วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักและแอบดูสกู๊ปโฆษณาในคราบสารคดีสั้นที่ฉายก่อนภาพยนตร์ในทุกๆ โรง ชุดสารคดีดังกล่าวใช้งบประมาณสิบเจ็ดล้านห้าแสนเปเซตาสหรือประมาณ 4 ล้านบาทต่อเดือน* และถูกบังคับฉายอยู่เป็นเวลาเกือบ 40 ปีในประเทศสเปน เรียกกันว่า NO-DO
*แม้ว่าจะไม่สามารถหางบที่ใช้ตั้งแต่เริ่มอย่างแม่นยำได้ แต่ตามข่าวใน El Pais เงินสิบเจ็ดล้านกว่านี้เป็นงบที่ใช้ผลิตในช่วงปี 1979 ซึ่งเป็นปีที่กำลังจะเจ๊ง ทั้งนี้ด้วยค่าเงินที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย พูดได้ว่าเงินสิบเจ็ดล้านเปเซตาสหรือสี่ล้านบาทนี้เป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับไทยแล้วช่วงนั้นจะเป็น พ.ศ.2522 ก๋วยเตี๋ยวชามละไม่เกิน 5 บาท เท่ากับว่า4ล้านสมัยนั้นมูลค่าอยู่ที่40ล้านของสมัยนี้
บริบทการเมืองและการเมืองภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงปี 1931 สเปนได้ทำการปลดกษัตริย์ลงจากอำนาจได้สำเร็จ และตั้งสาธารณรัฐสเปนที่ 2 ขึ้นมาแทน สาธารณรัฐสเปนที่ 2 นี้มีอุดมณ์การณ์แบบฝ่ายซ้าย ออกแนวสังคมนิยม ฝ่ายขวาจึงไม่ค่อยจะถูกใจนัก (คาดว่าอาจไม่ค่อยจะถูกใจตั้งแต่ช่วงที่มีการล้มเจ้า) กลายเป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้ง มีการจ่อจะรัฐประหาร และเกิดสงครามกลางเมืองสเปนในที่สุด
ทั้งนี้ สงครามกลางเมืองสเปนเกิดจากความขัดแย้งหลายด้านรวมกัน ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งด้านการเมืองอย่างเดียว ดังนั้นแม้ว่าจะแบ่งขั้วความขัดแย้งได้เป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ แต่แต่ละฝ่ายก็มีหลากหลายกลุ่มอยู่รวมกัน ซึ่งอาจไม่ได้มีอุดมณ์การณ์เหมือนกันทุกข้อ ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก
สองฝ่ายหลักในสงครามกลางเมืองสเปนได้แก่
- กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นชื่อเรียกที่เรียกกันเอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ มีกำลังหนุนจากฝั่งสหรัฐอเมริกา
- กลุ่มชาตินิยม หรือนิยมชาติก็ตามแต่ ถือว่าเป็นชื่อดีๆ ที่ใช้เรียกกันเอง ส่วนฝ่ายตรงข้ามจะเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นพวกฟาสซิสต์ มีกำลังหนุนคือนาซีเยอรมัน และฝั่งฟาสซิสของอิตาลี
ท้ายที่สุดกลุ่มชาตินิยมโค่นกลุ่มสาธารณรัฐได้สำเร็จ และนายพลฟรังโก้ได้ขึ้นสู่อำนาจ
สื่อและภาพยนตร์
ในช่วงสงครามกลางเมืองดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายนอกจากจะใช้การต่อสู้จริงๆ แล้วก็ยังใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อด้วย มีการพยายามประโคมสื่อกันทั้งสองฝ่าย ผลิตภาพยนตร์และภาพยนตร์กึ่งอิงจากเรื่องจริงที่เข้าข้างฝ่ายตัวเองเป็นจำนวนมาก อาจจะมีป้ายสีหรือบิดเบือนฝั่งตรงข้ามด้วย แต่ฝ่ายของสาธารณรัฐมีมากกว่าและเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ ณ ขนาดนั้นมากกว่า
ด้วยความที่ฝั่งตรงข้ามได้รับกระแสตอบรับและความนิยมมากกว่าโดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่มาโดยตลอด เมื่อฟรังโก้ได้ขึ้นสู่อำนาจจึงจำเป็นต้องสร้างของใหม่มาเบียดเสียหน่อย รวมทั้งตอนนั้นก็จำเป็นต้องสร้างสื่อขึ้นมาหาความชอบธรรมให้กับฝ่ายตัวเองด้วย ดังนั้นมีโฆษณาชวนเชื่อออกมาในหลายรูปแบบ แทรกเข้าไปอยู่ในสิ่งบันเทิงอย่างภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน
