ขำอะไรซงมินโฮ”


    “เอาอะไรที่เป็นไปได้ซิคุณ “


    “ที่เป็นไปได้หรอ หือ คงเป็นจูบของคุณ “

    มินโฮยันตัวลุกขึ้นมือเขาท้าวอยู่กับเบาะโซฟามืออีกข้างประครองใบหน้าผมใบหน้าเขาเลื่อยเข้ามาใกล้ จมูกเขาถูปลายจมูกของผม เรายังคงสบตาถึงแม้ริมฝีปากเราจะแตะกันสุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ ผมหลับตาให้เขาเป็นผู้นำเขามอบความอ่อนโยนผสมกับความดุดันทั้งที่ผมกำลังนั่งอยู่แล้วกับต้องจับไหล่เขาไว้ มันร้อนแรงขึ้นเลื่อนๆไม่มีท่าที่จะหยุดทั้งอารมณ์ของผมและเขา ผมกัดปากเขาอย่างหยอกล้อมันเหมือนเพิ่มอารมณ์ให้กับมิโฮมากขึ้น ต้องยอมรับว่า ซง มินโฮ จูบเก่งเป็นบ้าเมื่อถอนจูบออกผมต้องโกยอากาศเข้าต่างจากเขาที่ยังยิ้มอยู่


    “ จูบเก่งเหมือนกันนะเนี่ย “ เขาพูด


    “ อายุ25แล้วไหม จะให้จูบไม่เป็นเลยคงไม่ใช่ “


    “ อิจฉาคนที่ได้ขโมยจูบแรกคุณจริง “


    “ ผมจูบกับคนพวกนั้นเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ไม่เหมือนกับคุณ จูบของเรามันคือหลักฐานว่ารักที่ผมให้คุณมันคือเรื่องจริง “


    “นี่คุณกำลังสารภาพรักกับผมหรือเปล่าเนี่ย “


    “ ผมสภาพรักกับคุณตลอดนั่นแหละ แค่เป็นการกระทำไม่ใช่คำพูด ”


    “ ทำไมคุณถึงน่ารักอย่างนี่ ทำยังไงดีผมชักเกลียดพระเจ้าแล้วที่ทำให้คุณกับผมต้องจากกัน “


    “ผมก็เกลียดเขา “


    “เราไปโบสถ์กันไหม “


    “ ไปทำไมถ้าไปขอพรคำขอของเรามันก็แค่แมลงวันตอมหูก็เท่านั้น “


    “เราจะไปสาปแช่งพระเจ้ากัน “


    ซง มินโฮ เป็นคนแปลกอย่างที่ผมเคยบอกไว้จริงๆ และ ผมก็เป็นคนที่แปลกอยู่แล้วกับแปลกขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้เราอยู่ที่โบสถ์ใกล้บ้าน ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเข้าโบสถ์เลยด้วยซ้ำอาจจะเคยเข้าตอนล้างบาปในวัยทารก แต่เมื่อผมรู้ว่าตัวเองได้รับอะไรจากพระเจ้า ผมก็เลิกที่ศรัทธาถึงแม้ในบัตรประชาชนจะขึ้นว่านับถือศาสนาแต่มันก็เป็นสิ่งประกอบที่ไม่ทำให้คนดูแปลกแยกก็เท่านั้น มินโฮนั่งอยู่ข้างๆเขาหลับตาผมไม่รู้หรอกภายในใจเขากำลังสาปแช่งจริงหรือไม่ แต่ผมกำลังขอวอนแก่พระผู้เป็นเจ้าให้ เมตตาและคอยช่วยเหลือเขาเมื่อผมหายไป เรื่องราวของเราอาจจะเหมือนก๊อบลินเมื่อก๊อบลินเจอรักแท้เขาก็สามารถตายได้อย่างที่ต้องการ แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ที่จะรักเขากลับไม่ต้องการที่จะตาย ทางออกของปัญหานี่มันไม่มีเลยนอกจากความตาย สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่ใช่ฉากที่เจ็บแผลเพราะดึงดาบออกจากหน้าอก แต่มันคงเป็นฉากที่เห็นคนที่รักสลายหายไปเพราะฝีมือตัวเอง เราไม่มีทางรู้ถึงความรู้สึกนั้นจนกว่าจะเจอเหตุการณ์นั้นเอง แสงยามเย็นส่องเข้ามาภายในโบสถ์ระหว่างที่เรานั่งอยู่ด้วยกันผมซบไหล่เขาอย่างอ่อนล้าแสงแดดที่สาดส่องมาที่เราเป็นสัญญาณว่าเวลากันหมดลงเรื่อยๆมินโฮจับมือผมวางไว้ที่หน้าตักก่อนลูบมันเบาๆ


    “คุณสาปแช่งเขาจริงๆหรอ “ ผมถาม


    “ทั้งด่าแล้วก็ขอร้องเขา “


    ?


