แกรก! ซ่า!
เสียงที่เขาได้ยินจนเบื่อในหนึ่งวันเต็มๆ ในช่วงเวลาที่แสนเหนื่อยหน่ายขณะรออัดรายการต่างๆ ตามตารางงานที่เขามี เขาก็มักจะได้ยินเสียงนี้ดังอยู่3-4ครั้งต่อวันได้
“นี่ เมื่อไหร่จะเลิกกินสักทีอ่ะ”
“ให้ฉันเลิกกินโค้กเนี่ยนะ”
“อืม รำคาญเสียงอ่ะ”
เหตุผลที่เขาหลุดโพล่งออกไปนั้น ในสายตาของคนที่ถือกระป๋องโค้กขนาด355มิลลิลิตรอยู่นั้นไม่เห็นว่ามันจะผ่านการคิดวิเคราะห์อะไรบางอย่างเลย เป็นคำตอบที่เอาแต่ใจล้วนๆ แต่ดูท่าว่าสิ่งที่เขาชอบอกชอบใจจนถึงกับต้องยิ้มออกมานั้นไม่ใช่เหตุผลงี่เง่าของคนที่นอนเหยียดเล่นมือถืออยู่บนโซฟาในห้องเตรียมแสดงแต่อย่างใด แต่ท่าทีไม่ใส่ใจและไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือมามองหน้าเขาด้วยซ้ำนั่นต่างหากที่เขาชอบ
“ฉันไม่ได้กินบ่อยเลยนะ”
“นายกินไป5กระป๋องแล้ววันเนี้ย”
“ใส่ใจดีจัง”
“หาว่าเสือกหรอ”
“คิดเองนะเนี่ย”
“ยงจุนฮยอง!”
เขาทำสำเร็จเมื่อแววตากลมโตของอีกคนยอมเงยหน้าจาก smart phone มามองหน้าเขาจนได้ แม้จะเป็นแววตามองหน้าหาเรื่องที่สุดเท่าที่คนอย่างจางฮยอนซึงจะทำเป็นก็เถอะ
“อะไรครับ เลิกสนใจมือถือแล้วหรอ”
เขาพูดจบก็กระดกเอาของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่ถูกบรรจุในกระป๋อ'สีแดงเป็นเอกลักษณ์นี่เข้าปากเหมือนหิวกระหาย จางฮยอนซึงทำหน้าเบ้ทุกครั้งที่มองลูกกระเดือกของยงจุนฮยองขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือปวดร้าวกับการรับน้ำอัดแก๊สแสบๆ นี่เข้าไปพังทลายคอและกระเพาะของตัวเองทุกวันๆ
“อย่ามานอนร้องปวดท้องให้ฟังแล้วกัน”
“ก็ไม่ได้กินตอนท้องว่างขนาดนั้น”
“เดี๋ยวก็อ้วนตายพอดี”
“อ้วนแล้วรักมั้ยอ่ะ”
“นี่! คนละเรื่องแล้ว”
ทำตาเขียวเสร็จก็ก้มลงไปมองโทรศัพท์ตัวเองต่อ เขาได้แต่หัวเราะในลำคอ จะหัวเราะดังก็ไม่ได้เดี๋ยวเจ้าตัวก็จะยิ่งเขินแล้วหงุดหงิดกว่าเดิม
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการต่อความยาวสาวความยืดกันด้วยเรื่องแค่นี้เขาทำไปทำไม
มันเหมือนเป็นกิจวัตรไปแล้วในการแหย่จางฮยอนซึงให้ยอมพูดอะไรดีๆให้เขาชื่นใจบ้างสักวันละประโยคสองประโยค
ยงจุนฮยองนับวันรอทุกวันให้เกิดการโต้เถียงทำนองนี้ และเขาก็ไม่ลังเลที่จะก่อกวนอีกคนให้หงุดหงิดและยอมพูดอะไรออกมาบ้าง
บนความสัมพันธ์ที่ของการดื่มกินโค้กซ่าๆ นี่เอง เขารู้ว่าต่อให้เขาจะแข็งแรงและคุ้นชินกับการกินมันลงไปมากแค่ไหนก็ตาม วันหนึ่งเขาก็ต้องเลิกกิน แต่กับจางฮยอนซึงนั้นมันไม่เหมือนกัน ไม่มีสักวันที่เขาไม่อยากจะต่อต่อเถียงกับอีกคนในเรื่องที่เพื่อนๆเองก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น
คนที่นั่งถลึงตามองผมอย่างเคียดแค้นรอวันระบายออกแม้ว่ามือจะกดมือถือไปเรื่อยๆนั่นแหละ ที่ผมชอบ
ยิ่งกว่าโค้กที่ผมต้องกินทุกวัน ไม่ว่าจะน้ำตาล ปริมาณคาเฟอีนและความซ่าที่ดีดให้สมองผมทำงานในทุกวัน จางฮยอนซึงเป็นสารให้ความสุขและการตื่นตัวที่ยิ่งกว่าคาเฟอีนหรืออะดรีนาลีนใดๆ
“เดี๋ยวไปกินอีกป๋องดีกว่า”
“นี่...”
ได้ผล ผมเผลอยิ้มกริ่มเมื่ออีกคนคว้าข้อมือผมที่ทำท่าจะลุกไปกดโค้กมากินอีกกระป๋อง ผมทำเป็นนั่งลงตามแรงดึงของอีกคนแต่ก็ยังลอยหน้าลอยตา พยายามนึกบทสนทนาที่ก่อกวนอีกคนมากกว่าเดิมให้ออก
“อะไร”
“ไม่ต้องกินแล้ว”
“ทำไมต้องห้ามอ่ะ”
“ก็มัน...”
