เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Based on Sad storyNICHA B.
009 - time up
  • 009 - time up


    แม้กระทั่งหอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดของโลก
    ก็ต้องมีสักวันที่ฟันเฟืองของมันจะชำรุด



    "เมื่อคืนนอนกี่ทุ่ม"
    "ตีห้า"
    "มัวทำอะไร? ทำไมนอนเอาป่านนั้น"
    "ก็ทำงานน่ะสิ ถามได้"
    "อย่าหักโหมให้มันมากนัก แล้วกินอะไรหรือยัง?"


    น้ำเสียงห้วน ๆ กับประโยคสนทนาเดิม ๆ ดังขึ้นผ่านปลายสายที่โทรมาหากันตั้งแต่ 8 โมงเช้า
    ทุกอย่างดูจะเหมือนเดิม
    เว้นเสียแต่สถานะของเราสองคนที่เปลี่ยนไป

    "ยัง เนี่ยกำลังจะกิน แล้วมึงล่ะ"
    "เหมือนกัน งั้นเดี๋ยวออกไปหาอะไรกินก่อน"
    "อื้ม"



    หลังจากวันที่เราเลื่อนสถานะ
    ก็ผ่านมาราว ๆ อาทิตย์นึงได้
    เราเรียนรู้กันและกันเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
    มีหลายเรื่องราวที่เราแชร์กันแม้เวลาจะผ่านไปได้ไม่นาน
    เว้นเสียแต่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย
    เราต้องทำเหมือนไม่รู้จักกัน
    ก็ทางนั้นแหละที่ขอไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

    'เบื่อเสียงนกเสียงกา ไม่อยากเป็นที่พูดถึง มันอึดอัด'

    หลายคนอาจมองว่าเราโง่ และหมอนั่นเห็นแก่ตัว
    แล้วยังไง? จะให้เราปล่อยผีเสื้อที่เราเฝ้าจับมาเกือบปีหรอ
    เป็นคุณไม่เสียดายแย่หรือไง?




    calling...

    เสียงเรียกเข้าจากไลน์ดังขึ้นฉุดความคิดของเราไว้
    ก่อนที่จะกดรับสาย
    หลังจากที่อาบน้ำรออีกฝ่ายมาได้สักพัก

    "ไง ทำอะไรอยู่?"
    "เพิ่งอาบน้ำเสร็จ"
    "อืม.. แล้วรู้หรือยังว่าจะได้ไปฝึกงานที่ไหน?"
    "ยังอ่ะ รู้สึกว่าจะประกาศช่วงอบรม แล้วมึงอ่ะ สัมภาษณ์เป็นไงบ้าง?"
    "อ่า.. ได้ไปเดลินิวส์น่ะ"
    "จริงดิ ดีไหม?"
    "ไม่รู้สิ เฉย ๆ ยังไงก็ได้"


    บทสนทนาเป็นไปอย่างราบเรียบทว่าอบอุ่นในหัวใจ
    เราทั้งสองต่างตื่นเต้นกับการฝึกงานครั้งแรก
    ด้วยความที่มหาวิทยาลัยของเราเป็นหลักสูตรแบบใหม่
    เลยทำให้เราต้องฝึกงานในทุกเทอม
    ซึ่งเทียบอายุแล้ว เรายังเด็กมากสำหรับการฝึกงาน

    "มึง.. หลังฝึกงาน เราไปเที่ยวกันไหม?"


    คุยกันได้สักพักหมอนั่นก็เงียบไปก่อนจะถามคำถามที่ไม่แปลกใจเท่าไหร่
    ก็มันชอบเที่ยวจะตาย
    คงเพราะเป็นเด็กกรุงเทพฯมาตั้งแต่เกิดล่ะมั้ง
    เลยอยากจะลองไปสัมผัสธรรมชาติดูบ้าง


    "หืม ที่ไหนล่ะ?"
    "หัวหิน"
    "เอาสิ เก็บตังค์เยอะ ๆ ล่ะ จะได้เลี้ยงกูได้ ฮ่า ๆ "
    "อย่ามามั่วไอ้หมู มึงสิต้องเลี้ยงกู"


    เสียงหัวเราะปนก่นด่าดังเป็นพัก ๆ ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วพบว่าควรถึงเวลาที่เราคงต้องแยกย้ายกันนอน

    "วันจันทร์นี้วันเกิดกูแล้วนะ"

    เตือนความจำสักหน่อย
    แอบหวังเล็ก ๆ จะให้หมอนั่นมาหาแล้วพาไปเที่ยว

    "อยากได้อะไรไหม?"
    "ไม่หรอก แต่ไปเที่ยวด้วยกันดีไหม?"


