เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
All about my journey in Hong Kong 2015I'Am Janista
My Hong Kong Trip 2015 by Am
  • ปีที่แล้วมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก เรากับเพื่อนก็เลยเลือกไปฮ่องกันกัน วางแผนเกือบหนึ่งปีเต็ม ๆ เคยเล่าไว้ในเฟซบุ๊คนานแล้ว เลยยกมาเล่าในนี้บ้าง เป็นการเก็บความทรงจำของเราอีกทาง ^ ^ แต่ด้วยที่ตัวเองเป็นคนเหนือเลยจะมีภาษาเหนือปนมาค่อนข้างเยอะ ยกข้อความมาทั้งหมดเลยนะเนี่ย 

    กลับมาอ่านแล้วก็อยากไปอีกรอบ มีหลาย ๆ ที่ที่เรายังไม่เคยไป มีหลายกิจกรรมที่ยังไม่ได้ทำ คิดถึงฮ่องกงจังเลย 




    วันนี้มาเหลาเรื่องไปแอ่วฮ่องกงดีกว่า

    เฮ้ยย แอมมันไปฮ่องกงหมดไปเยอะก่อ??? หลายคนต้องมีคำถามนี้ 55555555
    วันนี้จะมาบอกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คร่าว ๆ บางอันก่อจำได้ บางอันก็ลืมไปแล้ว รวมไปถึงเล่าวีรกรรมต่าง ๆ เท่าที่
    นึกออกได้

    ทริปฮ่องกงรอบนี้เป็นการไปเมืองนอกครั้งแรก นั่นคือแอมจะมีค่าพาสปอร์ตงอกมาอีก 1050 บาท เป็นการไป
    เที่ยวแบบ แบ็คแพ็ค ไม่ได้ไปกับทัวร์ นั่นคือต้องวางแผนการเที่ยวเองทั้งหมดตั้งแต่เหยียบสนามบินฮ่องกงจน
    กระทั่งขึ้นเครื่องกลับ เรื่องมันอาจจะยาวไปจนถึงคอมเมนท์ ถ้าเฟซบุ๊คมันให้พิมพ์ใส่หมดก็จะพิมพ์ แต่คิดว่าไม่
    พอหรอก 555555

    เริ่มต้นที่ ตั๋วเครื่องบิน จำได้ว่าเมย์กดได้ราคา 1,860 บาท ไปกลับก็ 3720 มั้ง?? แต่ไม่ได้โหลดกระเป๋า มาซื้อ
    เพิ่มทั้งขาไปขากลับอีกประมาณ 1200 บาท (600+640)

    จองกันตั้งแต่ปลายที 2557 ไม่ก็ต้นปี 2558 จำไม่ได้แล้ว รู้แต่รอบแรกจ่ายไป 4500 บาท

    แล้วก็เก็บตังค์มาเรื่อย ๆ มาหาที่พัก นั่นนู่นนี่ จนได้ที่ Pearl Guest House ชั้น 10 อาคาร Mirador Mansion ใน
    จิมชาจุ่ย ราคารวม 3 คืนหารสองคนตกอยู่คนละ 3500 บาทโดยประมาณ (ถูกมากกกกก) ทำไมต้องจิมชาจุ่ย?? 
    ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นหาที่พักที่ไหนก็เจอแต่ ชุงกิง/ชุงคิง อีกตึกอ่ะ แต่รีวิวเขาบอกตึกมันน่ากลัว คนผิวสีเยอะ 
    (เออเยอะจริง เยอะมาก เยอะไปไหน) ตอนแรกใช้บัตรจองผ่าน Booking แล้วไปจ่ายเงินตอนเข้าพัก แต่ทาง
    เกสต์เฮาส์น่าจะเรียกตัดบัตรก่อนเพื่อความชัวร์ ก็เลยต้องจ่ายค่าที่พักไปตอนประมาณ เดือนอะไรหว่า??? 
    กันยายน มั้ง? จำไม่ได้อีกแล้ว 555555

    ระหว่างนี้ก็คุยกันว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี ซึ่งวันแรกถูกวางไว้ว่าไปนั่งกระเช้าไปวัดพระใหญ่นองปิงกัน โดยเอา
    กระเป๋ามาฝากไว้ที่พักก่อน แล้วไปเที่ยวค่อยกลับมาเช็คอิน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็น เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ 
    ห้างซิตี้เกทก่อน เดี๋ยวเล่าข้างล่างต่อแล้วกัน

    กลับมาเรื่องแผนเที่ยวใหม่ พอวางไว้ว่าวันแรกไปนองปิงแล้วกลับมาเดิน Avenue of Star ถ่ายรูปสวย ๆ แล้วต่อ
    ด้วยนั่งดูการแสดงสีเสียง ณ เพิร์ลฮาร์เบิร์ล ผิด!!! อ่าววิคตอเรีย (ไม่ได้มาตายนะแหม่...)

