ในร้านเหล้าตรงหัวมุมถนนมีเสียงวงดนตรีกำลังเล่น cover เพลงGondry ของHyukoh เสียงเพลง เอ่อคลอด้วยความรู้สึกท้วมท้นในตัวของเขา เขานั่งมองมันอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะเหล็กของร้านของทอด ใบหน้าแนบกับโลหะที่เย็นชื้นเพราะฝนพึ่งตกไปหมาด ความเจ็บปวดแตกร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวไม่นับโซจูที่กระดกไปขวดแล้วขวดเล่าที่ยิ่งแทรงกซึมบีบอัดความร้อนเข้าไปสู่กระแสเลือด ในร่องลึกของความเปราะแตกเขาไม่พบแสงสว่างหรือสัญญาณชีวิตใดๆให้เขาได้ใจชื้นขึ้น เหมือนกับว่าทั่วทั้งใจเขาตอนนี้มีหมอกหนาทึบปกคลุม
She will love all the above
Past and present fast forward…
เนื้อเพลงแสนเลื่อนลอยเหมือนไฮกุ แต่กลับแล่นมากดย้ำที่ใจบอบช้ำ ความจริงข้อนี้ใครๆก็ย่อมรู้ดีแท้ๆ แต่ยากเย็นเหลือเกินที่จะเป็นอิสระจากความบอบช้ำที่เกิดจากชั่วครู่ของความปวดร้าว เลวร้ายกว่านั้นมันกลับรุกคืบเข้ามาทำร้ายเราซ้ำๆเป็นเวลานานๆ
Sunshine is over me
She gets over me
Make us feel alive
คิดว่าทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาที่สูญเสียสิ่งที่คิดว่าสำคัญกับชีวิตเหลือเกินไป แต่ก็คงไม่เคยคิดไว้ว่าช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดที่เรารับเข้ามาไว้ในอกนั้นมันจะใช้เวลาเนิ่นนานเพียงใดกว่าที่มันจะกลับคืนออกไป
กลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงบนแอ่งน้ำที่เจิ่งนองบนถนน สะท้อนเงาของรถราที่วิ่งไปข้างหน้าที่เป้าหมาย
เสียงย่ำเท้าของคนอื่นๆที่เดินไปมาชัดเจนในหูยิ่งขึ้นเพราะแอ่งน้ำที่เกิดจากฝนตกทั่วทุกหัวระแหง สรรพเสียงของความเฉอะแฉะจากการที่ฝ่าเท้าเดินกระทบแอ่งน้ำดังในหูเหมือนเป็นเสียงสะท้อนในถ้ำมืด ทว่าเสียงย่ำเท้าที่เขาได้ยินนั้นพาร่างของผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในร้าน หันซ้ายมองขวาเพื่อหาใครสักคนแล้วจึงเดินไปถามไถ่กับเจ้าของร้าน
“ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมมาหาเพื่อน”
“เอ่อ เพื่อนคนไหนจ๊ะ”
"คิดว่าเป็นคนนั้นครับ อันนี้ช่วยเก็บเงินค่าอาหารที่ผมเลยนะครับ"
เสียงนั่นคงจะเป็นอีเจโน่ ที่มาเก็บร่างของผมไป เขาจ่ายเงินให้ผมเรียบร้อยแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม บังวิวของร้านเหล้าตรงหัวมุมถนนและเสียงของเขาก็ดังกลบเพลงของ Hyukoh ไปแล้ว
“กลับบ้าน”
หมอนี่ไม่พูดเปล่า แต่ฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นยืนตามมันออกจากร้านไป ในช่วงเวลาพลบค่ำที่ผู้คนต่างก็ยังคงสัญจรไปมา มันยากมากที่ผมจะทรงตัวเองให้เดินตามเขาไปได้อย่างใจ จนสุดท้ายอีเจโน่ก็หยุดลงที่ม้านั่งใกล้สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ปล่อยให้ผมนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งนั่นจนกว่าผมจะพอใจ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มันก็เป็นวิสัยปกติของคนปากหนักอย่างหมอนั่นอยู่แล้ว ซึ่งผมชอบข้อนี้ของมันมาก มันมักจะอยู่ทุกที่และเป็นความสบายใจเพียงหนึ่งเดียวที่ผมมี ในเวลานี้ก็เหมือนกัน วันที่ผมแทบจะลุกยืนไม่ไหว หมอนี่ไม่ได้พูดอะไรแต่ปรากฏตัวที่ร้านและลากผมออกมาจนได้
“มึงเคยคิดว่าระยะเวลาที่เราเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างมันมีกฎตายตัวของมันมั้ยวะ”
“....”
“มึงคิดว่ากูอาจจะตายก่อนที่จะหายจากมันหรือเปล่าวะ”
“...”