    “ผมขอให้เขาดูแลคุณให้ดี ให้คุณได้อยู่บนสวรรค์อย่างสบาย “


    “ ขอบคุณนะ ผมได้เจอเขาผมจะต่อยเขาให้พอใจเลย“


    “ตัวแค่นี้ปากเก่งจริง “


    “ก็ลองแล้วนี่ เก่งอย่างที่คุณว่าไหม “


    “ เดี๋ยวเถอะแทฮยอน “ ขำหัวเราะเบาๆ เรื่องความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะเอาพูดเสียเท่าไหร่แต่เขาและผมต่างไม่อยากให้คิดมาก มันจึงกลายเป็นเรื่องโจ๊ก ที่ไม่ตลกเสียเลยมันเป็นเรื่องที่หลีเลี่ยงไม่ได้แต่เราก็ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาทำให้วันสุดท้ายในชีวิตกร่อยและเขาก็หดหู่ไปกับผม ผมมองไปที่เปียโนสีน้ำตาลตัวเก่าที่วางอยู่ข้างแท่นพิธีผมลุกเดินไปนั่งบนเปียโน มินโฮนั่งอยู่ที่เดิมมองมาที่ผม ค่อยๆบรรเลงเพลง mia & sebastian’s theme เพลงในหนังที่เราดูด้วยกันเมื่อคืนก่อน


       

    mino

       ผมมองแทฮยอนที่กำลังบรรเลงเพลงแทฮยอนยังงดงามผิวขาวที่แต่งต้มไปด้วยศิลปะบนร่างกายเช่นเดียวกับผม ผมยาวแสกกลางสีน้ำตาลใบหน้าหวานที่มีคิ้วตกเป็นเอกลักษณ์แทฮยอนก็เป็นเพียงผู้ชายคนนึงที่มีร่างกายสมส่วนเหมาะกับเสื้อเชิ้ตผ้าบางกับกางเกงยีนส์สีดำที่ใส่อยู่ แต่แทฮยอนช่างน่าเอ็นดูไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป ผมไม่เข้าใจเลยทั้งที่แทฮยอนเป็นคนที่น่ารักขนาดนี้ทำไมพระเจ้าถึงใจร้ายนัก เสียงเปียโนหยุดลงผมเดินไปหาแทฮยอนที่มีสีหน้าไม่ดี คิ้วของเขาตกกว่าเดิมสายตาเปลี่ยนเป็นความเศร้า นั่งลงข้างๆแทฮยอน หากดนตรีช่วยเยี่ยวยาคนได้จริงๆเพลงที่ผมกำลังเล่นนี้คงจะช่วยเขาได้


    Just like a star across my sky

    Just like an angel off the page

    You have appeared to my life

    Feel like I'll never be the same

    Just like a song in my heart

    Just like oil on my hands

     

    honor to love you เราหันมามองกัน แทฮยอนจูบลงที่ริมฝีปากผม ก่อนจะซบลงที่อกของผมอย่างอ่อนล้าผมจูบลงที่ผมของแทฮยอนมันอาจจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น


    “ เล่นต่อสิ “ แทฮยอนพูด  


    ผมพยักหน้าเบาๆ แทฮยอนย้ายจากอกผมเป็นที่ไหล่ผมแทนผมยังคงเล่นเพลงอย่างต่อเนื่องเพลงจบพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่หายไปเวลาของเราก็ใกล้หมดลง เราออกจากโบสถ์เดินไปเรื่อยๆประสานมือเดินกันท่ามกลางอากาศที่เย็นลงมีแสงจากเสาไฟฟ้าส่องตามทางที่เราเดิน