    วันที่สองถูกวางให้ไป ดิสนีย์แลนด์ฮ่องกง ทั้งวันเลยค่ะ ตอนวางแผนรอบแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งกลางปี 
    2558 ข้าเจ้าเพิ่งจะมามึ้งว่ามันตรงกับวันฮาโลวีนพอดีเลย!!!!! มันต้องมีงานอลังการงานโชว์อะไรสักอย่างแน่ ๆ 
    เลยแอบคาดหวังไว้พอประมาณ มีคิดไว้ว่าจะแต่งหน้าไงไปดี 55555

    วันที่สาม ไปวัดนางชี สวนหนานเหลียน แล้วต่อด้วย วัดหวังต้าเซียน (เหมือนจะเรียกผิด) แล้วไปต่อกันที่เลดี้
    มาร์เก็ต ซื้อของฝากกลับไทย

    วันที่สี่ เก็บของกลับ ไม่มีโปรแกรมเที่ยวเพราะบินเช้า

    พอวางโปรแกรมเสร็จ ก็คุยกันว่า เดี๋ยวใกล้ ๆ ไปค่อยซื้อตั๋ว ซึ่งตั๋วที่จะซื้อไปก็มี
    - ตั๋วดิสนีย์แลนด์แบบหนึ่งวัน
    - ตั๋วขึ้นเดอะพีค
    - ตั๋วนองปิง เอาแบบคริสตัลใสใส วัดใจคนกลัวความสูงแบบนางแอม
    - ซิมการ์ดโทรศัพท์ของฮ่องกง
    - บัตรปลาหมึก (Octopus) 
    - ประกันการเดินทางตลอดระยะเวลาการเที่ยวฮ่องกง

    ตอนแรกที่ใจเย็นกันอยู่ พอระเบิดลงกลางกรุงปุ๊บ ค่าบัตรทะยานขึ้นเลยจ้าววว จำได้ว่าตอนนั้นบัตรดิสนีย์อยู่ที่ประมาณ 1890 บาทยังนึกเลยว่าอู้วว แอบแพงนะเนี่ย พอมาส่องอีกที เกือบ 2000 ไม่กี่วันหลังจากวัน 2050 บาท เลยปรึกษากันว่า ซื้อเหอะจะได้ไม่เป็นภาระกระเป๋าตังค์ 555555555

    - นองปิง ราคา 950 บาท
    - เดอะพีค 320 บาท
    - บัตรปลาหมึก 780 บาท (แนะนำไปถึงเพิ่มเงินสัก 100 เหรียญมันได้ใช้เยอะมากจริง ๆ เงินสดไม่ค่อยได้จ่ายหรอก
    - ซิมฮ่องกง 550 บาท
    - ประกันการเดินทาง 5-6 วัน ราคา 200 บาท (มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประกันนี้ด้วย เกือบได้ใช้ตอนไปแล้วล่ะ)
    - ตั๋วดิสนีย์แลนด์ 2050 บาท

    รวมแล้วก็ 4850 แล้วก็จะมีค่าส่งเอกสารมาให้เรา 150 บาทด้วยนะ แต่ตรงนี้เราก็จะได้บัตรทุกอย่างไปจากเมืองไทยเลย รวมทั้งบัตรปลาหมึกที่เป็นเหมือน สมาร์ทเพิร์ทเซเว่นบ้านเรานี่แหละ ขึ้นรถ ลงเรือ นั่งรถไฟฟ้า ซื้อตั๋วต่าง ๆ ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น ร้านขายของ แทบจะแตะบัตรนี้ทั้งนั้น

    อันนี้เป็นราคาต่อคนนะคะ ไม่ใช่สองคนคือราคาจ่ายก็คูณสองเข้าไปค่ะ แอมสั่งจากตระกูลเฉิน เค้าออกบัตรจริงให้ค่ะ ยิ่งนองปิงซื้อจากไทยไปเลยนะ ไม่แนะนำไปซื้อนู่นเพราะแถวยาวเป็นสามชั่วโมงเลยมั้งถ้าจะไปต่อ ยาวมากกกก นี่ถือบัตรเดินชิลเข้าไปเลย 555555

    แล้วก็มาถึงการแลกเงิน แอมแลกไป 6000 บาทได้มา 1300 เหรียญฮ่องกง เหลือมา 7 บาท ตอนนั้นเรทแลกอยู่ที่ 4.61 บาทต่อ 1 เหรียญฮ่องกง

    จากนั้นก็มาเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อแสดงให้กับ ตม. 
    แอมขอใบรับรองการทำงานจากฝ่ายบุคคลไปด้วย 555555 กลัว ตม. ไม่ให้เข้าอ่านรีวิวเยอะเกิน มีคนเล่าว่าไม่ผ่านเยอะอ่ะ กลัว >/////< สำเนาตั๋วเครื่องบิน บัตรที่เที่ยวต่าง ๆ ที่พัก อะไรเตรียมให้พร้อม เงินที่แลกไป เก็บไว้ที่เดียวกัน ลิสต์รายการที่จะเตรียมไว้ทั้งหมด (สารภาพว่าจัดกระเป๋าสองคืนสุดท้ายก่อนไปเอง แหะ ๆ)

