เสียงนาฬิกาปลุกของฉันดังขึ้นเวลา 06.00 น. พร้อมกับโน้ตที่เขียนว่า “กลับบ้านเรา รักรออยู่” น่าจะเข้าเดือนที่สามแล้วที่ฉันไม่เคยได้กลับบ้านเลย
ฉันมารอรถเพื่อกลับบ้านที่สถานีสายภาคตะวันออก แต่รถทุกสายที่ผ่านบ้านฉันกลับเต็มทุกคัน ฉันเองก็แปลกใจ ทั้งๆที่วันนี้เพิ่งวันที่ 8 เมษายนเท่านั้นเอง
ฉันได้นั่งรถตู้ที่ปลายทางคือโรงเกลือ หรือประตูผ่านด่านไปประเทศกัมพูชา ก่อนหน้านี้ฉันเคยนั่งที่ทั้งคันคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเพื่อนบ้านชาวกัมพูชา
ฉันคือผู้โดยสารคนสุดท้ายของรถคันนี้ ได้ที่นั่งด้านหลังคนขับ เท่าที่ฉันกวาดสายตาคร่าวๆพบว่าทุกคนเป็นคนไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติชายแค่คนเดียว แล้วเราทั้งหมดก็ออกเดินทางกันตอน 08.45 น.
เส้นทางที่คุ้นเคยทำฉันอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุด ยายจะเป็นยังไงบ้างนะ ตาล่ะกำลังทำอะไรอยู่ หนังสือที่ฉันตั้งใจซื้อไปฝากหลานๆ พวกเค้าจะสนุกกับมันมั้ยนะ ฉันอดคิดไม่ได้เลย
ป้ายบอกเส้นทางว่าอีก 62 กิโลเมตรจะถึงบ้านของฉันแล้ว คนขับรถก็บอกว่า รถมีปัญหา ต้องขอซ่อมซักครู่
อากาศร้อนระอุ ขอย้ำว่าร้อนระอุจริงๆ มีทั้งความร้อนจากแสงแดดและไอร้อนที่สะท้อนจากพื้น ต้นไม้ที่ร้านซ่อมรถมีแค่ต้นเดียว แต่กลับเป็นที่อยู่ของมดรังเบ้อเร่อ ฉันอยู่ไม่สุข แต่พยายามยืนเฉยๆเพื่อสัมผัสลมที่พัดราวกับกลัวใบไม้จะกระดิก ผิดกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนนั้น ช่างซุกซนเสียจริง เขาดูตื่นเต้นกับทุกอย่างที่ได้เจอ ขอถ่ายรูปกับช่างซ่อมรถที่หน้าเปื้อนน้ำมันดำไปครึ่งหน้า ขอถ่ายรูปคนขับรถที่ตอนนี้หัวเสียกับรถที่มีปัญหา แล้วเค้าก็เดินมาคุยกับผู้โดยสารชายคนนึงที่กำลังก้มเก็บมะม่วงที่พื้น
“นี่เรียกมะม่วงใช่มั้ย ฉันว่าใช่นะ ฉันเคยกินตอนมันสีเหลืองที่ตลาดน้ำ มันหวานและสดชื่นมาก” เค้าเล่าด้วยภาษาอังกฤษในสำเนียงที่ฉันไม่คุ้นหูเท่าไหร่ ให้ชายคนนั้นฟังอย่างออกรส
ชายคนนั้นยิ้มแห้งๆให้เค้าทีนึง
“อ่าว ฟังไม่รู้เรื่องหรอ” เค้ายิ้มให้ชายคนนั้น แล้วเริ่มหาของเล่นชิ้นใหม่
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง คนขับรถก็เรียกผู้โดยสารทั้งหมดขึ้นรถ พวกเราคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมออกเดินทาง ทุกคนพร้อมแล้ว แต่คนขับรถลงไปคุยกับช่าง เราเดาว่าอาจคุยเรื่องค่าใช้จ่าย ในใจก็เร่งอยากให้คุยเร็วๆ ฉันอยากกลับบ้านมากๆ