NO-DO
วันที่ 4 มกราคม 1943 โรงภาพยนตร์แห่งแรกในสเปนเปิดตัวพร้อมโปรแกรมเสริมที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน รายงานข่าวทั้งในและนอกประเทศความยาวประมาณสิบนาที แต่คัดมาเฉพาะข่าวที่ระบอบฟรังโก้ในเวลานั้นต้องการจะให้ทราบ ต่อด้วยการสรรเสริญความเสียสละเพื่อชาติของท่านนายพล สื่อกึ่งข่าวกึ่งสารคดีกึ่งโฆษณาชวนเชื่อนี้มีหลากหลายเวอร์ชั่น และฉายก่อนภาพยนตร์ทุกเรื่อง ในทุกโรงภาพยนตร์ในสเปน
ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า NO-DO
NO-DO (โนโด) ย่อมาจาก Noticiarios y Documentales Cinematográficos แปลว่า ข่าวและภาพยนตร์สารคดี เริ่มฉายในปี 1943 ประมาณ 4 ปี หลังจากฟรานซิสโก ฟรังโก้ขึ้นสู่อำนาจ แต่ละชุดมีความยาวประมาณ 10 นาที เนื้อหาก็เป็นการคัดเลือกข่าวสารตามแต่ท่านผู้นำเห็นสมควร ตามด้วยสิ่งที่ท่านผู้นำอยากจะปลูกฝังให้คนในชาติตามที่กล่าวไปข้างต้น
สิ่งที่ปรากฎ
บ่อยคือการนำเสนอภาพฟรังโก้คู่ไปกับความสงบเรียบร้อย (เนื่องจากสงครามกลางเมืองเต็มไปด้วยความรุนแรง ฟรังโก้ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังความรุนแรงนั้นจึงมีวาทกรรมของ "ความสงบ" "สันติภาพคือชัยชนะ" ติดมาด้วย โดยหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือมีการเฉลิมฉลอง 25 años de Paz หรือ 25 ปีแห่งสันติภาพ แม้ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองการจบลงของสงครามกลางเมือง แต่ก็เป็นการเฉลิมฉลองความสงบภายใต้การปกครองของผู้นำเผด็จการไปด้วยในตัว และช่วงนี้เองก็เป็นช่วงที่ฟรังโก้ปรากฎตัวบ่อยเป็นพิเศษ ใน NO-DO
) มีภาพการรำลึกรักบ้านเกิด คริสตจักรคาทอลิก เรื่องทั่วไปที่ปรากฎบ่อย เช่น กีฬา การสู้วัวกระทิง ศิลปะ งานฝีมือ
สิ่งไม่ปรากฎเลยคือการกล่าวถึึงสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา รวมไปถึงความยากจนอันเป็นผลต่อจากสงครามนั้น
ฟรังโก้เสียชีวิตในปี 1975 แต่ NO-DO ฉายครั้งสุดท้ายในปี 1981 สังเกตได้ว่าโนโดยังอยู่ถึงแม้ฟรังโก้จะเสียชีวิตไป 6 ปีแล้วก็ตาม สาเหตุที่เจ๊งและต้องหยุดฉายในที่สุดน่าจะมีหลายปัจจัย แต่ปัญหาเรื่องการเป็นหนี้น่าจะเป็นปัญหาหลัก
หลังจากที่ NO-DO เลิกฉายไปแล้ว สถานีโทรทัศน์ RTVE ก็ได้มีการรวบรวมทุกตอนที่เคยฉายเอาไว้ในเว็บไซต์ เป็นทั้งประโยชน์ทางการศึกษาประวัติศาสตร์และเป็นการบันทึกเรื่องราวไปในตัว
คห.ส่วนตัว เทปแรกๆ มีการประโคมเรื่องทหารเป็นรั้วของชาติและสร้างภาพผู้กองยอดรักอย่างเข้มข้น แต่ภาพรวมในเทปหลังๆทั่วๆ ไป ก็ดูเหมือนสกู๊ปข่าวสั้นที่มีเนื้อหาหลากหลายทั้งในทั้งนอกประเทศ เหมือนดูเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (มีความเพลิน) แต่ขณะเดียวกันก็สังเกตว่าข่าวในประเทศจะนำเสนอความเจริญและเรื่องจรรโลงใจเป็นส่วนใหญ่ สำหรับการแทรกเข้ามาของค่านิยมต่างๆ คิดว่าลักษณะคงจะแนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจลดลงตามเวลา โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านการปกครอง
เผด็จการกับผู้หญิง
สมัยฟรังโก้พยายามจะจัดระเบียบสังคมโดยแยกหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละเพศชัดเจน และการจัดระเบียบนี้ก็ถูกใส่เข้าไปใน NO-DO ด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in