    เล่าข้ามไปวันเดินทาง ตื่นตีสามค่ะ เดินทางมาถึงสนามบินตีสี่นิด ๆ ไปรอเช็คอินโหลดกระเป๋าอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง แถมยังต้องมาขอเคาท์เตอร์ออกสำเนาตั๋วขากลับอีกต่างหาก ตีห้าแล้วยังไม่ได้เข้า ตม. เพราะไม่มีใครเอาใบ ตม.มาให้กรอก นี่ก็เดินพล่านทั่วเลย กว่าจะเขียนเสร็จ คนเขาเข้าไปจนหมดแล้ว พอผ่าน ตม. มาปุ๊บเสียงประกาศขึ้นเครื่องดังทันที วิ่งสิแอม วิ่ง!!! ถถถถถ พอขึ้นเครื่องเสร็จก็หลับค่ะ มันเช้ามาก เครื่องออก 6 โมงดีที่ได้ที่นั่งฝั่งตะวันตก แดดไม่ส่อง วะฮะฮ่า หลับจนใกล้ถึงฮ่องกงลงก็ตื่น เช็ดขี้มูก ขี้ตาก่อนลง

    พอถึงงง..... งงอะไร?? ก็เค้าบอกถึงแล้วลงมาก่อนไป ตม. จะขึ้นรถไปอีกอาคารหนึ่ง ทุกรีวิวเขียนไว้อย่างนั้น แต่นี่ไม่...เดินออกมาเจอ ตม.เลย งง เฮ้ยมาถูกแล้วเหรอ?? คนก็พาเหรดกันออกมาเรื่อย เอาวะ เดินไปเหอะ เขาไปทางไหนก็ทางนั้น สรุปคือไม่ได้ขึ้นรถอะไรสักอย่าง มาถึงอาคารที่ ตม. อยู่เฉยเลย

    พอผ่าน ตม. มาแบบง่าย ๆ มองหน้าทีนึงปั๊ม ป๊าบบบ ก็เดินมาเอากระเป๋า ไปห้องน้ำ แล้วก็ควักซิมออกมาเปลี่ยน แต่เมย์ดัน activate ซิมไม่ได้ เลยออกพากันออกมาร้าน 1010 พี่พนักงานก็อธิบายอย่างงง คือไม่งงหรอก แต่เรางงภาษาเค้า = = แคนโตนิสอิงลิชฟังยากมากกก จนในที่สุดก็เสร็จ มั้ง?? ออกมา ไลน์ถามพี่อ้วนว่าหารถไฟฟ้าไม่เจอ พี่อ้วนเลยบอกให้นั่งบัส S1 ไปสถานี Tung Chung ก็เดิน ๆ หา เดินเลยอีก 55555 หันกลับมาอ้าวเลยป้าย ประจวบกับรถบัสมาพอดี ลากกระเป๋าวิ่งขึ้นรถค่าาาา โอ๊ยยย เหนื่อยมาก หอบแฮ่ก ๆ จับกระเป๋ายัดใส่ช่องวางกระเป๋าแล้วก็พากันขึ้นมานั่งข้างบน อ้อจ่ายค่าบัสด้วยบัตรปลาหมึก 3.5 เหรียญเอง พอนั่งมาได้สักพัก เมย์ก็หันมาพูดว่า "แอม...นั่งใต้ดินไป Tung Chung มันฟรีนิ!!!" เออออ ลืมมมม 555555555 ตอนนั้นคิดแค่หารถไปให้ได้ไวไว 55555555

    พอไปถึงซิตี้เกทละคือมันซ่อนอยู่หลังกำแพงหรือผนังท่ารถเค้าล่ะ ก็งง ตูต้องเดินไปทางไหนต่อ ก็ลากตามชาวบ้านเขาไปแหละ ในใจคิด มันตึงปะบ่ะ!!! แล้วก็เจอจริง ๆ เดินเข้ามาในห้องก็มองหาทางไปฝากล็อคเกอร์ก่อนอันดับแรก ห้างซิตี้เกทเนี้ย มันติดกับทางขึ้นกระเช้านองปิงเลย มีล็อคเกอร์อยู่สองชั้น (หมายถึงตึกนะ) เป็นชั่นล่าง และล่างสุด
    ของตึกลงบันไดเลื่อนมา แล้วจะเจอเคาท์เตอร์แลกเงิน มีล็อคเกอร์สองขนาด ขนาดกลางใส่กระเป๋าลากใบกลาง
    ได้สองใบ เป้อีกสองใบ (ยัดมาแล้ว) ราคาอยู่ที่ 10 เหรียญต่อสองชั่วโมง และอีกขนาดหนึ่งใส่กระเป๋าลากใบใหญ่ 
    ๆ ได้สบายเลย ล็อคเกอร์ลึกมากเข้าไปนั่งได้ประมาณสามคนได้เลย อิอิ

