Author’s Note : ตอนที่แล้วเนื้อเรื่องโดยย่อสำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน NC ก็คือ พี่ชายเห็นน้องเมาก็เลยยอมถอดหน้ากาก คุยเปิดอกกันไป คาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายหายเมาก็คงจะลืมเช่นทุกที กลายๆ ว่าสารภาพไปเกือบหมดเปลือกนั่นแหละ น้องก็หายน้อยใจขึ้นมาจึ๋งนึง ประมาณนั้นน้า
ส่วนในตอนนี้... ดูท่าพี่ชายจะถูกเกลียด... (. . ')
Pairing : Thor x Loki
Rate : ลดฮวบเหลือ G ค่ะ 5555
Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
“เฮ้...”
…เสียงกระซิบเรียกฟังดูอ่อนโยน พร้อมกับมืออุ่นและหยาบกร้านอันเคยคุ้น ทิ้งน้ำหนักลงมาบนหน้าผาก แล้วลูบขึ้นไปตามเรือนผมช้าๆ เรียกให้ผู้ซึ่งนอนหลับนิ่งราวกับคนตายมาหลายชั่วโมง เริ่มรู้สึกตัว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น
โลกิหยีตาสู้แสงสว่างภายในห้อง รอจนดวงตาปรับเข้ากับแสงได้แล้ว จึงค่อยเห็นใบหน้าชัดๆของพี่ชาย ซึ่งนั่งอยู่บนขอบเตียง และกำลังมองมาที่เขา
ในหัวยังคงว่างเปล่า จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนเองอยู่ที่ไหน และทำไมถึงมาอยู่บนเตียง ไม่ทันตื่นดีฝ่ามือหนาหนักของอีกฝ่ายก็ผละห่างออกไปเสียแล้ว
“ใกล้เวลาแล้ว... เจ้า...ไหวรึเปล่า? ดีขึ้นบ้างไหม?”
เจ้าของดวงตาสีเขียวจ้องมองใบหน้าผู้เป็นเชษฐาเงียบๆ ในหัวค่อยๆลำดับเรื่องราว... ในใจพลันเกิดคำถาม ว่าภาพทั้งหมดในหัวเขาตอนนี้ คือเรื่องจริงที่เกิด หรือเป็นแค่ความฝันฟุ้งซ่าน จากฤทธิ์เหล้าของวาลคิรี่ที่เขาดื่มเข้าไปกันแน่
ธอร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นอนุชาตนเอาแต่เหม่อมองเขาอย่างใจลอย
คนถูกจ้องเอาๆ กางห้านิ้ว แล้ววางฝ่ามือแปะลงไปกลางใบหน้าคนเพิ่งตื่น บังคับให้อีกคนหลับตาลงใหม่ แล้วละเลงมือเล่นเบาๆ แก้เก้อเขิน ทำเอาเจ้าของใบหน้าต้องหลับตาปี๋ ร้องโวยวายยกมือมายึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ให้หยุด
“โอ๊ย! ท่าน! ทำอะไรน่ะ!”
“เช็คเพื่อความชัวร์ ว่าเจ้าตื่นแล้ว”
พี่ชายหัวเราะขำออกมาเบาๆ
“ข้าจะตื่นก็เพราะท่านบี้หน้าข้านี่แหละ!”
โลกิขู่ฟ่อ ถือโอกาสปั้นหน้าตาท่าทางให้ดูหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายเหมือนปกติ
เห็นว่าอีกคนดูเป็นปกติดี ธอร์ก็ยิ้มบางๆ แล้วละมือออก
“ข้าให้เวลาเจ้าเตรียมตัวสิบนาที แล้วเราจะไปกัน”
พูดจบรัชทายาทแห่งแอสการ์ดก็ลุกขึ้นยืน และเดินห่างออกมาจากเตียง เขากอดอกพิงผนังมองดูอีกฝ่าย ราวกับผู้คุมเฝ้านักโทษอีกครั้ง
“….”
โลกิไม่ได้ตอบ เขายังคงมองเหม่อตามแผ่นหลังกว้าง จนอีกคนหันกลับมาสบตา ค่อยรู้สึกตัวและรีบเสมองทางอื่น
พอยันตัวลุกขึ้นนั่งเท่านั้นแหละ ก็รับรู้ได้ถึงความปวดเมื่อยไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก กล้ามเนื้อซึ่งเกร็งตัวจนล้า และความรู้สึกตัวเบาหวิวลึกๆ คล้ายเป็นเครื่องยืนยันได้ดี ว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแค่ความฝันบ้าๆ นั่น สุดท้ายมันคือเรื่องจริง
“พวกเจ้า... ทำอะไรข้า...?”
