เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sparkle | TORNshinichibyrne
Sparkle III





  • หลังจากวันนั้นที่สนามเด็กเล่น เขาก็พูดไม่ได้เต็มปากนักว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปนอกจากการมีเบอร์โทรศัพท์ของนิชิกิโด แล้วก็การที่อีกฝ่ายส่งข้อความมาหาเขาทำนองว่า 'ไปซ้อมด้วยกันมั้ย' อะไรแบบนั้น ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้ความกล้ามากพอดู เพราะตอนที่เจอหน้ากัน อีกฝ่ายก็เอาแต่เงียบแล้วอมยิ้มเหมือนกำลังเขิน




    ถ้าจะมีอีกอย่างที่เปลี่ยนไปก็คงจะเป็นการที่ได้คุยกันในห้องซ้อมมากขึ้น ถึงจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ไม่ได้มีสาระอะไรนัก แต่เขาก็คิดว่านั่นคือสิ่งที่แตกต่างจากเดิม




    นิชิกิโดกับเขาที่ไม่ค่อยคุยกันน่ะ จนถึงวันนี้ก็เดินไปซ้อมด้วยกัน แล้วยังคุยกันเรื่องนู่นนี่ที่หาสาระไม่ได้ในห้องซ้อม ถ้าย้อนกลับไปถามตัวเขาเหมือนหนึ่งเดือนก่อน โอคุระก็คิดว่าตัวเขาในตอนนั้นต้องตอบว่าเป็นไปไม่ได้แน่ๆที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น




    แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งการได้รู้จักกับนิชิกิโด แล้วก็ความรู้สึกที่เขาอธิบายไม่ได้ตอนที่อยู่ใกล้ๆ กัน




    ตอนที่ก้าวขาเดินไปตามทางที่คุ้นเคยในช่วงเย็นที่ตะวันเริ่มคล้อยลับขอบฟ้า นิชิกิโดที่สะพายกีตาร์เอาไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง แล้วเดินอยู่ข้างๆ เขาก็ทำให้รู้สึกแปลกไปจากทุกที




    ทางที่เคยเดินคนเดียวมาตลอด แต่ตอนนี้มีใครอีกคนมาเดินข้างๆ กัน เขาที่ไม่เคยคิดถึงจุดนี้น่ะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษ ตอนที่เหลือบสายตาไปแล้วเห็นอีกคนที่กำลังมองขึ้นมาเหมือนกันก็ให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก




    ดวงตาของนิชิกิโดหยีลงตอนที่ยิ้มให้กับเขา ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกลางไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่กลับเต็มไปด้วยความสบายใจ




    สายตาของเขามองไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่อีกคนที่กำลังทอดสายตาไปตรงหน้าอย่างเหม่อลอย สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านตีผมหน้าม้าของนิชิกิโดจนปลิวเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจกับมันเลยสักนิด แต่กลับเป็นคนมองที่รู้สึกใจเต้นขึ้นมา




    ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกันนะ




    เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่รู้สักนิดว่าเป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน นิชิกิโดก็กำลังทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน




    ความเงียบที่ปกคลุมกับสายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านและไออุ่นจางๆ จากคนข้างกายทำให้อดไม่ได้ที่อยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้ นิชิกิโดที่ขยับเข้ามาใกล้จนไหล่กระทบกันพร้อมกับมือที่เกี่ยวมาโดนมือของเขา ตอนที่เดินผ่านกลุ่มคนหน้าร้านสะดวกซื้อกำลังทำให้หน้าร้อนไปหมด




    หัวใจกำลังเต้น

    อย่างไม่ปกติเอาซะเลย




    "โอคุระน่ะ ปกติหลังเลิกซ้อมแล้วไปไหนงั้นเหรอ" นิชิกิโดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยคำถามง่ายๆ ตอนที่หยุดรอสัญญาณไฟข้ามถนน ดวงตาคู่นั้นสบเข้ากับเขาเหมือนอย่างทุกครั้ง ให้ความรู้สึกจริงใจแบบที่เขาอยากนิยามว่า 'นี่แหละนิชิกิโด'