    อันนี้วัดดวงนะเรื่องล็อคเกอร์ เพราะเราไม่รู้ว่าไปถึงจะมีเหลือให้เราอยู่หรือเปล่า เพราะตอนที่ไปเดชะบุญเหลือ
    อันสุดท้ายพอดีเลยจย้าาาาา เกือบต้องหิ้วกลับที่พักซะแล้ว

    เสร็จเรื่องล็อคเกอร์ ก็เดินขึ้นมาหาอะไรทาน ขึ้นมาได้สองชั้น เมย์หันมาบอก แอมลืมบัตรนองปิงไว้ในล็อคเกอร์ 5555555 กลับไปเปิดเอาบัตรมาอีกรอบ จริง ๆ มันน่าจะคิดเงินเต็มตั้งแต่ไปเอาออกแหละ แต่นี่ก็ปิดไว้เหมือนเดิม มันก็ล็อคเหมือนเดิม เออดีเนาะ

    จากนั้นก็เดินมาหาของกินกันที่ฟู้ดแลนด์ หรืออะไรนี่แหละ ความจริงคือเดินผิดฝั่งไปโผล่ไหนไม่รู้ วนกลับมาอีกรอบถึงเจอ ซ่อนอยู่ในหลืบปู้นน กินข้าวไข่ผัดอะไรไม่รู้ พอใช้ได้ ราคา 58 เหรียญ ( ประมาณ 260 บาท) พยายามไม่คิดเป็นเงินไทยนะเวลาอยู่นู่น เพราะมันจะเจ็บปวดใจเวลาคูณออกมา = = น้ำขวดละ 10 เหรียญจะบ้าตาย เกือบครึ่งร้อยบาท ขวดเท่าน้ำดื่ม 6 บาทบ้านเราน้อยเดียวแพงชิบหาย

    กว่าจะกินข้าวเสร็จก็บ่ายโมงพอดี (ขนาดว่าออกสนามบินมาสิบโมงกว่า ๆ นะ) แล้วก็พากันไปนั่งกระเช้าขึ้นนองปิง เดินเที่ยวจนทั่วแล้วก็กลับมาลง มาเอากระเป๋าคืน ไฮไลท์อยู่ตรงนี้ 55555555555555555

    ล็อคเกอร์เปิดไม่ได้ พอแตะบาร์โค้ดที่อยู่ที่ใบเสร็จ มันบอกให้ติดต่อผู้ให้บริการ หาาาาาา?????
    ซิมฮ่องกงได้ใช้กำเนี่ยยยย มีเงินอยู่ในซิม 30$ ฮ่องกง

    โทรเลยตามเบอร์ที่ให้ สักพักมีคนรับ โช้งเช้ง ๆ ๆ ๆ เลยบอกไปว่า

    "Excuse me, I can't pick up my luggege from locker"
    "@#$%^)&#%$"
    "ห๊ะ??? I can't pick up my bag from locker"
    "oh oh @#%#$@ locker $&(&%^$# here"

    เดาว่ามันจะมานี่ เพราะฉะนั้นนั่งรอไป สักพัก มาแต๊เฮ้ยยย วิ่งลงบันไดเลื่อนมาแล้วขอบาร์โค้ดเราไปติ๊ด ก็ไม่เป็นผล เค้าก็เข้าโหมดแอดมิน กดนั่นนี่ ๆ ๆ ๆ สุดท้ายคือจ่ายค่าล็อคเกอร์ไปสี่ชั่วโมง เป็นจำนวนเงิน 20 เหรียญ ไม่แพงแฮะ จากนั้นก็แบกกระเป๋ากลับมาขึ้นใต้ดินไปจิมชาจุ่ย ตอนขึ้นใต้ดินครั้งแรก มันตื่นเต้นนะ แม้จะขึ้นที่กรุงเทพมาหลายรอบแล้วอ่ะ แต่นี่มันไม่ใช่ไง เอ้อออ ลืมเล่า บันไดเลื่อนบ้านเค้าไว้กว่าบ้านเราเกือบเท่าตัว ลองคิดดูเหอะ ตอนนั้นมัน 5 โมงกว่าละ คนเริ่มเลิกงาน เย็นวันศุกร์พร้อม อื้อหือ พม่าสองคนลากกระเป๋าเข้ารถใต้ดิน กระเป๋าไหล นางแอมเกือบตากหงาย 5555555 อย่างฮา กว่าจะขึ้นมาเจออากาศบนดินได้ เหนื่อยมากกกก แบกกระเป๋าขึ้นมาประมาณสามชั่น

