เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Let the story beginDaffodil
[Review] The Picture of Dorian Gray

  • There is no such thing as a moral or an immoral book.
    Books are well written, or badly written. That is all.

    Oscar Wilde, the Preface of the Picture of Dorian Gray


    นี่ไม่ใช่การรีวิวแต่คือการอวยล้วนๆ กรุณาใช้จักรยานในการอ่านนะคะ ;)

    นิยายเรื่อง The Picture of Dorian Gray เขียนโดยนักเขียนชาวไอริช Oscar Wilde เคยถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ล่าสุดก็คือเมื่อปี 2009 โดยได้เบน บราน เจ้าชายแคสเปี้ยนของชาวนาร์เนียมารับบทดอเรียน เกรย์ หนุ่มน้อยผู้มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด สมทบด้วยลุงคอลิน เฟิร์ธ มิสเตอร์ดาร์ซี่ในใจของเราที่คราวนี้เทิร์นดาร์กมารับบทตัวละครสีเทาๆ อย่างลอร์ดเฮนรี่ผู้ชักจูงดอเรียนเข้าไปสู่เส้นทางแห่ง New Hedonism หรือก็คือลัทธิแสวงหาความสุขสันต์ในชีวิตปัจจุบันนั่นเอง

    แต่เอ๊ะ เราจะมารีวิวนิยายกันนี่หว่า

    มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ The Picture of Dorian Gray เล่าเรื่องการเติบโตของหนุ่มน้อยนามดอเรียน เกรย์ผู้มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด (เน้นว่างดงามนะคะ เพราะในหนังสือจะใช้คำว่า beautiful มาบรรยาย) จากตอนต้นเรื่อง หนุ่มน้อยของเราก็เป็นเพียงเด็กน้อยใสๆ วัยละอ่อน อันที่จริงผู้อ่านรู้จักเขาจากรูปภาพก่อนจะเจอตัวจริงเสียอีก เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อลอร์ดเฮนรี่ (กรุณานึกภาพลุงคอลินติดหนวด หน้าตาชั่วร้าย) เข้ามาเยี่ยมเพื่อนจิตรกร บาซิล และบังเอิญเห็นรูปภาพของพ่อหนุ่มดอเรียนที่บาซิลกำลังบรรจงวาด ลอร์ดเฮนรี่สนใจภาพวาดนั้นขึ้นมาทันที และต่อมาเมื่อพบกับดอเรียน ทั้งสองก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แต่ดอเรียน เกรย์ไม่ใช่พระเอกประเภทจะคงความดีงามของเขาไว้ตลอดไป ตัวละครตัวนี้เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มน่ารักใสๆ กลายเป็นคนที่ทุกคนในสังคมพากันรังเกียจ

    แต่เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ตั้งชื่อเรื่องว่าดอเรียน เกรย์ไปเลยล่ะ?

    คำตอบก็คือ เพราะดอเรียน เกรย์นั้นหาได้มีความสำคัญเท่ารูปภาพของเขาไม่

    ทุกครั้งที่ดอเรียนทำเรื่องเลวร้าย รูปภาพของเขาก็จะบิดเบี้ยว น่าเกลียดน่ากลัวขึ้น แต่ตัวเขากลับยังมีใบหน้าของหนุ่มน้อยอายุ 20 อยู่อย่างนั้น ดอเรียนซ่อนรูปภาพของเขาไว้ในห้องเรียนเก่าที่ไม่มีคนใช้ ทุกๆ วันเขาจะเข้าไปยืนต่อหน้ารูปภาพของตัวเองที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดน่ากลัวขึ้นทุกที เขาเฝ้าระวังไม่ให้ใครก็ตามพบเห็นรูปภาพรูปนี้ จนกระทั่ง...

    เชิญพบคำตอบเองได้ที่ร้านคิโนะคุนิยะทุกสาขานะคะ
    (ไม่ได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใดนะ เชื่อเราสิ)



    กลับมาที่การรีวิว

    ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องโปรดของเราอย่างรวดเร็วเลยค่ะ องค์ประกอบทุกอย่างไร้ที่ติจริงๆ สำนวนการเขียนดึงดูดเรามากๆ ผู้เขียนถ่ายทอดตัวละครทุกตัวออกมาได้อย่างน่าสนใจและมีชีวิตชีวา ในหนังสือจะมีวาทะเด็ดๆ (ที่ส่วนมากมาจากลอร์ดเฮนรี่) ที่สามารถเอาไปใส่แอคคำคมได้เชียวล่ะค่ะ