    “ มินโฮอยากไปไหนไหม “ เขาถามผม


    “ นั่นควรเป็นคำถามของผมไหม “


    “ ฮ่าๆ ก็คุณถามผมทั้งวันแล้วผมอยากถามคุณบ้าง “


    “ ก็ผมอยากตามใจคุณนี่ “


    “ ผมก็อยากตามใจคุณเหมือนกัน “


    " ทุกอย่าง? "


    “ ทุกอย่าง “


        ผมกำลังทำตามใจตัวเองอยู่นั้นคือการมองแทฮยอนพยายามคีบตุ๊กตาในร้านเกมส์เซ็นเตอร์ สีหน้าที่จริงจังจดจ่ออยู่ที่ตุ๊กตาหมาในตู้สี่เหลี่ยมใบหน้าน่ารักของเขาที่กำลังมีสมาธิกับเกมเด็กน้อยมันน่ารักมากตั้งแต่ผมรู้จักกับแทฮยอน ผมใช้คำว่าน่ารักเปลืองมากๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องใช้คำว่าน่ารักมากแค่ไหนถึงจะพอสำหรับแทฮยอน  ที่คีบค่อยๆลงไปหยิบตุ๊กตาที่แทฮยอนต้องการแต่เจ้าตุ๊กตาหมานั้นก็ไม่ได้ขึ้นมาแทฮยนหันหน้ามาหาผมสีหน้าที่ผิดหวังของเขาทำให้ผมต้องยกมือขึ้นลูบหัว เขาถามผมว่าเราไปเล่นแข่งรถกันไหม ใครแพ้ต้องถ่ายรูปน่าเกลียดแทฮยอนกลายเป็นเด็กน้อยทันทีเมื่อเราเริ่มเกมเขาพยายามที่เอาชนะ ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอกถึงจะเอ็นดูแทฮยอนแค่ไหน เกมก็จบลงแทฮยอนแพ้ หน้าเขามุ่ยเพราะอยากถ่ายรูปน่าเกลียด


    “ ฮ่าๆๆ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะคุณพูดเอง “


    “ ก็ผมคิดว่าคุณจะแพ้นี่ “


    “ ผมแพ้ทุกอย่างที่เป็นคุณตลอด แต่เรื่องเกมผมยอมไม่ได้จริงๆ “


    “ ฮือ ซง มินโฮอ่า “ แทฮยอนเริ่มใช้มุขลูกแมวขี้อ้อนเขาเอาหัวไถผมอย่างที่แมวชอบทำเมื่อต้องการให้เจ้าของสนใจ


    “ ไม่ต้องมาอ้อนเลยแทฮยอน คำไหนคำนั่น “


    “ ก็ได้! เอาโทรศัพท์คุณมาซิ “ ผมส่งโทรศัพท์ให้เขาไปถ่ายรูปเขาย้ายตัวไปอยู่มุมนึงในร้าน เขาหันหลังให้ผม อยู่แบบนั้นเกือบห้านาที เขาเดินกลับมาคืนโทรศัพท์กำชับว่าห้ามเปิดดูจนกว่าจะพรุ่งนี้ผมพยักหน้าตอบ


    “ ไปถ่ายรูปในตู้นั้นกัน “ แทฮยอนชี้ที่ตู้ตรงมุมที่คีบตุ๊กตาเมื่อกี้


      เราเดินเข้าไปในตู้ถ่ายรูปในตู้ค่อยข้างเล็กสำหรับผู้ชายสองคนไหล่ผมข้างนึงต้องซ้อนอยู่หลังแทฮยอน เขาขยับตัวไปกดอะไรสักอย่างบนหน้าจอก่อนจะหันมาพูดกับผมว่า จะเริ่มถ่ายแล้วให้ทำหน้าดีๆ ผมทำหน้าดีๆอย่างที่เขาบอกแต่แทฮยอนดันทำหน้าตาประหลาด จนผมหลุดขำออกมา เป็นจังหวะที่กล้องถ่ายรอบสอง รอบสามเขากอดคอผมให้ลงมาอยู่ระดับไหล่ รูปที่เราถ่ายหล่นลงมาช่องเล็กๆแทฮยอนหยิบรูปแนวตั้งที่มีรูปถ่ายอยู่สามช่อง


    “ ถ่ายกันอีกรอบดีกว่า สีขาวดำดีไหม “


    “ ทำไมเอาสีขาวดำล่ะ “


    “ มันจะได้เข้ากับรูปโพราลอยด์ที่คุณแปะบนกำแพงไง “ ผมพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ พอนึกดูรูปโพราลอยด์นั้นส่วนใหญ่ก็มีรูปแทฮยอนทั้งที่เขาเอาไปถ่ายเองด้วยแล้วผมก็ถ่ายเองด้วย