    พอออกมาถึง เค้าปรับปรุงทางออก งงค่าาาา เอ๋ออออ มันไปตางไดต่อน่ะ คือเท่าที่ กูเกิลสตรีทมาก็แล้ว รีวิวมาก็แล้ว พอมาเจอ ณ ปัจจุบันมันไม่เหมือนกันไง เอ๋ออออ ตางใดวันออก วันตกน่ะ?? จะมายืนกาง ๆ แผนที่ก็กลัว เค้าว่าพวกมิจฉาชีพมักเล็งนักท่องเที่ยวซะด้วย สักพักเมย์บอกเดวเปิ้นเดินไปดูก่อนว่าตางใดกันแน่ นางแอมยืนเฝ้ากระเป๋า!!! กลัวก็กลัว ต้องทำหน้าแบบ ชั้นรอเพื่อนย่ะ ชั้นไม่ได้หลงย่ะ ชั้นเคยมาประมาณห้าครั้งแล้ว 555555 แต่ในใจ เมย์ขะใจ๋มา!!! พอหาทางเดินไปที่พักได้ เก็บข้าวของแล้วก็แบบ โอ๊ยยย ห้องน่าอยู่มากกก เห็นวิวถนนนาธานได้ชัดแจ๋วมากกก มีเสียงแตรดังมาตลอด อากาศชั้น 10 ดีมากก (นี่ขอเล่าข้ามตอนเช็คอินละกัน)

    เสร็จแล้วด้วยความที่มันค่ำมากแล้ว เดินลัดทางเดินใต้ดินไปก็ปิดอีก ถถถถ เดินกลับมาข้ามถนนใหม่อีกรอบ ไปถึงก็ไม่เจอ Avenue of Star แล้วผลคือตัดไป เดินไปที่ลานดูแสงสีเลย นั่งหาข้อมูลว่าเราจะไปกินอาหารภัตตาคารไหนดี จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ ไม่รู้จะไปกินไหน เอออ ที่พักมีไมโครเวฟ เราซื้อข้าวไปเวฟกินที่ห้องดีกว่า ไม่อยากเดินไปไหนละ ง่วง

    ก็เข้าเซเว่น ซื้อข้าวกล่องกลับมาห้อง สิ่งที่ทราบคือ เวฟเสีย 555555555555555
    นึกภาพออกมะ?? สองคนถือข้าวกล่องเย็น ๆ แข็ง ๆ ยืนทำหน้าเบ้อยู่หน้าไมโครเวฟ ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องเอาน้ำร้อนมาใส่ กินเป็นข้าวต้มแทน ‪#‎ร้องไห้หนักมาก‬ คาบนั้นเลยเหมือนจำใจกิน กินไปหัวเราะไป จะบ้าตาย นั่งคุยกัน ทุกคนคงคิดว่าเรากินข้าวในภัตตาคารอร่อยฟินฟินกันแน่เลย แต่ที่จริงคือ กินข้าวแช่แข็งเคล้าน้ำร้อน ถถถถถ อาบน้ำเสร็จก็วางแผนวันที่สองต่อ หลับเป็นตายค่ะ

    วันที่สอง.....ดิสนีย์แลนด์ กำหนดการคือ ออก 7:30 แต่เอาเข้าจริงก็ปาเข้าไป 8 โมงกว่าแล้วถึงออกมาได้ พากันขึ้นรถไฟมาจนถึงดิสนีย์ ระหว่างรอประตูเปิดก็เดินถ่ายรูปกันเพลิน ๆ พอเข้าไปข้างในแล้วสิ่งแรกที่ไปเล่นคือ ยิงเป้าอะไรสักอย่าง ไปช่วยอิหุ่นยนต์นั้นอ่ะลืมชื่อ ยิงวายร้าย ถถถถ เมย์ยิงได้เป็นแสน หันมามองคะแนนนางแอมคือ สามพันห้า อร๊ายยยยยย >//////< อัปปรีย์มากกกก

    ต่อมาก็เดินเข้าสเปซเมาเท่น อันนี้แหละเด็ดสุด เดินเข้าไปยังไม่รู้ชะตากกรรมตัวเองเตื้อ หัวเราะคิกคัก ๆ ชี้นู่นชี้นี่ จนกระทั่ง ลงไปนั่งในรถไฟ ได้ที่นั่งหน้าสุดพร้อม มันยังไม่รู้ตัว..... บาร์ล็อคตัวเลื่อนลงมาหนีบตัวเราไว้ อ่ะฮ๊าา ปลอดภัยจุงง แล้วรถไฟก็เดินหน้าไป ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไป ดวงดาวแสนสวยลอยอยู่รอบ ๆ ตัวเรา สวยมากกก ระยิบระยับ ไม่ได้ฟังเสียงประกอบเล้ยยย จนกระทั่ง สาม สองหนึ่ง ....