“รบกวนผู้โดยสารลงไปรอด้านล่างอีกครั้งนะครับ เหมือนจะมีปัญหาอีกแล้ว”
ไม่นะ ระยะทางอีกแค่60กว่ากิโลเมตร ทำไมมันต้องเกิดเรื่องอะไรด้วย ฉันอยากจะกรีดร้อง
คราวนี้ฉันลงมารอข้างล่างด้วยความจำใจ หน้าตาฉันตอนนี้อาจจะมุ่ย และยับยู่ยี่เหมือนกระดาษรีไซเคิลที่ถูกขยำแล้วคลายออกเพื่อขยำอีกรอบ ฉันเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็นั่นแหละ ฉันอยากถึงบ้านเต็มทีเลยพาลไปหน่อย
สายตาอันว่องไวและเฉียบคมของฉันหันไปเห็นช่างซ่อมรถกำลังเปิดพัดลมตัวโตเพื่อคลายความร้อน ฉันรีบตรงดิ่งไปหน้าพัดลมทันที แต่ตรงนั้นมีชาวต่างชาติกำลังนั่งที่เก้าอีกไม้ตัวเล็ก พอเขาเห็นฉันก็เลยลุกและให้ฉันไปนั่ง จริงๆฉันบอกไม่เป็นไรให้เขานั่งไปเถอะ แต่เราสองคนปฏิเสธกันไปมาจนมากความ ฉันเลยกล่าวขอบคุณแล้วนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็กหน้าพัดลมตัวโต เขานั่งลงที่พื้นข้างๆฉัน หยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายนั่น นู่น นี่ ตามภาษา
“คุณมาจากที่ไหนหรอ” ฉันตัดสินใจทักทายเขาแก้เขิน ที่เขาอุส่าห์ให้ฉันนั่งเก้าอี้แล้วตัวเองก็ไปนั่งที่พื้นเฉยเลย
“ผมมาจากตุรกี ตุร-กี คุณรู้จักมั้ย ” เขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงเดิม
“อ๋อ ตุรกี หรอ เคยได้ยินชื่อประเทศนี้ แล้วคุณจะไปไหนอะ กัมพูชาหรอ”
“ใช่ เอ่อ ผมจะไปวัด ที่เสียมเรียบ เอ้ยเสียมราบ พูดแบบนี้ถูกมั้ยนะ”
“ฮ่าๆ คงถูกแหละมั้ง ฉันเคยได้ยินชื่อเสียมเรียบเหมือนกัน” เขาเริ่มเปิดภาพถ่ายที่เขาไปเที่ยวมาให้ดู เขาเล่าให้ฟังว่าประทับใจวัดที่กัมพูชากมาก เพราะเป็นสถานที่ Angelina Jolie เคยมาถ่ายภาพยนตร์ เค้าเลยเเกะรอยสถานที่ตามหนังมา แล้วมันก็สวยจนเค้ายกเลิกทริปที่จะต้องไปพัทยาและภูเก็ต เพื่อมาอยู่ที่กัมพูชา จนกว่าเขาจะกลับ
เราทำความรู้จักกันนิดหน่อย และเขาเริ่มเล่าถึงการท่องเที่ยวร่วมสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อาหารที่ได้กิน ผลไม้ที่ชอบ เหตุการณ์โทรศัพท์หายที่เหลือเพียงTablet และกล้องMirrorlessธรรมดาบลา บลา บลา นี่เขาคงเหงามากใช่มั้ย
เขาออกตัวว่าพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่เขาอยากเล่าให้ฉันฟัง ทั้งอธิบาย ทั้งวาดภาพ(อยากถ่ายภาพสับประรดที่เขาเรียกว่า Ananas มากๆ และเขาตั้งใจวาดเพื่ออธิบายให้ฉันฟังถึงความอร่อยของมัน แต่แน่ใจนะว่านั่นคือสับประรด ฉันเดาไม่ออกจริงๆ ฮ่าๆ)