โลกิถามด้วยน้ำเสียงงึมงำในลำคอราวกับบ่น จงใจให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนจดจำอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันก็พยายามขยับแขน และนวดหลังคอตนเอง ให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
ธอร์เงียบไป คล้ายกำลังชั่งใจก่อนตอบ
“…เจ้าดื่มเหล้าของวาลคิรี่เข้าไป... จากนั้นก็เมาหลับ...”
คนพูดลุกเดินไปหยิบอาวุธปืนขนาดใหญ่ของชาวซาคาร์ขึ้นมา ทำท่าเหมือนยุ่งกับการตรวจเช็คมัน และเลิกสนใจผู้ที่อยู่บนเตียง
โลกิได้แต่ลอบส่ายหน้า และถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ไม่รู้ว่าด้วยความรู้สึกโล่งใจ... ผิดหวัง... หรืออย่างอื่น...
...ทำไงได้ล่ะ... ในเมื่ออีกฝ่ายยอมพูดและทำทั้งหมดนั่น ก็เพราะคิดว่าเขาเมาไม่รู้ตัว คิดว่าเขาจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็แค่ยอมแกล้งทำเป็นลืม ตามใจเชษฐา เป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ...
...แค่ครั้งนี้เขาไม่ได้เมาหนักอะไร...
คงเพราะหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแวะเวียนไปปาร์ตี้กับแกรนด์มาสเตอร์อยู่ตลอด เลยทำให้เขาเริ่มชินกับเครื่องดื่มพวกนี้ขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น... และใช่ว่าเขาจงใจแกล้งทำสำออยเสียเมื่อไหร่... รสร้อนของเหล้านรกนั่น ก็ทำเอาเขาทรมานเกือบตายจริงๆ
...ที่สำคัญ...ถูกรีดจนแห้งหลับไปแบบนั้น... ขืนยอมรับว่าจำได้ เขาคงไม่รู้จะมองหน้าอีกคนยังไง... แถมจะว่าไม่เมาเลยก็คงไม่ได้ เพราะหากเป็นปกติแล้ว... เขาคงไม่กล้า... ทำสิ่งที่เพิ่งทำลงไปเป็นแน่...
นึกแล้วโลกิก็อดหน้าร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้ จนเจ้าตัวต้องรีบลุกจากเตียงเดินหนีเข้าห้องน้ำไป เลยไม่ทันได้เห็นดวงตาสีฟ้าซึ่งลอบหันมองกลับมา และสีหน้าแฝงแววครุ่นคิดของเชษฐา
“แล้ววาลคิรี่กับบรูซล่ะ?”
โลกิตะโกนถามออกมาจากห้องน้ำ
“...พวกเขาจะตามไปเจอเราทีหลัง”
บุตรแห่งลอเฟย์พยักหน้าเนือยๆ กับตัวเองในห้องน้ำ ขณะยืนมองสถานที่เกิดเหตุอยู่พักใหญ่ ในหัวยังคงมีความคิดวุ่นวายตีกันไม่จบ
พอรู้ตัวว่าเข้ามานานเกินไปแล้ว เขาก็รีบจัดการตัวเอง แล้วกลับออกไปเพื่อไม่ให้มีพิรุธ
เขากลับออกไปก็มองสบตาสีฟ้าจัดของอีกคนพอดี โลกิจึงคลี่ยิ้มกวนให้เชษฐาอย่างทุกที
“ข้าพร้อมแล้วพี่ชาย...”
--- ℑ ---
ทางเข้าโรงเก็บยานในตอนนี้แทบไม่มีคนเฝ้ายามตามปกติ เนื่องด้วยกำลังทหารส่วนใหญ่ถูกเรียกไประงับเหตุ และเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญจากกลุ่มปฏิวัติ ตามแผนการที่ถูกวางไว้
สองเจ้าชายแห่งแอสการ์ดมาถึงตรงประตูทางเข้า บุตรแห่งลอเฟย์ก็ตรงเข้าจัดการใส่รหัสเพื่อเปิดประตู โดยมีเชษฐายืนกอดอกรออยู่ที่กรอบประตูอีกด้าน
“เฮ้! ฟังนะ... เอ่อ... เราต้องคุยกัน”
ผู้เป็นเชษฐาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน ทำเอาอนุชาเองก็ชะงักไปนิด ก่อนจะหันไปทักท้วง
“ข้าไม่เห็นด้วย... คุยกันตรงไปตรงมามันไม่ใช่ธรรมเนียมของบ้านเรา”
“เจ้าน่ะไม่รู้หรอก... มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะหลังจากที่เราคุยกันครั้งล่าสุด…”
โลกิเดินนำอีกคนเข้าไปด้านใน และบทสนทนาก็ถูกขัดด้วยภาพของทหารซาคาร์กลุ่มหนึ่งในโถงเบื้องหน้า ทั้งคู่จึงยกปืนขึ้นมาพร้อมเล็งไปยังทหารเหล่านั้น
“หวัดดี!”