    มันดิ่งลงมายังไม่เอะใจ จะกระทั่งมันเลี้ยงซ้าย... ชิบหายละ ไม่ใช่ละเฮ้ยยยย เบี่ยงขวา พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโหยหวนยิ่งกว่าฝูงหมาเดือนเพ็ญ นับแต่นั้นแอมก็ไม่เห็นฉากอันสวยงามอะไรอีกเลย หลับตาปี๋ กำที่กำข้างหน้าแน่ ก้มหัว คอหด แหกปากร้องสุดทาง

    ในหัวนี่คิดตลอด ฮาจะได้ปิ๊กไปเลี้ยงแม่ฮาอยู่ก่อ ประกันเดินทางที่ฮาทำมา 400 คงได้ใช้จริงแล้วล่ะ เอวฮาจะหลุดออกไปนอกรถก่อ คิงยังมีเวยกว่านี้อีกก๊ะ... อีกเมื่อใดมันจะหมด หมุนหาต๋ายหยังล้ำเหลือ มือสั่น แหกปากร้อง ตลอดทาง จนกระทั่งมันลดความเร็วลง แล้วประตูเปิดให้ลงจากรถ แทบทรุด เมย์ลากออก ปากนางแอมหยุดแหกแล้วเหลือแต่คำว่า เอ๊ออออ เอ๊ออออ เอ๊ออออออ คือจะร้องก็ร้องไม่ออก แม่จ้าว เหมือนเกิดใหม่ 5555555555555555

  • จากนั้นมา จำไม่ได้ละ เดินมาเล่นอะไรต่อ ขอเล่าข้ามไปข้ามมาได้มั้ย???

    ชอบที่สุดคือ สมอลเวิร์ล ที่แอมอัพลงท่อไว้ หาดูได้ข้างล่าง แชร์ไว้อยู่ สนุกดี นั่งดูเพลิน ๆ สองรอบ 555555 แล้วก็มีไปนั่งไหน้ำผึ้งของหมีพูห์ ไปดูมิสติกแมนเนอร์ สนุกดี บิวท์อารมณ์ได้สนุกมาก เดินข้ามไปข้ามมา ลืมไปหมดแล้วอ่ะ มันเยอะเกิน 

    ที่จะเล่าคือ เกือบค่ำละห้าโมงกว่า จะมานั่งรถรางรอบดิสนีย์ เค้าบอกมีถึงรอบหกโมงเย็น ยูชู้ทโกนาว นะ เอ๋อออ ฟั่งมาขึ่นรอบสุดท้าย แล้วก็คุยกับเมย์ว่า เรายังเหลืออะไรที่จะเก็บอีกบ้าง มีสองสามอย่างก่อนพลุจะจุด ก็เลยไปลงสถานีข้างหลัง ไปดูหนัง 4D แต่ แต่ แต่ แม่จ้าวขุ่นพี่ข้างหน้าใส่หูมิกกี้บังหนู ฮืออออ โดนัลดั๊กลอยมาครึ่งตัว จะบ้าตาย แต่สนุกมาก ถึงแม้จะมีเด็กแหกปากร้องไห้มาตอนต้นรายการก็ตาม แต่แม่หนูก็เงียบไปในที่สุด

    แล้วก็กลับมาเล่นยิงเป้าอีกที แล้วก็ไปหลวอยู่ในร้านขายของนานมาก ซึ่งไม่ได้อะไรออกมาเลย มันแพง!!! 555555555 พอเดินออกมาก็ใกล้เวลาจุดพลุพอดี ไปยืนดูพลุได้สักพักเลยชวนกันเดินออกมาก่อนพลุหมด ซึ่งหมดพอดีตอนเดินมาถึงก่อนทางออก ทำให้ไม่ต้องเบียดกับฝูงชนเรือนหมื่น มั้ง???

    พอนั่งรถไฟกลับมาจิมชาจุ่ยแล้ว วันนี้เรารู้แล้วว่า มาม่าคือสิ่งที่ดีที่สุด ซื้อมาสองคัพ เย็น+เช้า ฉีกทูน่าปรุงสำเร็จที่แบกมาจากไทยใส่ หอมอร่อยมากกก ณ จุดนั้นไม่ต้องการอะไรแล้ว กินเสร็จอาบน้ำ หลับเป็นตายอีกวัน 

    เอ้อออ ลืม เจอมนุษย์แต่งฮาโลวีนเป็นปีศาจแมวอะไรไม่รู้ ตาเหลือขีดเดียว แอบถ่ายมาด้วย พอลงรถมาจะแวะเซเว่น เจอไอร่อนแมนอีก คนรุมถ่ายรูปเยอะมากกก โคตรฮาอ่ะ 