    "ปกติก็กลับบ้าน แวะซุปเปอร์ ดูเน็ตฟลิกซ์ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก" เขาไหวไหล่ "แล้วนิชิกิโดปกติทำอะไรงั้นเหรอ"




    "ก็....ไม่ได้มีอะไรพิเศษล่ะนะ" มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายยกขึ้นเกาแก้มเหมือนว่ากำลังคิดหาคำตอบที่ฟังดูเข้าท่าที่สุด "ถ้าไม่ได้ไปนั่งที่สนามเด็กเล่นก็คงคล้ายๆ กับโอคุระนั่นแหละ"




    ตอนที่พูดถึงสนามเด็กเล่นที่ไปนั่งดูดาวอยู่ทุกวัน ดวงตาคู่นั้นก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างมีความสุข เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรทำให้คนเราสนใจเรื่องของจุดขาวๆ บนท้องฟ้าที่จับต้องไม่ได้มากถึงขนาดนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากให้ที่นั่งข้างๆ นิชิกิโดในคืนวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวน่ะ เป็นที่ของเขาเพียงคนเดียว




    ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทั้งที่ไม่ได้สนใจเรื่องดวงดาวเท่าไหร่ แต่ก็ยังดั้นด้นจะไปอยู่ที่ตรงนั้นแทบทุกครั้งที่เจออีกฝ่ายที่สนามเด็กเล่น




    เขาน่ะ เสียสติไปแล้วหรือเปล่านะ




    "แต่ว่านะ" เสียงของนิชิกิโดที่หยุดฝีเท้าลงแล้วหันมามองดึงเขาให้หลุดออกจากความคิดของตัวเอง อีกฝ่ายเอียงคอเล็กน้อยในขณะที่ยิ้มจนตาหยี




    "คิดว่ายังไงบ้างถ้าฉันจะชวนไปคาราโอเกะน่ะ"




    ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธเลยสักนิด





    *





    เสียงดังๆ ในห้องคาราโอเกะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากที่สุด




    เขาที่นั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมวงดนตรีกลุ่มใหญ่ในห้องที่ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเต็มไปด้วยคนรู้จักได้แต่นั่งเท้าคางแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนที่เหลือบสายตาไปมองนิชิกิโดที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน พร้อมกับแทมโบลีนในมือที่ถูกเคาะเป็นจังหวะตามเสียงเพลง




    ชั่วขณะหนึ่งดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความสดใสหันมาสบเข้ากับเขาที่ได้แต่เสตามองไปทางอื่นอย่างเก้กัง




    อา รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว




    หัวใจเองก็เริ่มเต้นอย่างผิดจังหวะพิกล




    เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมวันหนึ่งผู้ชายที่รู้จักกันพอประมาณมาเกือบปีถึงได้ทำให้รู้สึกประหลาดแบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็เห็นกันมาตลอดนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจตั้งวงดนตรีร่วมกัน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่นิชิกิโดจะทำให้เขารู้สึกไปไม่เป็น




    ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยิ้ม ตอนที่หันมาสบตาเขาด้วยสายตาแบบนั้น หรือแม้แต่ตอนที่สัมผัสตัวกัน




    ทุกอย่างมันเริ่มมาจากคืนวันนั้น คืนที่ได้นั่งดูดาวด้วยกันเป็นครั้งแรก




    'โอคุระคุงน่ะ เหมือนกับดาวซิริอุสเลยนะ'




    เขาสลัดคำพูดนั้นออกไปจากหัวไม่ได้เลยสักนิด แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไม




    ไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดมากถึงขนาดนี้กับการมาคาราโอเกะกับเพื่อนร่วมวง ทั้งที่ตอนแรกคิดไว้ว่าจะได้มากับนิชิกิโดแค่สองคนเท่านั้น