ผมป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง เหมือนกับมีใครสักคนบนโลกนี้เปิดก๊อกน้ำ แม้ผมจะไม่ต้องการร้องไห้ออกมาอีกแล้ว น้ำตาก็ทำหน้าที่ของมัน เมื่อผมรู้สึกเจ็บเหมือนซี่โครงบริเวณอกข้างซ้ายกำลังจะเปราะหักอีกครั้ง ผมร้องไห้โฮแบบที่คนเดินผ่านไปมาก็ต้องหันมามอง ทำไมโลกนี้มันโหดร้ายแบบนี้ โลกที่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเหวี่ยงเอาความสุขเพียงชั่วคราวมาให้แต่ยกความเจ็บปวดที่เหมือนจะอยู่ชั่วนิรันดร์ให้ผมไว้อย่างเต็มใจ
อีเจโน่คว้าหัวผมให้ลงไปซบกับบ่ามัน เหมือนต้องการจะอุดปากผมเพราะเสียงร้องไห้ผมมันน่าจะดังไปถึงจัมชิลสเตเดียมได้แล้ว ผมสะอึกสะอื้นน้ำมูกน้ำตาไหลเปื้อนเสื้อเชิ้ตของมันไปหมด เหมือนร่างกายของผมเรียนรู้แค่การร้องไห้ แต่ไม่เคยเรียนรู้วิธีการหยุดร้องไห้ด้วยตัวเอง
“กูก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะอยู่ปลอบมึงไปได้อีกนานขนาดไหนเหมือนกัน”
“...”
“เพราะงั้น เป็นไปได้ใครๆก็ไม่อยากเศร้านานหรอกมึง ชีวิตยังมีอีกหลายเรื่อง ชีวิตมึงยังมีอีกหลายคนที่ต้องดูแลกัน”
“....”
“พอมึงมองกลับมาอาจจะรู้สึกว่ามึงตลกก็ได้ที่มาร้องไห้ให้อายคนแถวนี้”
มันอาศัยจังหวะที่ผมเอาแต่ร้องไห้พูดเสียยืดยาว ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างเพราะหูอื้อและเสียงรถและผู้คนมากมายกลบเสียงเบาๆของหมอนั่นไปหมด
แต่ที่รู้ๆคือมันเองก็คงพยายาม คงอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักที
“ฮึก....มึงนี่....”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามันอีกครั้ง มันหยิบทิชชู่จากร้านอาหารในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้ผม
“ไม่ต้องมองรังเกียจก็ได้ กูไปกินข้าว อยู่ๆมึงโทรมากูก็รู้เลยว่าจะอยู่ในสภาพไหน ตอนนั้นหาได้ดีสุดแค่นี้แหละ”
“กูจะขอบใจมึงต่างหาก”
“กูต้องซาบซึ้งใจมั้ย”
ผมใช้ทิชชู่เช็ดน้ำตาเช็ดน้ำมูกที่ไหลตามใบหน้าออกไป สูดหายใจเข้าลึกๆแม้จะยากเย็นสุดๆ กับสภาพทางเดินหายใจหลังการร้องไห้อย่างหนักแบบนี้ ผมเหลือบมองอีเจโน่ที่นั่งมองร้านค้าบนถนนฝั่งตรงข้าม นิ่งๆ แบบนั้นไม่ได้สนใจผมอีกเลย
“ถ้าความเจ็บปวดมีคู่มือการใช้มึงคิดว่าในนั้นจะเขียนวันหมดอายุของมันออกมาเป็นเดือนหรือเป็นปีวะ”
ทั้งผมและมันต่างก็เงียบด้วยกันไปทั้งคู่หลังจากที่ผมเอ่ยประโยคเมื่อครู่ขึ้นมา
“กูก็ไม่อยากให้ใครเสียเวลาไปกับมันพร้อมๆกูแบบนี้หรอก แต่อย่างน้อยกูก็อยากจะรู้ว่าเราเหลือเวลาเท่าไหร่ให้กับความเศร้าพวกนี้”
“มึงชอบร้องคาราโอเกะหรือชอบนั่งร้องไห้มากกว่ากัน”
“ถามมาได้...ฮึก...กูก็ต้องชอบร้องคาราโอเกะมากกว่าสิวะ”
“งั้นก็ไปร้องคาราโอเกะ ไม่ต้องร้องไห้แล้วไง”
“....”
เออว่ะ
ถ้าชอบเรื่องอื่นมากกว่าที่จะมานั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ ทำไมเราไม่ไปทำอย่างอื่น พอรู้สึกตัวอีกทีอีเจโน่ก็โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ผมได้ยินแวบๆว่าหมอนั่นพูดว่าจะไปโนแรบังแถวคอนแด....
ผมสูดน้ำมูกแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่ไปกับเขา
เราคงได้ไปร้องคาราโอเกะกัน มันจะสนุกมั้ยผมก็ไม่แน่ใจ ผมอาจจะเปิดแต่เพลงเศร้าๆร้องแหกปากจนอีเจโน่รำคาญ แต่จากการเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ผมรู้ว่าสักพักหมอนั่นจะกดยกเลิกเพลงพวกนั้นแล้วเปิดเพลงทร็อตที่มันชอบมาร้องแทนเพื่อให้ผมขำ
“ขออย่างเดียวมึงห้ามเปิดเพลงเศร้า เดี๋ยวกูเลี้ยง”
“มึงรู้ได้ยังไงวะ”
“มันเหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนเศร้าเวลาไปร้องคาราโอเกะทำไมกูจะไม่รู้”
“แต่กูอาจจะขอร้องเพลงเศร้าเพลงหนึ่ง...แต่แค่เพลงเดียว”
“เพลงอะไรวะ”
“GondryของHyukoh”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in