ในคืนขมุกขมัว นาฬิกาข้างฝาบอกเวลาเท่าไหร่ผมไม่อาจรู้ได้ สภาพตัวเองที่ต้องนอนตัวงออยู่ใต้เตียงผู้ป่วย ซึ่งคือพ่อผม มันดูย่ำแย่มาก ไม่คิดว่าชีวิตจะต้องมาประสบกับเรื่องแบบนี้ ระหว่างที่หงุดหงิดปนงัวเงีย ผมเห็นใครบางคนเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลหน้าห้อง แล้วตรงเข้ามาหยุดข้างเตียงพ่อผม ความที่ผมนอนอยู่ใต้เตียง จึงมองไม่เห็นหน้าว่าเขาคือใคร เห็นก็แต่เท้า ที่บัดนี้ห่างจากหน้าผมไม่เกินสามคืบ เท้าเปล่าที่ใหญ่เกินคนปกติและดำทะมึน ทว่าเหยียบพื้นโดยไม่มีเสียงสักแอะ สร้างความประหลาดใจให้ผมไม่น้อย เขายืนนิ่งราวกับหยุดเวลาไว้ชั่วครู่เหมือนรออะไร แล้วจึงเดินเลยไปยังเตียงอื่น ซึ่งอยู่ห่างจากเตียงพ่อผมไปเพียงสองเตียง หลังจากนั้น หมอและพยาบาลต่างวิ่งกรูกันเข้ามาราวฟ้าถล่ม ใครที่หลับอยู่คงได้ตื่นกัน ส่วนผมที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ฟื้นเต็มตา เพราะหูแว่วเสียงคุยกันว่า คุณตาที่อยู่ถัดจากพ่อผมไปสองเตียงนั้น สิ้นลมแล้ว
หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปก่อนหน้าสิบวัน ทันทีที่ได้ยินคำว่าห้องรวมจากปากของพยาบาลประจำแผนก ผมเกิดอาการร้อนๆหนาวๆราวกับเป็นคนป่วยเสียเอง ภาพในหัวของสถานที่ที่คนป่วยกระจุกรวมตัวกันในห้องไม่ใหญ่นัก แต่อัดแน่นด้วยคนไข้นับร้อย ที่นอนคอยการเยียวยาตั้งแต่ขั้นแรก จนถึงขั้นสุด ตั้งแต่อาการรุมๆไปจนร่อแร่ ตั้งแต่ไส้ติ่งอักเสบ ไปจนลำไส้ทะลัก จากหมอและพยาบาลที่มีอยู่เพียงหยิบมือ และยิ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐตามต่างจังหวัดด้วยแล้ว โอกาสรอดจากห้องนี้ แล้วได้กลับบ้าน น้อยกว่าออกจากห้องนี้ แล้วเข้าไปอยู่ในห้องดับจิตเสียอีก ผมเพิ่งประจักษ์แจ่มแจ้งเมื่อไม่นานมานี้
พ่อผมถูกกรรมเก่าตามเล่นงาน กรรมที่เกิดจากการผ่าตัดเมื่อสามสิบปีก่อน ไล่ตามทันเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านเคยผ่าตัดช่องท้องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปีสองสี่ นี่ก็ปีห้าเก้าแล้ว เรียกว่าพ่อลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กรรมก็น่ารัก กลับนึกถึง และอยากมาทวนความจำขึ้นมา ให้จำไว้ไม่ลืม ลำไส้ที่เคยผ่า เกิดเป็นพังผืดติดกันพับผ่าสิ่ ทำให้ไส้ตันและเน่าบางส่วน จำต้องตัดทิ้ง ความยาวไม่มาก แต่ก็สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างมหาศาล ปวดจนแทบทนไม่ไหว เจ็บเจียนอยากตายเลยทีเดียว
บนความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ท่ามกลางฝนตกหนัก ยังมีกระท่อมน้อยคอยกำบัง ทันทีที่ยื่นบัตรข้าราชการของพ่อ ขั้นตอนต่างๆก็เลื่อนไหลไปอย่างรวดเร็ว ราวกับนอนอยู่บนสายพานในโรงงาน ตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่แผนกฉุกเฉิน ต่อด้วยเอ็กซเรย์ ไปนอนรอพบแพทย์เฉพาะทาง จนเข้าผ่าตัดขจัดพังผืด ยันนอนพักฟื้นในห้องรวม บนเตียงใกล้พยาบาลมากที่สุด ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนหกโมงเช้าถึงบ่ายสองโมง เบ็ดเสร็จเจ็ดชั่วโมง นับว่าไม่นานเลย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลรัฐ ถือว่ารวดเร็วมาก เร็วกว่าเอกชนบางแห่งเสียอีก