    นี่มันไม่มีเหตุผลเลย




    มันคงไม่แปลกที่จะคาดหวังอะไรแบบนั้นจากคำพูดของนิชิกิโดที่เอ่ยปากชวนเขาเมื่อตอนเย็น แต่อาการหงุดหงิดที่ผิดหวังกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักนิด บรรยากาศรอบตัวที่สนุกสนานไม่ได้ทำให้รู้สึกครื้นเครงเท่าไหร่ ตอนที่ยาสุดะส่งไมโครโฟนมาให้ เขาก็ได้แต่บอกปัดทั้งที่ถ้าเป็นปกติคงไม่คิดปฏิเสธ




    รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า




    เขายกมือขึ้นลูบหน้า คิดว่าถ้าได้สูดอากาศดีๆ สักสองสามนาทีคงจะรู้สึกดีขึ้น เพราะแบบนั้นถึงได้ลุกออกไปข้างนอกห้องแล้วหลบมุมไปยืนรับลมที่ระเบียงชั้นบนของร้าน 




    สายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ขุ่นมัวในตอนแรกเหมือนจะค่อยๆ ปลิวหายไปอย่างช้าๆ ตอนที่เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นดาวเต็มฟ้า




    ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันสวยดีเหมือนกัน




    พอเริ่มรู้สึกว่าใจเย็นลงอีกหน่อย ก็พยายามคิดในแง่บวกว่านี่คือการมาสนุกกันกับเพื่อนร่วมวงที่ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันมาสักพักแล้ว และการคิดจะมาคาราโอเกะแค่กับนิชิกิโดน่ะเป็นเรื่องเพ้อพก




    ใช่แล้ว คาราโอเกะน่ะมาสองคนมันจะไปสนุกได้ยังไงกันล่ะ




    บอกตัวเองแบบนั้นเหมือนอยากจะให้สมองจดจำมันเข้าไปแทนความรู้สึกจริงๆ ที่ว่าเขาอาจจะอยากใช้เวลากับนิชิกิโดให้มากกว่าเดิม มากกว่าการเดินไปซ้อมด้วยกัน หรือว่านั่งดูดาวข้างๆ กันในช่วงค่ำก่อนกลับบ้าน




    เขาที่ตอนนี้ก็เริ่มพูดได้ไม่เต็มปากว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับนิชิกิโดน่ะ ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรกันแน่




    บรรยากาศยังคงเงียบสงบ สายลมอ่อนๆยังคงพัดผ่าน ดาวที่พร่างเต็มฟ้ากำลังส่องประกายระยิบระยับชวนจับตาตอนที่เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวของใครอีกคนที่เท้าแขนลงกับขอบระเบียงข้างๆ กัน




    เมื่อหันไปก็เห็นนิชิกิโดกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือหัว เสี้ยวหน้านิ่งๆ นั้นถูกเงาของโคมไฟบดบังจนไม่เห็นสีหน้า




    เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เงยหน้าขึ้นมองตามคนข้างกาย ที่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นิชิกิโดกำลังจ้องมองมีดาวสองดวงเคียงคู่กัน แสงของมันทอประกายจับสายตา




    "พอลลักซ์กับแคสเตอร์เป็นฝาแฝดกัน" อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาคู่นั้นเหลือบมามองที่เขาชั่วครู่ ก่อนจะมองออกไปไกลแสนไกล "แต่ว่าเกิดจากไข่คนละใบ ทำให้คนนึงเป็นอมตะ ในขณะที่อีกคนเป็นมนุษย์"




    "วันหนึ่งแคสเตอร์ตาย พอลลักซ์เลยขอให้ซุสช่วยทำให้ทั้งสองคนไปเป็นดาวบนท้องฟ้าที"




    "...เล่าเรื่องนี้ทำไมเหรอ" เขาหยุดสายตาเอาไว้ที่ใบหน้าสงบของนิชิกิโด ดวงตาของอีกฝ่ายยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงดาวไกลเกินเอื้อมบนท้องฟ้า




    "แค่คิดว่าการได้เป็นอมตะอยู่บนท้องฟ้ากับคนที่ตัวเองรักน่ะมันดีแล้วเหรอ" นิชิกิโดหัวเราะ




