'เดี๋ยวนี้เธอไม่เขียนแล้วเหรอ'
ประโยคคำถามจากชายหนุ่มทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้
เออจริงว่ะ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอยากเขียน อยากบันทึก
อย่าว่าแต่เขียนเลย แค่อ่านหนังสือ เล่มล่าสุดยังคามานานหลายเดือนแล้ว
จริงๆ ช่วงที่ผ่านมา ชีวิตมีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะมาก มากจริงๆ
ความเปลี่ยนแปลงเดินเข้ามาหาแบบไม่ทันตั้งตัว
โดยเฉพาะเรื่องพ่อ
บ่ายแก่ๆ ของวันที่ 30 มิถุนา
อยู่ดีๆ ก็มีโทรศัพท์จากแม่โทรเข้ามาหา ในใจตอนนั้นรู้เลยว่ามันน่าจะมีอะไรแน่ๆ
ปกติแม่ไม่เคยโทรหาเราเวลาแบบนี้
พอรับสาย ปลายทางเป็นอากำลังพูด
ใจหายทันที ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นชัวร์
เพราะชีวิตแม่กับอาไม่ได้จะโคจรมาเจอกันง่ายๆ แน่นอน
'พ่อป่วยหนัก ถ้ารีบกลับบ้านเย็นนี้ได้ก็กลับมานะ'
ใจหาย..
ในใจเหมือนรู้ทันทีว่าพ่อต้องเป็นอะไรสักอย่างที่หนักหนาสาหัส
ตัวสั่น มือสั่น ใจลอย รีบเก็บของกลับบ้าน
ไลน์บอกบอสว่า ขออนุญาตกลับบ้านก่อนเวลา พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือรัวโทรศัพท์หาพี่ โทรไปหลายสาย แม่งไม่รับ
เข้าใจอารมณ์ตอนนั้นป่าวว่าสติแตกแล้ว
พ่อกูเป็นไรก็ไม่รู้ พี่กูก็ไม่รับโทรศัพท์ แล้วจะทำยังไงดี
บ้านก็เสือกไกลเป็นพันกิโล เพิ่งอยากวาร์ปได้ก็ตอนเนี้ย
เกือบสิบสายในที่สุดพี่ก็รับ
'ไปไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ รู้มั้ยว่าพ่อป่วยหนัก ต้องกลับบ้าน!'
นาทีนั้นก็น้ำหูน้ำตาไหล ตะคอกพี่ไปด้วยความอัดอั้น ไม่อายใคร
พอคุยกันรู้เรื่องก็รีบจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านตอนนั้นเลย โชคยังเข้าข้างที่ไฟลท์สุดท้ายมีที่ว่าง
ก่อนขึ้นเครื่องโทรหาแม่อีกทีเพื่อความชัวร์ว่าพ่อเป็นอะไร
แต่ในใจรู้แล้วแหละว่าพ่อไม่น่าจะรอด
มันรู้สึกได้..
'แม่ พ่อเสียแล้วหรอ'
ปลายสายสะอื้นหนัก แต่ก็ยังฝืนตอบกลับมา
'อื้ออ ไม่เป็นไรนะลูก'
'ไม่เป็นไรนะแม่ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร'
ไม่แน่ใจว่าพูดคำว่า ไม่เป็นไรออกไปกี่คำ แต่พูดเพราะรู้สึกอยากปลอบใจอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่
แม้ว่าเราเองก็ย่ำแย่มากพอกัน
สองพี่น้องนั่งนิ่งเงียบ ไม่พูดกันตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆ
แม่งเป็นชั่วโมงที่ยาวนานมาก อยากถึงเร็วๆ
อยากเจอพ่อเร็วๆ
แม้ว่าจะเป็นร่างนิ่งๆ ของพ่อก็ตาม
พอถึง ญาติมารับที่สนามบิน พาตรงดิ่งไปโรงพยาบาลที่พ่ออยู่
ตอนแรกก็ว่าจะเข้มแข็งนะ พอเจอแม่เท่านั้นแหละ
ร้องไห้โฮกอดแม่
คือมันทั้งเสียใจ ทั้งสงสาร ทั้งทำอะไรไม่ถูก
ไม่เคยคิดว่าพ่อจะมาตายอะไรในตอนนี้ เพราะมันไม่ได้มีสัญญาณอะไรมาก่อนเลย
วินาทีที่เจอร่างพ่อนอนอยู่ คือน้ำตาไหล แต่ไม่ได้ฟูมฟายนะ
ไอ้เสียใจอะมันเสียใจอยู่แล้ว แต่แค่ใจหายที่มาเทพวกเราไปซะดื้อๆ
แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อโทรมาหาตอนกำลังทำงานอยู่
ประโยคเดียวที่พูดคือ
'เรียก 1669 ให้หน่อย เป็นลมอยู่หน้าไดอาน่า'
แม่บอกว่าตกใจมาก รีบบอกให้เพื่อนขับรถไปแถวๆ ที่พ่อบอกพิกัด
วนหาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็เจอรถพ่อจอดอยู่ข้างทาง แถวสี่แยกหน้าห้างไดอาน่า
แต่ไม่ทัน..
พ่อไม่ไหวแล้ว
แม้ว่าแม่จะพยายามปั้มหัวใจ ส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ
หมอก็ปั้มหัวใจอยู่หลายรอบ
แต่พ่อก็เหนื่อยเกินไปที่จะฟื้นขึ้นมาแล้ว
'ไม่เป็นไรนะแม่
พ่อไปสบายแล้ว'
.....
'พ่อว่าพ่ออยู๋ได้ไม่เกิน 70 หรอก พอแล้วแค่นี้'
'ถ้าพ่อตาย พ่อทำอันนู้นอันนี้ๆๆ ไว้ให้นะ'
สารพัดประโยคที่พ่อชอบพูดให้ได้ยินตอนยังอยู่ด้วยกันมันกลับมาตอกย้ำ
พ่อเป็นคนที่ไม่กลัวตาย และมักพูดเรื่องความตายอยู่เสมอ
ไอ้คนพูดไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่คนฟังมันก็น้ำตาไหลทุกทีอะเนอะ
แต่เชื่อมั้ย ผ่านไปทุกวันๆ ตั้งแต่งานศพพ่อ จนวันนี้เกือบๆ สองเดือน
เรารู้สึกโชคดีมากที่พ่อชอบพูดเรื่องตายๆ ให้ฟัง
เพราะมันทำให้เราเข้มแข็ง ไม่ฟูมฟาย ไม่จมปลักอยู่กับการจากไปของพ่อ
พ่อทำให้เราตระหนักว่า เออความตายแม่งเรื่องธรรมชาติมาก
อีกอย่างคือเราโอเคที่พ่อจากเราไปแบบสบาย ไม่ทรมาน ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่มีเลือด!
ที่สำคัญคือเราทำทุกอย่างให้พ่อหมดห่วงแล้ว
เรากับพี่เรียนจบ มีการมีงานทำหมดแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว
และพ่อก็ตายตอนยังไม่ 70 จริงๆ ด้วย สมใจอยากเลยสิ 55555
...
"You're not there
To celebrate the man that you made
You're not there
To share in my success and mistakes
Is it fair?
You'll never know the person I'll be
You're not there with me"
ทุกวันนี้ก็คิดถึงพ่ออยู่เสมอนะ
รักเหมือนเดิม แค่ไม่มีพุงอ้วนๆ ให้กอด ไม่มีแขนแข็งๆ ให้ควงแล้ว
คิดถึงมากๆ โดยเฉพาะเวลาฟังเพลงนี้
รักพ่อนะ
อุ่น
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in