    ด้านคาแรคเตอร์นั้น บอกเลยว่าเราชอบมาก ตัวละครทุกตัวน่าสนใจและโดดเด่น แต่ที่เราชอบที่สุดก็คงไม่พ้นพระเอกของเรื่อง อย่างที่กล่าวเอาไว้ว่าตอนต้นเรื่องนั้นดอเรียนเป็นหนุ่มน้อยใสๆ น่ารักๆ สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ก็คือกระบวนการเข้าสู่ด้านมืดของเขาค่ะ ผู้เขียนบรรยายจิตใจและความคิดของดอเรียน เกรย์ได้ตราตรึงมากๆ (และหลังจากนั้นเราก็ชอบตัวละครเทิร์นดาร์กไปเลย แต่ต้องเมคเซนส์นะคะ ไม่ใช่ตัวละครประเภทที่คนเขียนยัดเยียดบทร้ายให้เพราะอยากเขี่ยให้พ้นทางพระเอกหรือนางเอก)

    ส่วนตัวละครที่มีสีสันที่สุดก็คงหนีไม่พ้นลอร์ดเฮนรี่ เขาเป็นคนประเภทที่สามารถเรียกได้ว่าสาลิกาลิ้นทองเลยล่ะ เฮนรี่เป็นคนมีวาทะศิลป์สูงมากค่ะ คำพูดของเขามีอิทธิพลต่อคนรอบข้างสูงมาก โดยเฉพาะพระเอกของเรา เขานี่เองที่เป็นคนชักจูงดอเรียนให้เข้าสู่ด้านมืด เอ้ย ให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าตามแบบฉบับของลัทธิสุขนิยม
    (ลัทธิสุขนิยม หรือ Hedonism เชื่อในเรื่องการแสวงหาความสุขในโลกนี้ค่ะ เป็นความสุขประเภทให้ความเพลิดเพลินบังเทิงใจ เช่น ใครชอบกินเหล้าก็กินไปเลยไม่ต้องสนสี่สนแปด)


    แต่หนังสือเรื่องนี้กลับได้รับคำวิจารณ์แย่ๆ จากนักวิจารณ์ร่วมสมัยมากมาย เหตุผลก็เพราะมันดูไม่เหมือนนิยายสะท้อนสังคมหรือให้ข้อคิดใดๆ กับสังคมเลย แต่ถ้าอ่านดีๆ แล้วเราว่านิยายเรื่องนี้ให้แง่คิดดีๆ หลายอย่างเลยนะคะ (เช่น อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจลุงคอลิน แอ่แฮ้)


    สำหรับคนที่ชอบเรื่องเหนือธรรมชาติและบรรยากาศโกธิคๆ เราขอแนะนำนิยายเรื่องนี้จากใจจริงค่ะ เราไม่แน่ใจว่ามีฉบับแปลภาษาไทยแล้วรึยัง แต่ฉบับภาษาอังกฤษก็อ่านไม่ยากนะคะ ศัพท์ยากก็มีบ้างตามประสานิยายเก่าๆ แต่โดยรวมแล้วเราแทบไม่ต้องเปิดดิกเลยเพราะว่าไดอาล็อคของตัวละครดึงดูดมากจนไม่อยากเสียเวลาเปิดดิก

    แต่สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านนิยาย เราแนะนำเวอร์ชั่นภาพยนตร์นะคะ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและเส้นเรื่องบางอย่าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าทำได้ดีนะคะ มีหลายฉากที่ตีความใหม่และเพิ่มเนื้อหาบางส่วนเข้าไปด้วย เราค่อนข้างชอบเลยล่ะ
    ปล. ภาพยนตร์เวอร์ชั่น 2009 นี่สาววายควรดูนะคะ มันดีมาก




    '... If it were I who was to be always young, and the picture that was to grow old! For that-for that-I would give everything! Yes, there is nothing in the whole world I would not give! I would give my soul for that!'

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
wrwoo (@wrwoo)
ขออนุญาตนะคะ ออสการ์ไวลด์ เป็นชาวไอริชที่ย้ายมาอยู่อังกฤษค่ะ ไม่ใช่ชาวอังกฤษ (คร่าว ๆ นะคะ)
ส่วนอื่นรีวิวดีมากเลยค่ะ
Daffodil (@PAK.Daffodil)
ขอบคุณมากค่ะ เราจะแก้ไขให้นะคะ