“มันอะไรครับ”
จางฮยอนซึงยอมวางโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองติดนักหนาลงกับโซฟาก่อนจะมองหน้าผมอย่างหงุดหงิด อารมณ์คุกรุ่นขุ่นมัวที่เกิดขึ้นผมรู้ดีทั้งใจว่ามันไม่ได้เกิดจากความโกรธผมเลย เจ้าตัวคงหงุดหงิดหน้าตาของผมตอนนี้มากกว่าเป็นไหนๆ
“จะเลิกยิ้มได้ยังอ่ะ!”
ไม่เขินก็เหวี่ยง ทำโมโหกลบเกลื่อนเก่งสุดอ่ะครับ
“ก็แค่พูดว่าเป็นห่วงมันยากตรงไหนอ่ะครับ”
“...”
“สุดท้ายก็ต้องยอมพูดออกมาอยู่ดี จะฟอร์มเก่งไปทำไมอีกอ่ะ หืม”
ผมวางมือแปะบนผมที่เซ็ตแล้วของเขาแล้วลูบมันเบาๆ อยากจะขยี้ให้เสียทรงด้วยความมันเขี้ยวแต่ก็กลัวโดนสันมือ
“ก็พูดแล้วพูดอีก ก็ยังกินอยู่ได้”
“ฉันชอบกินโค้ก ชอบเสียงตอนที่แก๊สมันได้รับอิสระออกมามองเห็นโลกกว้างจากที่โดนขังไว้ในอะลูมิเนียมงี่เง่าแผ่นบางๆนี่….”
“เก็บเอาไปเขียนเพลงมั้ย ทำไมต้องมาบอก”
“ฟังให้จบก่อนแล้วค่อยด่าสิ”
“อะไรล่ะ”
“ชอบโค้กก็จริงแต่ชอบจางฮยอนซึงมากกว่า”
“...”
จางฮยอนซึงหันขวับมาทางผมก่อนจะแค่นยิ้มออกมา แต่หน้าตาเจ้าตัวไม่ได้ยิ้มด้วยหรอกครับ
“เล่นง่ายๆแบบนี้เลยอ่ะนะ”
“แล้วง่ายป่ะอ่ะ”
“ยงจุนฮยอง จะไม่คุยด้วยแล้วนะเว้ย”
“ล้อเล่นนิดๆหน่อยๆ”
“แล้วจะเลิกกินได้ยังอ่ะ”
“ไม่รู้”
“...”
เขาทำหน้าเหวี่ยงตุบมาทางผมอีกแล้วล่ะครับ แต่ผมก็สวนด้วยประโยคเด็ดก่อน
“แต่ไม่เลิกรักนายชัวร์ๆ”
“นี่!!!”
เสียงดังสิบแปดหลอดของเขาคราวนี้เรียกให้เพื่อนๆผมหันมามอง ก่อนยุนดูจุนจะตะโกนถามเข้ามา
“เห้ย เกิดอะไรขึ้นวะ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่มีอะไรๆ จะถึงคิวอัดยังวะ”
“อีกแป๊บนึงอ่ะ พวกมึงมาเตรียมตัวกันได้แล้ว”
ผมหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งกอดหมอนอิงปิดปากไว้ เหลือแต่ตาโตๆที่มองผมตาขวาง จางฮยอนซึงเคยบอกว่าเกลียดผมที่สุดตอนที่ผมเล่นมุกเสี่ยว เขาบอกว่าในเนื้อเพลงที่ผมเขียนจะเสี่ยวแค่ไหนก็ทำไปแต่ห้ามมาทำกับเขา
“ไปเตรียมตัวได้แล้ว”
ผมไม่สนใจหน้าตาหงุดหงิดของเขาแต่คว้ามือเขามาจับไว้ก่อนจะดึงให้อีกคนลุกขึ้นยอมเตรียมไปสแตนด์บายกับเพื่อนๆในที่สุด ปากคว่ำๆ ของเขายังไม่ยอมหงายเป็นรอยยิ้มให้ผมง่ายๆ แต่มือเขาที่ยอมจับมือผมตอบนั้นก็น่าจะเป็นคำตอบได้ดีพอแล้วสำหรับการทุ่มเถียงยืดยาวนี่...ที่ไม่ได้อะไรเลย
“ทีหลังก็อย่ากินให้มันเยอะ”
“ครับ”
“วันละสามกระป๋องก็พอ”
“ผมก็ตกงานกันพอดีสิครับคุณ จะเอาน้ำตาลที่ไหนไปใช้ในสมอง”
“อยากได้ความหวานก็บอกกันดีๆสิ”
“...”
จางฮยอนซึงยื่นจมูกโด่งๆของเขามาสัมผัสที่ข้างแก้มผม กดมันจมลึกจนผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากบางนั่นที่มันกดจูบที่ข้างแก้มผมแนบแน่น ผมยืนอึ้งไป3วินาทีก่อนจะหันไปมองหน้าเขาที่พึ่งหอมแก้มผมเสร็จด้วยหน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่จับมือผมไว้แน่นมาก
ใครว่ามันเป็นการเถียงกันยืดยาวที่ไม่ได้อะไรเลยกันล่ะครับ.
ManualEyeko ment :
คิดถึงจุนซึงมากๆเลย :D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in