    ว่าจะชวนไปทำบุญน่ะ
    ได้แค่คิด แต่ไม่ทันได้พูดออกไป

    "อ่า.. ไว้จะบอกอีกทีนะ ต้องไปแล้ว"
    "โอเค ฝันดีนะ"
    "ฝันดีครับ"


    รู้สึกแปลก ๆ แฮะ
    คงคิดมากไป




    "มึงได้อ่านมาปะวะ?"
    "อ่านดิ"
    "กูก็อ่านนะ แต่ไม่ค่อยเก็ทเลยว่ะ"
    "อืม เห็นโจทย์แล้วคงเข้าใจล่ะมั้ง"
    "แล้ว.. ติดต่อหมอนั่นได้หรือยัง?"
    "ยัง"
    "อะไรกัน! วันเกิดแฟนตัวเองแท้ ๆ ดันมาหายหัว แถมโทรไปดันตัดสายเนี่ยนะ!"
    "ชู่ว"

    รีบห้ามเพื่อนสนิทตัวดีแทบไม่ทัน
    เมื่อคนรอบข้างเริ่มหันมาให้ความสนใจบทสนทนาเราทั้งคู่
    ก็อย่างที่ว่าแหละ หมอนั่นหายไป...
    หายไปได้สามวันแล้วหลังจากคืนนั้น
    พยายามติดต่อไปแล้วทุกช่องทาง
    จะเหลืออยู่อย่างเดียวก็คงจะเป็นการบุกไปบ้านมันนั่นแหละ
    แม้กระทั้งวันเกิด ยังไม่มีแม้กระทั่งข้อความอวยพร...
    มันแปลก แปลกเกินไป
    จนเราคิดมาก กลัวอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป


    วันนี้เป็นสอบปลายภาค มั่นใจว่ายังไงหมอนั่นต้องมา
    เราไปดักรอหน้าห้องสอบก่อน 10 นาที
    วันนี้ต้องคุยให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    แล้วเขาก็มา

    "ขอคุยด้วยหน่อยสิ"
    "อืม"


    หมอนั่นเดินตามมาทางบันไดหนีไฟแบบเงียบ ๆ
    เขาปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
    น้ำเสียงเมื่อกี้ก็เย็นชาเกินกว่าจะเป็นคนรักกัน
    ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด

    "หายไปไหนมา รู้ไหมว่าเป็นห่วงแค่ไหน?"

    เราเป็นฝ่ายที่หมดความอดทน 
    ก่อนจะพูดเสียงสั่นพลางจ้องเขาไม่กระพริบ
    แต่เขาก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

    "มึงอยากรู้ความจริงใช่ไหม?"
    "..."
    "แม่กู..เขาจับได้ว่าเราคบกัน เขาโกรธมากและยึดทุกอย่างที่จะทำให้เราติดต่อกันได้ แล้วเขาก็บอกว่า อยากให้กูเรียนให้จบก่อนจะคิดเรื่องแบบนี้"


    เราอึ้งกับเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยิน
    สมองไม่ประมวลผลใด ๆ
    มีเพียงคำถามเดียวที่วนอยู่ในหัวว่า
    เรื่องจริงหรอวะ?
    สมัยนี้ ยังมีคนที่ห้ามไม่ให้ลูกมีความรักระหว่างเรียนอยู่จริง ๆ หรอวะ ?

    "ละ..แล้ว แล้วเราควรทำยังไง?"
    "ทำยังไงน่ะหรอ?"


    เขาพูดช้า ๆ พร้อมกับเตรียมจะหันหลังเดินออกไปจากประตูทางเดินหนีไฟ
    ไวกว่าสมอง ร่างกายของเราขยับไปเอง
    เราคว้าแขนเขาเอาไว้
    มือเปียกชุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนจากสูทที่ใส่อยู่
    หรือความร้อนรนในใจกันแน่

    "เราก็.."
    "..."


    ไม่.. ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม


    "ควรจะเชื่อฟังพ่อแม่ของเรา ถูกไหม?"
    "..."


    แต่เราเพิ่งจะคบกันนะ


    "อย่าร้องไห้นะ"


    เขาเดินออกไปแล้ว
    มืออันสั่นเทาของเราไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้อีกต่อไป
    เราเดินกลับไปที่ห้องสอบของตัวเอง
    ลงมือทำข้อสอบไปเรื่อย ๆ 
    เมื่อรู้สึกตัวอีกที
    โจทย์ภาษาอังกฤษก็พร่าเลือนจนมองแทบไม่เห็น
    ขอโทษนะคะอาจารย์
    ที่ทำกระดาษคำตอบวิชาอาจารย์เปียก



    แล้ววันที่ฟันเฟืองนาฬิกาของเราสองคนชำรุด
    ก็มาถึงจนได้...



    _____________________________

    Talk w/me 
    เอ้า! งง งงหนักกว่าเดิม
    ตอนนี้มันจะหน่วง ๆ ตื้อ ๆ หน่อยนะ
    เพราะเราเขียนอิงจากเหตุการณ์จริง
    ซึ่งแม่งก็หน่วง ๆ ตื้อ ๆ อย่างงี้จริง ๆ 
    งงไปหมด 
    แต่การกระทำทุกอย่างย่อมมีเหตุมีผลในตัวของมันนะจ้ะ
    ตอนหน้าจะเป็นอย่างไร อย่าลืมติดตามน้า
    จะพยายามอัพให้ถี่ ๆ เล้ยยย
    ปล.ตอนนี้นับเป็นอีกตอนที่เขียนแล้วรู้สึกแย่มักมัก งือ TT


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in