    วันที่สาม 
    ตื่นหกโมงเช้าเหมือนทุกวัน (ตีห้าบ้านเราแหละ)
    จัดสัมภาระเสร็จกินมาม่าแล้วก็ออกมา ตอนแรกวางแผนไปวัดก่อน แล้วเดอะพีคตอนเย็นใช่ป่ะ?? แต่เปลี่ยนแผน
    เนื่องด้วยไม่ได้แบกกล้องไปด้วย แถมยังกลัวคนเยอะ แออัด เลยเปลี่ยนแผน ไปเดอะพีคตอนเช้าเอา จะสูดอากาศเย็น ๆ ตอนเช้าบนดอยอะไรงี้ แล้วค่อยลงมาแอ่ววัดกัน แล้วก็เปลี่ยนจากนั่งใต้ดิน เป็นนั่งเรือข้ามฟาก เพราะฉะนั้น แพลนเลยต้องออกเช้ากว่าเดิมคือ 7 โมงตรง

    เดินมายังท่าเรือเฟอรี่แบบไม่มีแผนที่อะไรเลย เดินดุ่ม ๆ มาเจอเอง อ่านป้ายเอา ถถถถถ ตอนนั้นมันเช้ามาก ประมาณเกือบ ๆ 8 โมงเช้า คนในเรือมีนิดเดียวเอง นั่งแบบสบาย ๆ มาก เจอบ่าวฮ่องกงคนนึง น่าร๊ากกก แลดูเป็นหนุ่มออฟฟิศสักที่ ลากระเป๋ามาทำงานด้วย อิอิ

    พอลงเรือแล้วก็เดินตามทางเดินยาว ๆ มายังตึกนึง เพื่อมาสถานีเซ็นทรัล จนมาเจอแอ็ปเปิ้ลสโตร์อันเลื่องชื่อลือชาที่ใครมาต้องถ่ายฮูป เก็บกันไปสองสามช็อต กลัวจะสายเลยเดินหาทางไปทางออก J2 เพื่อเดินไปเดอะพีคแทรม เมย์ก็เปิดหนังสือ เค้าบอกไปขึ้น สาย 15C นี่ก็เดินไปจนหาท่ารถเจอ สาย 15 แตะบัตรขึ้นด้วยความดีใจ เย่ ๆ ๆ สักพักรถออกมามันก็ไม่เห็นถึงสถานีเดอะพีคสักที วิ่งขึ้นดอยไปเรื่อย ๆ เลยถึงบางอ้อว่า มันน่าจะเป็นสถานีที่ขึ้นไปเดอะพีคเลย 555555555555 ขึ้นบัสผิด!!!! จริง ๆ มันต้องขึ้น 15C แต่พากันมาขึ้น 15 เฉย ๆ 

    แต่มันเป็นความผิดพลาดที่สวยงามดีนะ เพราะได้เห็นวิวฮ่องกงเยอะแยะมากก เห็นอาคารบ้านเรือน รถรา สนุกไปอีกแบบ จนกระทั่งไปถึง เค้ามีงานอะไรไม่รู้ เหมือนเดินวิ่งการกุศลอ่ะ มีดารา ผู้หลักผู้ใหญ่มากันเยอะแยะเลย เด็กนักเรียนอีกเพียบ มีวงปีสก็อตด้วย นั่นแหละเรียกไรไม่รู้ ถถถถ

    ก็เดินเก็บวิวจนเบื่อละ จะเที่ยงละ เลยพากันนั่งรถรางขากลับ อิลุงตอกบัตรนางคงงง อิสองคนนี้ทำไมตอนขึ้นมันไม่ได้แตะบัตร บ้าไรของมัน ไป ๆ ขึ้นรถ นี่อ่านน้ำเสียงได้เช่นนี้ พอลงมาเสร็จก็เดินเลาะลงมาทางตึก HSBC มาเจอเหล่าป้า นั่งเล่นไพ่กันเยอะมากเต็มใต้ตึกเลย เอาของกิน กระดาษมาปูนั่งเพลินเลย เหมือนวันพบญาติอ่ะ เดินมาลูบเท้าสิงโต ที่เค้าว่าเฮงนักเฮงหนา (จริง ๆ มันอยู่นอกแผนอย่างแรง) แล้วก็เดินลงมาสถานีเซ็นทรัลฮ่องกงนี่แหละ ลืม มายืนกินข้าวราดแกงกัน อย่างเยอะ อิ่มมากกก 

    แล้วก็นั่งมาออกสถานี Diamond Hill มาเดินเล่นกันที่สวนหนานเหลียน วัดนางชี เดินเสร็จก็กลับมาห้องกันก่อน จากที่จะไปห้างสนูปปี้เวิร์ลต่อ แต่ตอนนั้นไม่ไหวแล้ว เมื่อยเท้าแทบเดินต่อไม่ได้ละ ก็เลยตกลงกันกลับมาพักที่ห้องก่อน เพราะมีออกไปซื้อของที่มงก๊กต่ออีก กลับมาถึงห้องก็ห้าโมงเย็นละ นอนดูละครได้สักพักหกโมงเย็นออกมามงก๊กต่อ เดินหาข้าวเย็นกินจนเจอร้านจีนร้านนึงก็ตกลงเข้าไปกินกัน จนอิ่มออกมา ถึงเจอว่าร้านต่อจากกันนั้นเป็นร้านอาหารไทย 55555555555 รู้งี้เดินต่อมาอีกหน่อยก็ดี คือตอนนั้นมันหิวมากกก เลยเดินหาข้าวกินก่อน เจอร้านที่ใช่ก็พุ่งใส่ทันที 