ความเป็นขรก. หรือข้าราชการมันดีอย่างนี้นี่เอง มันคงช่วยได้มาก พยายามไม่ปักใจเชื่อว่าเกี่ยว หรือมีความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้น แต่จะให้ผมโวยวายก็ใช่ที่ เพราะผู้เป็นพ่อได้ประโยชน์ และผมยังไม่มีโอกาสไปเรียกร้องให้ใครต่อใคร แต่เหตุการณ์รายรอบมันชวนให้คิดไปในทิศทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นแฟนสาวของเพื่อนที่มาก่อนพ่อผมเป็นวันๆ กลับต้องนอนเป็นผักสลดบนรถขายผัก ไม่ใช่สิ่ บนรถเข็นที่เรียงกันเป็นแพหน้าห้อง หมอบอกแค่ว่าคอยรอดูอาการก่อน แฟนของเพื่อนเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ยังไม่แตก คงต้องนอนรอจนกว่าจะแตกกระมัง หมอถึงจะรู้ว่าต้องผ่าออก อีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สุดเวทนาก็คือคุณตาวัยชราย่างแปดสิบ นอนบิดตัวร้องโอดโอย มือทั้งสองข้างกุมหน้าท้องที่มีเลือดนองเต็ม และที่กองอยู่ใต้ฝ่ามือนั้น คือลำไส้ล้วนๆ ที่ล้นออกมานอกพุง เพราะแผลเก่าที่เคยเย็บตรงหน้าท้องมันปริแตก เห็นแล้วไม่อยากกินไส้พะโล้อีกเลยทั้งชาติ เชื่อไหม คุณตานอนอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตายมาหกชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผ่าตัด เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่คงงานล้นมือ จนคุณตาอดรนทนไม่ไหว จึงตะโกนฝ่าความเจ็บปวดออกมาดังลั่นว่า จะปล่อยให้ฉันนอนตายตรงนี้เลยหรืออย่างไร จึงไม่มีใครดูดำดูดี จนผมถือวิสาสะสรุปเอาเองในใจว่า คุณตาและแฟนเพื่อนคงเป็นขรก.เหมือนกันคือ ข้าคงต้องรอไปก่อน น่าเห็นใจไม่น้อยเลยจริงๆ
เมื่อเทพีแห่งโชคผู้ใส่ยูนิฟอร์มสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ข้างเรา เธอก็ไม่กรีดกรายย้ายสะโพกไปยังที่แห่งอื่นอีก บทจะได้ห้องพิเศษ ก็ได้เร็วปานฟ้าผ่าลงบนลิ้นงูที่กำลังฉก คนอื่นเขานอนรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่ได้ ไอ้เราแค่พูดกันเล่นๆว่าพ่อไม่ต้องนอนห้องพิเศษก็ได้ อยู่ตรงนี้แหละ เพื่อนเยอะพยาบาลแยะไม่เหงาดี เท่านั้นแหละหัวหน้าพยาบาลก็กวักมือหยอยๆ เรียกเข้าไปบอกว่าได้ห้องพิเศษแล้ว ซ้ำยังมีบุญได้พักในห้องสำหรับรับรองผู้หลักผู้ใหญ่เสียด้วย
คืนนั้นท่ามกลางความเงียบสงัด ได้ยินแค่เสียงแอร์ พ่อเลยหลับไวเป็นพิเศษ แลดูเหมือนสิ่งต่างๆเริ่มอยู่ตัว บาดแผลเริ่มสมาน ลำไส้เข้าที่เข้าทาง อย่างที่มันควรจะเป็น ฝันร้ายกำลังจะสลายหายไป ฉับพลันเสียงเคาะประตูดังขึ้นก๊อกๆ แล้วก็เงียบ ก๊อกๆ แล้วก็เงียบ เป็นอย่างนี้อยู่สามสี่หน จู่ๆไฟในห้องที่สลัวอยู่แล้ว ก็มีอันขาดผึง ผมต้องเปิดลิ้นชักคว้าไฟฉายที่เตรียมเอาไว้เมื่อถึงคราวจำเป็น พลันที่เปิดไฟฉายขึ้น แล้วส่องไปบนเตียงพ่อ ภาพที่ผมเห็น ทำให้ผมต้องสะพรึง คุณตามายืนอยู่บนเตียง คร่อมตัวพ่อเอาไว้ แล้วใช้มือทั้งสองข้าง ที่ผมจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวัน คุณตาใช้มันกุมลำไส้ที่ทะลักล้นออกมา แต่คราวนี้ค่อยๆสาวมันจากในท้องเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ลำไส้คนเรา มันจะยาวได้ขนาดไหนกันเชียว แล้วไส้ที่ไหลเลื่อนออกมาจากท้องคุณตาทั้งหมด ก็ถ่ายเท ทะลวง ทะลุ เข้าสู่ในช่องท้องพ่อผม ซึ่งแผลผ่าตัดที่เย็บติดกันไปแล้ว กลับเปิดออก ขยายเต็มพิกัด เพื่อรับการขนย้าย ถ่ายเทลำไส้ของคุณตา อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน ราวกับสายพานในโรงงานนรก พ่อผมจะเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ผมไม่แน่ใจนัก เพราะเสียงที่เปล่งออกมา คือเสียงที่ผมไม่อาจได้ยิน หรือใครก็ไม่อาจได้ยิน เห็นแต่ปากที่อ้ากว้าง กับตาที่เบิกโพลง