     ผมหยิบรูปที่เราเพิ่งถ่ายเสร็จเมื่อกี้มารูปแทฮยอนกำลังยิ้มแฉ่งสดใสกว่าพระอาทิตย์ในยามเช้าทั้งที่ภาพมันดีขาวดำแต่ภายในรูปกับดูมีสีสันมันคงเป็นแทฮยอน ผมหันไปหาเจ้าตัวที่อยู่ข้างหลังจะโชว์รูปที่เพิ่งถ่ายให้เขาดู แต่เขากำลังก้มดูมือถือตัวเองอยู่


    “ มินโฮ กลับบ้านกัน “


     “ไม่อยากเล่นอะไรต่อแล้วหรอ “


    “ ไม่แล้ว “  


     เราเดินออกมาจากเกมส์เซ็นเตอร์ฟ้าที่มืดสนิท ผู้คนน้อยลง บนถนนมีเพียงรถไม่ถึงสิบคันอากาศที่เย็นลงเป็นสัญญาณว่าฝนใกล้ตก ผมมองหาพระจันท์บนฟ้าแต่มันกลับหายไปอยู่หลังก้อนเมฆดวงดาวบนฟ้าไม่มีสักดวง แต่มีอยู่ข้างๆผมดวงนึง แทฮยอนพูดมากกว่าปกติเขาเล่าต่างๆให้ผมฟังตั้งแต่เด็กที่ยังจำความได้จนถึงช่วงก่อนจะเจอผม ผมเป็นผู้ฟังที่ดีปล่อยให้เขาเล่าเรื่องตอบรับบ้าง เท่าที่ฟังเขาก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่มีโลกของตัวเองก็เท่านั้นโลกของเขาค่อยข้างสูง ผมดีใจนะที่เราได้แชร์โลกของกันและกัน  แทฮยอนพูดจนเราเดินมาถึงบ้านจริงๆเขาก็ไม่ได้พูดเยอะขนาดนั้น มีบ้างที่เขาหยุดพูดแล้วผมพูดแทนเขาเดินหายไปในครัวออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าขวดหนึ่งกับเบียร์สองกระป๋อง แทฮยอนนั่งลงที่โซฟาตัวโปรดก่อนจะตบที่ข้างๆให้ผมมานั่ง ผมลงไปนั่งตามที่เขาต้องการแทฮยอนนอนลงบนตักอย่างที่ชอบทำ


    “ เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบางสิ “ เขาพูด


     แทฮยอนจับมือผมไว้


    “ มันก็เป็นเรื่องเดิมๆที่คุณรู้ “


    “ อยากฟังอีก “


    “ ผมชื่อ ซง มินโฮ มีพ่อมีแม่มีน้องสาวชอบวาดรูป แต่งเพลงบ้าง เป็นคนเสื้อผ้าเยอะและใส่อะไรก็ดูดีเพราะว่าหล่อ “


    “ ขี้โม้ “


    “ ก็ผมหล่อจริงๆ “


    “ ไม่ได้อยากฟังคุณชมตัวเองนะ “


    “ โอเคฮ่าๆ ตอนเด็กผมอ้วกมากๆๆๆไหนจะไม่ชอบกีฬาอีก เรียนก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่คุณรู้ไหมผมเก่งอะไรที่สุด “


    “ รู้ซิ คุณวาดรูปเก่งมาก “


    “ ผิด “


    “ อ้าว มีอย่างอื่นที่คุณเก่งมากอีกหรอ “


    “ อือ ที่ผมเก่งที่สุดนั้นก็คือ การรักคุณ “


    “ เฮ้อ หยอดเก่งจริง “ แทฮยอนหยิกแก้มผมทั้งที่ตัวเองยังนอนอยู่


    “ เจ็บนะเนี่ย “


    “ ไม่สนใจหรอก “


    “ สนใจกันหน่อยสิ “


    " .... "