    เดินซื้อของจนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า รู้สึกว่าเค้ากำลังเก็บร้านกันละ เลยพากันกลับมาถึงห้องเกือบเที่ยงคืนแล้วมั้ง จัดของ อาบน้ำเก็บกระเป๋า ก็เกือบตีสองแล้ว หลับเป็นตาย

    วันที่สี่ วันเดินทางกลับ

    ตื่นมาตั้งแต่หกโมง กินมาม่าอย่างไว ออกห้องไปเช็คเอาท์ที่ชั้น 16 แล้วลงมาไปสนามบินทันที ตอนแรกจะนั่งบัส A21 กลับ กลัวช้า 555555 นั่งใต้ดินมาออกสถานีเซ็นทรัลแล้วเดินมา Airport Express ไกลมากเกือบกิโลเลยมั้ย ไกลแบบ เอ็งจะไกลไปไหน แล้วบวกกับวันจันทร์เช้าของฮ่องกง โอ้โห ลากกระเป๋าหมดแรงอ่ะ ไปต่อ Airport Express แตะบัตรขึ้นไป หาที่นั่งแล้วเหลือบไปเห็นราคาตั๋ว 100 เหรียญ ห๊ะ!!!! บัตรปลาหมึกเหลือไม่ถึง 100 เหรียญด้วยซ้ำ เมย์ก็หันมาถาม "แอมถ้ามันไม่ให้ออกสถานีทำไงอ่ะ??" 55555555555 นี่ก็บอกมันคงชาร์ตเราตอนคืนบัตรแหละ แต่พอไปถึงจริง มันไม่มีที่แตะบัตรออก คืองง อ้าวเดินเข้าอาคารไปเจอเคาร์เตอร์เช็คอินผู้โดยสารแล้ว

    เลยพากันไปโหลดกระเป๋าตอน 8 โมงนิด ๆ แล้วกลับมาคืนบัตรปลาหมึกที่ในสถานีอีกรอบ ไม่โดนหักเงินอ่ะ คืองงรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เค้าก็คืนเงินมาเหมือนเดิม ขอแลกเหรียญกลับไปจำนวนหนึ่ง เพราะเอากลับมาแลกคืนที่ไทยไม่ได้แล้ว เหลือติดตัวอยู่อีก สิบกว่าเหรียญ จนกระทั่งเดินหาซื้อของนิดหน่อย แล้วก็เดินเข้ามาข้างใน กว่าจะผ่านทุกอย่างมา ตอนนั้นผ่าน ตม. มาละ ลงมาเจอรถใต้ดินนั่งไปอีกอาคารหนึ่ง พอไปละเดินขึ้น ไปเกท 110 กว่า ๆ นี่แหละมั้ง เพื่อไปขึ้นบัสไปเกท 510 อีกต่อ ไกลมากกกกก ใช้เวลามาหาเกท 510 เป็นครึ่งชั่วโมง เลยมั้ง มาถึงเกทก็เก้าโมงเกือบครึ่งแล้วเดินเล่นถ่ายรูปนี่นั่นไปนิดหน่อย เค้าเรียกขึ้นเครื่อง 

    สองนางหลับตั้งแต่แอร์ยังไม่สาธิตอุปกรณ์เอ๊าะ หลับคอพับคอเหงี่ยง 5555555 จำได้ว่า หัวเหงี่ยงไปทางเดินแล้วไปชนเอากับแอร์ที่เดินไปเดินมา ก็ตื่นมาทีนึง จนเครื่องถอยออก ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ จำได้แค่ว่า ตื่นมาทีไรมันก็ยังไม่เทคออฟสักที จนเครื่องขึ้น ทันทีที่สัญญาณเข็ดขัดดับ สติเราก็ดับ หลับสุดทางจนเต้าถึงเจียงใหม่ ถถถถ

    พอลงเครื่องแม่กับพ่อเมย์มารับ แวะกินข้าวแล้วมาส่งเราที่ท่ารถช้างเผือก หลับต่อค่ะ คอพับอีกมาตื่นเอาเหมืองง่า 55555555 แบกกระเป๋ามาเอารถที่ฮาน่าแล้วกลับหอพัก ไปส่งของ แล้วกลับมาอาบน้ำ หลับต่อ

    555555555555555555555 จบการรีวิวเพียงเท่านี้

    สรุปค่าใช้จ่ายอย่างกลม ๆ คนละประมาณ 20,000 บาทจ้ะ แต่ค่อยจ่ายไปทีละอย่าง ทีละ 3-4 พัน มันก็ไม่หนักนาอะไร จองข้ามปีงี้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in