    เสียงหัวเราะเบาๆ ในความมืดของกลางคืนดลใจให้เขาเงยหน้ากลับไปมองดาวสองดวงที่เคียงคู่กันบนท้องฟ้า คิดว่ามันอาจจะดีก็ได้ถ้าได้อยู่กับใครอีกคนตลอดไปในระยะห่างเพียงน้อยนิดแบบนั้น




    "มันก็โรแมนติกดีล่ะนะ ถ้าไม่ใช่คู่แฝด..." ตอบกลับไปแบบนั้นด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่เรียกสายตาของอีกคนให้หันมามองได้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปาก




    นิชิกิโดเท้าคางมองเขา ดวงตาคู่นั้นหยีลงตอนที่ยิ้ม




    "แล้วโอคุระเคยคิดว่าอยากจะขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้ากับใครหรือเปล่า"




    แวบหนึ่งเขานึกถึงนิชิกิโด แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นทิ้งไป




    "ตอนนี้ยังไม่เจอใครที่ทำให้คิดแบบนั้นล่ะ"




    "....งั้นเหรอเนี่ย"




    ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เขาทอดสายตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อย บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่รู้จักแต่กลับให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด ไออุ่นจากตัวของนิชิกิโดทำให้รู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวทั้งที่เคยคิดว่าการยืนดูดาวที่ริมระเบียงน่ะเป็นเรื่องที่ดูเหงาหงอย




    "ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกว่าชวนคนอื่นมาด้วย" นิชิกิโดทำลายความเงียบขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก อีกฝ่ายหันมาสบตากับเขา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความจริงใจที่ทำให้หวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก




    "โกรธหรือเปล่า?"




    "ไม่ได้โกรธสักหน่อย" เขาไหวไหล่เล็กน้อย ทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไรถึงแม้หลายสิบนาทีก่อนหน้าจะหงุดหงิดจนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวช่างขุ่นมัวก็ตาม "คาราโอเกะก็ต้องมากันหลายๆ คนถึงจะสนุกอยู่แล้วนี่นา"




    ประกายตาบางอย่างในดวงตาของนิชิกิโดสะกิดใจเขา




    "อืม นั่นสินะ"




    เขาปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมเหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าบรรยากาศสบายๆ ที่มาพร้อมความเงียบเป็นเรื่องปกติสำหรับเขากับนิชิกิโดไปแล้ว บางทีก็ไม่ได้มีเรื่องให้พูดกันเยอะมากมายเหมือนอย่างเวลาอยู่กับยาสุดะ แต่การได้ยืนอยู่ข้างๆ กันในคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาวน่ะพิเศษยิ่งกว่าตอนไหนๆ เสียอีก




    บางทีก็คิดว่า การได้ยืนอยู่ต่อหน้าหมู่ดาวแบบนี้ ทำให้การเก็บความรู้สึกเป็นเรื่องยากที่สุด




    เขาเหลือบมองคนข้างกาย นิชิกิโดยังคงเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่เจ้าตัวสนใจอย่างไม่ละสายตา ตอนที่หันไปทางเดียวกับอีกคนบ้าง ดาวดวงหนึ่งที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าก็สะกดสายตาของเขาให้จ้องอยู่แบบนั้น




    "คืนนี้ซิริอุสสว่างกว่าเคยเลยนะ" อีกฝ่ายเปรยขึ้นมาเบาๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าไกลออกไป "ทั้งที่มีดาวอยู่เต็มฟ้า แต่กลับดึงสายตาไปได้หมดเลย"




    "เหมือนโอคุระเลยนะ"




    ไม่เข้าใจอีกแล้ว




    พูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจอีกแล้ว




    ความรู้สึกที่เหมือนว่าจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจมันช่างน่าหงุดหงิด แต่นิชิกิโดกลับไม่สนใจท่าทีของเขาด้วยซ้ำ อีกฝ่ายแค่ทอดสายตามองตรงไปบนฟ้า ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแสงดาวระยิบระยับเหมือนเป็นบ่อเกิดของดวงดาวทั้งจักรวาล




    "ทั้งที่อยู่ท่ามกลางคนตั้งมากมาย แต่โอคุระน่ะ ดึงสายตาฉันไปหมดเลยนะ"






    หัวใจกำลังเต้น

    เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in