    " อ้าวไปต่อไม่ถูกเลยหรอ " เขายังคงเงียบอยู่ 


        แทฮยอนลุกขึ้นนั่งท่าทางของเขาเปลี่ยนไปจนผมตกใจมือเขาจับอยู่ที่หน้าอก กรอบหน้ามีเหงื่อออกเยอะจนผมทำอะไรไม่ถูกผมหยิบโทรศัพท์ดูเวลามันยิ่งทำให้ผมรนรานมากกว่าเดิมเพราะมันเหลือเวลาแค่สิบนาทีก่อนแทฮยอนจะหายไป แทฮยอนซบลงที่หัวไหล่ของผมไม่มีเสียงใดๆหลุดมาจากริมฝีนั้นมันยิ่งทำให้ผมเป็นกังวลผมกอดเขาไว้


    “ แทฮยอน”


    “ เล่าเรื่องคุณต่อได้ไหม “ เสียงที่เคยสดใสแหบลงเหมือนคนป่วยจนผมกอดเขาแน่นกว่าเดิม


    “ รู้ไหมคุณเป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ ไองานแกลลอรี่นั้นคุณไม่จำเป็นต้องเขียนไอดีไลน์หรอกแต่ผู้หญิงที่ดูแลคนนั้นเขาหลอกคุณ แต่ผมเป็นคนขีดไอดีคุณทิ้งเอง “ เขาเงยหน้ามองผมใบหน้าขาวซีดลง ริมฝีปากสีชมพูก็ซีดลงไปด้วยเขากำลังหัวเราะออกแต่มันเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน ผมมองเขาก่อนจะเริ่มพูดต่อ ผมอยากมองเขาให้นานที่สุดนานเท่าที่ผมจะทำได้


    “ ผมดีใจนะที่คุณมาตามนัดถึงมันจะสายไปเกือบยี่สิบกว่านาทีผมจำไม่ได้ว่าเคยพูดหรือยัง ถ้าเคยบอกไปแล้วผมก็ขอพูดอีกรอบว่า วันนั้นมันเป็นที่มีความสุขมาก มากจนผมไม่อยากให้มันหมดลง “


    “ ผมด้วย “ เขายิ้ม “ มินโฮ ผมดีใจที่ได้เจอคุณและได้รักคุณ “


    “ อย่าเพิ่งพูดอะไรซิมันยังเหลืออยู่อีกตั้งสามนาทีนะ “


    “ ที่พูดว่ารักคุณมันหมายถึงว่าผมจะรักคุณตลอดไป


     หัวใจผมมันเจ็บเหมือนโดนมีดทิ่มภาพตรงหน้าถูกบังด้วยน้ำตาที่มันกำลังไหล รอยยิ้มที่เขากำลังยิ้มนั้นมันเศร้าเหลือเกินฝนที่ตกลงมาเหมือนน้ำตาของผมตอนนี้แทฮยอนตรงหน้าค่อยๆเลือนลางผมคว้าเขามากอดพร่ำพรูคำว่ารักออกมาไม่หยุดกอดเขาเอาไว้ไม่ให้หายไปคำว่ารักที่พูดเป็นเหมือนสัญญาว่าจะรักเขาแค่คนเดียว


    “ มินโฮ ในทุกๆวันขอให้มีแต่ความสุขนะ ยิ้มเยอะๆกินข้าวให้อร่อย “  คำพูดสุดท้ายในอ้อมกอดของผมก่อนเขาจะหายไปเหลือเพียงแค่ตัวผมในบ้านหลังนี้เสียงฟ้าผ่ามันดังพอๆกับเสียงคร่ำครวญของผมน้ำตาผมมันไหลออกมาไม่หยุดหัวใจของผมมันทรมานจนต้องจับที่หน้าอก ผมไม่เคยจินตนาการในช่วงเวลาที่ไม่มีแทฮยอน มันเจ็บปวดมาก มากเกินกว่าผมจะรับไหว มันไม่ใช่ความรู้สึกอกหักแต่มันคือความรู้สึกที่เราเสียสิ่งที่มีค่าไปตลอดกาล ไม่มีวันที่จะได้เจอมันอีกเหลือเพียงภาพถ่ายที่รู้สึกคิดถึงเมื่อไหร่ก็หยิบมันขึ้นมาดูเติมเต็มความรู้สึกที่หายไปแต่มันก็แค่สิ่งทดแทนเท่านั้น เสียงฝนตก เสียงฟ้าร้อง บ้านหลังเล็กมันกลับใหญ่เมื่อไม่มีแทฮยอน มันแย่ แย่เอามากๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันมันเร็วกว่าเวลาตอนนี้กว่าจะผ่านไปในแต่ละนาทีนานเหมือนเป็นปีหากนี่เป็นการทดสอบของพระเจ้าผมไม่สนุกกับผมเลย