ผมสะดุ้งเฮือกตื่น หัวใจแทบหยุด ราวกับโดนลำไส้รัด ผมเหงื่อตก ตบอก หายใจลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่าคงคิดมากไป ไม่มีอะไรต้องกังวล พ่อเราก็พ้นขีดอันตรายแล้วจะกลัวอะไร จะห่วงก็แต่คุณตา จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ พอพ่อย้ายขึ้นมาอยู่ที่ห้องพิเศษ ก็ไม่ได้ทราบข่าวคุณตาอีกเลย
แม้ว่าพ่อจะโชคดีได้ย้ายมาห้องพิเศษ แต่อารมณ์กลับปั่นป่วนไม่น้อย เพราะจากห้องรวมที่คึกคัก มีนักศึกษาแพทย์มาคุยด้วยประจำ มีพยาบาลมาคอยทำแผล และถามไถ่อาการไม่ห่าง กลับสู้ห้องอ้างว้างร้างเพื่อนร่วมเจ็บ มีแต่ลูกเมียที่เข้าไม่ถึงความทุกข์สาหัสนี้ ที่ได้แต่ปลอบใจในฐานะของคนที่ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งถึงความทรมาน เมื่อไร้เพื่อน ท่านเลยเหงา เปล่าเปลี่ยว และการที่พ่อเป็นคนป่วยคนเดียวท่ามกลางคนไม่ป่วย ยิ่งทำให้ท่านท้อใจยิ่ง จากเคยแข็งแรง วิ่งได้เป็นสิบกิโล กลับขยับแทบไม่ได้แม้สักมิลเดียว ถ้าพ่ออยู่ห้องรวมอย่างน้อยที่สุด ท่านยังได้เห็นว่า ในบรรดาคนเจ็บ ท่านเจ็บน้อยที่สุด จะเป็นแรงใจให้ท่านมีกำลังอดทนและฮึดสู้ต่อไปได้ดี บางทีการเห็นความทุกข์ของคนอื่น ก็ทำให้เราทุกข์น้อยลงได้เหมือนกัน และบางสิ่งที่พิเศษ กลับไม่สำคัญและทรงความหมาย เท่าความธรรมดาสามัญที่สอนความจริงแท้ได้อย่างถึงแก่น
พ่อปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปในห้องพิเศษเพียงวันเดียว สุดท้ายก็เรียกร้องขอกลับไปห้องรวม โดยให้เหตุผลว่า อยู่ห้องพิเศษแล้วเหงา ไม่มีเพื่อนคุย อยู่ห้องรวมเหมือนกับดูหนังดูละครไปในตัว หรือบางทีกลับจริงยิ่งกว่า ได้ยินเสียงคนป่วยเซอร์ราวด์ครวญคราง มีสายระโยงระยางรอบกายขาดก็แต่สายสิญจน์ บรรดาญาติที่มาเฝ้าต้องนอนคุดคู้ใต้เตียงคนไข้ เพราะความแออัดไม่มีแม้ทางจะเดิน และบางคืนที่มีเคสฉุกเฉินกลางดึก พยาบาลรีบรูดม่านปิดแทบไม่ทัน กั้นทุกสายตาให้ออกไป ในวินาทีที่วิญญาณน่าสงสารหลุดลอยออกจากร่าง พร้อมน้ำตาร่วงหล่นคว้างกลางอากาศ จากญาติมิตรชิดใกล้ กระทั่งเข็นเตียงเอาคนตายออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้คนไข้รายใหม่เข้ามา หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป โดยไม่ต้องอาศัยบัตรอะไรนั่น เป็นหลักคอยค้ำประกัน ว่าในสักวันคิวเราต้องมา เพราะที่สุดแล้ว ในโลกแห่งความเหลื่อมล้ำใบนี้ มีเพียงความตายที่เที่ยงตรง และเที่ยงธรรมเสมอ ไม่ว่าจะมีอภิสิทธิ์หรือไม่ก็ตาม
"ลุง ไม่ย้ายกลับไปอยู่ห้องพิเศษจริงๆเหรอ"
พ่อปรายตามองร่างอันไร้วิญญาณของคุณตาที่ถูกคลุมด้วยผ้า จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายล่ะหนอ ที่ไม่ต้องนอนกอดความเจ็บปวดทรมานอีกต่อไป มีบุรุษพยาบาลกำลังเข็นเตียงเคลื่อนผ่าน พร้อมกับมัจจุราชทะมื่อทื่อที่เสมือนดั่งญาติเพียงคนเดียวเดินตามหลังไป แล้วพ่อก็หันกลับมามองหน้าพยาบาล ยิ้มแล้วตอบปฏิเสธ ผ่านแววตาที่ว่างเปล่า ปล่อยวาง และรอคอยบางอย่างอยู่ในที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in