ธอร์ร้องทัก โลกิเองก็ทำเช่นเดียวกัน
“ไฮ!”
แล้วสองพี่น้องก็เปิดฉากบุกเข้ากราดยิงใส่กองทหารซาคาร์ พริบตาเดียวทั้งหมดที่เห็นเมื่อครู่ ก็ร่วงลงไปกองกับพื้นราวมดปลวก
จากนั้นทั้งคู่ก็พร้อมกันสาวเท้าเข้าไปด้านใน แล้วโลกิก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน
“โอดินพาเรามาเจอกัน... และความตายของเขาควรจะแยกเราออกจากกัน”
โลกิไม่เหมือนธอร์… เมื่อไม่รู้ว่าชะตาของเขากับเชษฐาจะสิ้นสุดลงที่ใด... หากจุดจบของมันในวันหนึ่งข้างหน้า จะเป็นเหมือนในความฝันอันโหดร้ายของยักษ์น้ำแข็งเช่นเขา...
...บางทีการไม่เริ่มมันตั้งแต่ต้นคงจะดีเสียกว่า...
ธอร์เป็นฝ่ายยิงคุ้มกัน เพื่อให้โลกิกดรหัสเปิดประตู และเทพแห่งคำลวงก็ยังคงพูดถึงสิ่งซึ่งค้างคาอยู่ในความคิด
“เราเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน... สองรัชทายาทที่ถูกลอยแพ...”
เมื่อประตูบานนั้นเปิดออก ทหารติดอาวุธนายหนึ่งอยู่ที่อีกด้านของประตูพอดี มันก้าวเข้าหาโลกิ และเล็งปืนจ่อมากลางอก
เทพหนุ่มพลันต้องก้าวถอยยกสองมือเปล่าเหนือบ่าท่าทางยอมจำนน
แต่ชั่วพริบตาเทพเจ้าสายฟ้าก็จัดการทุบปลายกระบอกปืนลงต่ำ งัดเอาร่างทหารที่ถือมันอยู่ลอยสูงขึ้นไป กระแทกเพดานอย่างแรงจนสลบ แล้วร่วงลงมากองกับพื้น
“นึกว่าเจ้าไม่อยากพูดถึง!”
ธอร์ตอบด้วยน้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดเล็กๆ ก่อนเดินนำเข้าประตูนั้นไป
ที่แท้ประตูนั้นก็คือลิฟต์แก้ว ซึ่งสามารถพาทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นปล่อยยาน
เจ้าชายทั้งสองแห่งแอสการ์ดยืนเคียงข้างกันอีกครั้งในลิฟต์ ต่างคนต่างก็มีความคิดในหัวซึ่งแตกต่างกันออกไป
“คืออย่างนี้… ข้าควรจะอาศัยอยู่ต่อที่ซาคาร์...”
เทพแห่งคำลวงเอ่ยขึ้น
...เขากำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่กับตัวเอง…
โลกิไม่อาจยอมให้เชษฐากลับไปแอสการ์ด เพียงเพื่อไปตายด้วยน้ำมือเฮล่าได้... จึงได้แต่หวัง... ว่าความปรารถนาของเชษฐา ที่จะดูแลและปกป้องเขาจะมีมากพอ... มากพอที่จะยอมอยู่กับเขาที่นี่ และลืมเรื่องราวของแอสการ์ดไว้เบื้องหลัง...ทว่า...
“เจ้าพูดเหมือนใจข้าคิด...”
“…นี่พี่เห็นด้วยกับข้าเหรอ?”
โลกิหันกลับไปมองผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกผิดคาด
“ที่นี่มันช่างเหมาะกับเจ้ามากเลย... มันป่าเถื่อน วุ่นวาย ไร้กฎ... เจ้าจะอยู่ได้สบาย…”
“มองข้าแย่ขนาดนั้นเลยใช่ไหม?”