         ผมเอาแต่ร้องไห้และเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบียร์ที่ถูกหยิบออกมาตั้งแต่เมื่อคืนมันยังคงอยู่บนโต๊ะที่แทฮยอนวางไว้แสงพระอาทิตย์ส่องเข้ามาทำให้ภายในห้องที่มืดดูสว่างขึ้นผมไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วไม่รู้สึกง่วงด้วยซ้ำผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปที่แทฮยอนบอกให้เปิดดูในวันนี้ มันมีรูปกับคลิปวิดีโอผมทำใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดมันดู แทฮยอนกำลังยิ้มมันทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง


     “ ซงมินโฮ ดูอยู่ใช่ไหม อ่า ผมคงไม่ได้อยู่กับคุณตรงนั้นแล้วไม่รู้จะพูดอะไรเลยมันไม่รู้จะเริ่มยังไงดี อือ ขอบคุณสำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมา มันมีความสุขมากเลยถึงเราจะชอบทะเลาะกันเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตามฮ่าๆ ผมชอบรอยยิ้มของคุณและผมก็ชอบเวลาคุณทำเรื่องกระจอกๆ เช่น ท้าคุณลุงที่ตีปิงปองเก่งมากๆคุณก็ยังมั่นใจว่าชนะแต่ก็แพ้ ยังจำได้ไหมตอนนั้นมันตลกมากเลย “  ผมพยักหน้าตอบ  “ ช่วยรักษารอยยิ้มนั้นไว้ด้วยนะอยู่อย่างมีความสุข กินข้าวให้มันเยอะๆหน่อย ผอมเกินไปแล้ว ผมซื้อผ้าพันคอไว้ให้คุณด้วยอยู่ในตู้เสื้อผ้าเข้าหน้าหนาวแล้วอย่าลืมใช้มันละ ปีนี้ไม่มีผมอยู่ดูหิมะแรกกับวันปีใหม่ คุณคิดว่าผมเปลี่ยนที่ฉลองจากเดิมอยู่กับคุณแต่เป็นอยู่บนฟ้าแทนแต่เรายังคงฉลองอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเนอะ  ผมต้องหยุดอัดแล้วเพราะคุณกำลังรอผมอยู่ “ เขาถ่ายแล้วเอานิ้วชี้มาที่ผมกำลังหันดูอย่างอื่น “ ดูแลตัวเองให้ดีๆ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามินโฮผมรักคุณนะ อ่าผมพูดมันอีกแล้ว แต่ก็ผมรักคุณมากๆนะ “ 


     วิดีโอจบลงที่รอยยิ้มของเขา

     ผมยิ้มทั้งที่น้ำตามันกำลังไหลอยู่ความรู้สึกมันปะปนไปหมด


      เขายังคงน่ารักเสมอ คำว่ารักที่พูดมันไม่ใช่แค่ช่วงที่ผมรักเขาหรือตอนที่เขาจากไปแต่มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าผมจะรักเขาแค่เขาเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกอะไรอีกแต่ผมอยากให้โชคชะตาเล่นตลกโดยที่ส่งเขากลับมาให้ผมอีกครั้งให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไปผมรู้ว่ามันไม่ได้แต่ผมก็ยังหวังว่ามันจะเป็นจริง ได้โปรดเถอะ



           ท้องฟ้ากลับมามืดอีกครั้งผมยืนอยู่ที่ระเบียงพร้อมบุหรี่ลมเย็นต้อนรับฤดูหนาว ฟ้าเปิดทำให้ผมเห็นดวงจันทร์อย่างชัดเจน ผมมองดูรูปแทฮยอนในมือ


    “แทฮยอน ผมคิดถึงคุณนะ คิดถึงมากกว่าเดิมอีก “


    ผมมองท้องฟ้าอีกครั้งและหิมะแรกของปีก็ได้ตกลงมาผมหลับตาอธิษฐาน

    ขอให้คุณเห็นหิมะแรกเหมือนกับผม

    และผมยังคงรอคุณถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม 


    ________________________________

    #ความทรงจำถาวรนัมซง

    #namsong

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in