ฉันสังเกตว่าเค้ามีกระดาษใบเดียวที่ยับเยินพอๆกับหน้าฉันก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“ชอบจดบันทึกมั้ย รอฉันเดี๋ยวนะ ฉันมีอะไรจะให้” ฉันเดินไปหยิบสมุดบันทึกที่ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือเมื่อวานยื่นให้เขา เป็นสมุดกระดาษ Green read ไม่มีเส้น คล้ายพ็อกเกตบุ๊คขนาดพอดีมือ หน้าปกเป็นภาพวาดสีน้ำไซบีเรียนสีเทาหน้าตาหล่อเหลา
“ให้ฉันหรอ ไม่ได้ๆ รับไม่ได้หรอก ฉันไม่มีอะไรให้เธอกลับเลย”
“ไม่เป็นไร ฉันอยากให้ เห็นมีแค่กระดาษแผ่นเดียว ถ้าหายไปแย่เลย”
เขารับไปพร้อมขอบคุณหลายครั้งมาก หยิบปากกามาจดบันทึกทันที
ฉันเองก็หยิบสมุดบันทึกออกมาเขียนคร่าวๆว่ายินดีที่ได้รู้จักกับเขา พร้อมกับอีโมชั่น :)
เขาเขียนเสร็จก็ยื่นมาให้ฉัน ฉันกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ เป็นการเขียนบันทึกว่าเขาได้สมุดเล่มนี้จากฉัน เขาขอบคุณที่รถเสีย และยินดีที่ได้รู้จักฉัน พร้อมกับอีโมชั่น :) เช่นกัน
ฉันขำออกมาพร้อมอวดอีโมชั่นที่บังเอิญเหมือนกันให้เขาดู ฉันดีใจที่เห็นเขาสนุกกับการจดบันทึก เราสองคนแลกสมุดเพื่อไปจดemailไว้ติดต่อกัน
“ฉันอยากให้เธอลองไปเที่ยวตุรกีดูบ้าง ถ้าชอบเมืองโบราณ ฉันจะเป็นไกด์ฟรีพร้อมที่พัก”
“ได้เลย ถ้ามีโอกาสฉันไปแน่นอน”
“ผู้โดยสารเชิญขึ้นรถได้เลยครับ ครั้งนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน” เสียงคนขับรถเรียกพวกเรา พร้อมใบหน้าคลายกังวล
“ต้องไปขึ้นรถแล้ว” ฉันแปลให้เขาฟัง
เขาหันมาพูดภาษาตุรกีใส่ฉันรัวๆ ใบหน้าที่ยิ้มเขินๆนั่นบอกฉันว่า ถ้าเขาไม่ได้บอกรัก คงต้องกำลังด่าฉันแน่ๆ
“นี่ อย่าแกล้งฉันด้วยภาษาตุรกีสิ ไม่แฟร์เลย”
เขายิ้มให้หนึ่งทีโดยไม่ตอบอะไร แล้วขึ้นไปนั่งที่ของตัวเอง
ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนตัวออก เขายื่นแม่เหล็กติดตู้เย็นรูปปราสาทหินที่มีภาษาอังกฤษกำกับว่า CAMBODIA ให้ฉัน ฉันกล่าวขอบคุณ และเข้าใจว่าคงให้ตอบแทนกับสมุดบันทึกเล่มนั้น
ฉันต้องลงก่อนที่รถจะตรงไปโรงเกลือ
“ไว้เจอกันนะHASAN เที่ยวให้สนุกและดูแลตัวเองด้วย” ฉันโบกมือพร้อมคำลาให้เขา
“ไว้เจอกันMAIKO โชคดีนะ” เขาลาฉัน
โลกตั้งกว้าง ประเทศตั้งใหญ่ รถตู้ที่มีผู้โดยสารสิบกว่าชีวิตเรายังได้รู้จักกันเลย คงต้องมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งแน่นอนHASAN.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in