เจ้าของดวงตาสีฟ้าหันหาอนุชา เมื่อน้ำเสียงอีกคนฟังดูตัดพ้อน้อยใจ ธอร์ลังเลครู่หนึ่ง พออีกคนหันมาสบตากัน เขาถึงยอมเอ่ยปาก
“โลกิ... ข้าเคยชื่นชมเจ้า... ข้าคิดว่าเราจะสู้เคียงข้างกันตลอดไป แต่... สุดท้ายแล้ว เจ้าคือเจ้า ข้าคือข้า...ไม่รู้สิ... เจ้าอาจมีดีในตัว แต่... พูดก็พูดเถอะ...”
ธอร์เลือกจะหันกลับไปมองประตูลิฟต์ซึ่งปิดสนิทอยู่แทน คงเพราะรู้... ว่าประโยคที่จะพูดต่อไป มันคงทำร้ายเขาทั้งคู่ไม่ต่างกัน
“...เราทั้งสองเดินกันคนละทางมาตั้งนานแล้ว”
บุตรแห่งลอเฟย์ถึงกับยืนอึ้ง เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้...
...เขาแพ้แล้ว... และแพ้เดิมพันครั้งนี้อย่างไม่เป็นท่าเสียด้วย...
ใช่ว่าจะไม่เคยเตรียมใจ... เขานึกภาพอีกคนดื้อดึงยืนกรานจะลากเขากลับแอสการ์ด... ลากเขาให้ติดตามไปร่วมหัวจมท้ายด้วยกันทุกที่เหมือนวันวาน... แต่ไม่เคยมีภาพของตัวเขา ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้ที่นี้เพียงลำพังในหัว...
ที่เจ็บยิ่งกว่านั้น คือเหตุผลที่ออกมาจากปากเชษฐา... เหตุผลที่ว่า เขาดีไม่พอที่จะอยู่เคียงข้าง ธอร์...
เพราะแบบนี้รึเปล่า ธอร์ถึงไปสนิทกับเพื่อนกลุ่มอเวนเจอร์ในมิดการ์ด พวกทำตัวเป็นฮีโร่ บ้าผดุงความยุติธรรมอะไรนั่น...
ตอนนี้โลกิกลับนึกอยากให้ตัวเขาก่อนหน้านี้เมา และลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพักนั้นไปจริงๆ เสียแล้ว
อย่างน้อยจากนี้ไป เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงที่อีกคนพูดพร่ำ ว่าคอยปกป้องและห่วงใยเขาเสมอมา...
ไม่ต้องจดจำความรู้สึกของการ... ‘ถูกรัก’… จากเชษฐาคนเดียว
“ใช่...”
โลกิพยักหน้ายอมรับเบาๆ
“ดีที่สุดก็คือ เราไม่ต้องเจอกันอีก…”
“ก็... เหมือนที่เจ้าต้องการมาตลอด...”
ธอร์ยิ้มกว้าง เมื่อความเห็นของเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะได้ข้อสรุปตรงกัน
ฝ่ามือหนาและอุ่นของธอร์ตบเข้าที่บ่าด้านหลังของโลกิหนักๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนเช่นกาลก่อน ผิดแผกแตกต่างก็ตรง... เขาทั้งคู่เปลี่ยนไปแล้ว... มันอาจเป็นการปลอบใจ ในขณะเดียวกัน เชษฐาก็หนักมือพอจะตบปลุกให้เขาตื่น เพื่อยอมรับความจริงที่ว่า
...ทั้งเขาและธอร์... ไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...
“เฮ้! ใช้มุข ‘ตามหมอ’ !”
“อะไรนะ?!”
“ตามหมอ”
จู่ๆ คนเป็นพี่ก็โพล่งออกมา ทำเอาโลกิปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน อีกคนยังจะมาทำเสียงกระซิบกระซาบ นึกสนุก ชวนเล่นมุขโปรดของพี่ชายตั้งแต่เมื่อครั้งพวกเขายังเป็นเด็ก
...ทั้งที่เพิ่งเป็นคนพูดให้เขาทำใจ... พูดว่าพวกเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมแท้ๆ...
…คนขี้โกง...
“ไม่”
“เอาเหอะเจ้าชอบมัน”
“ข้าเกลียดมัน”
…และข้าเริ่มจะเกลียดท่านแล้ว...
“สนุก ได้ผลทุกครั้ง!”
“มันน่าอาย”
“เจ้ามีแผนดีกว่าเหรอ?”
“ไม่!”
“งั้นแผนนี้ล่ะ!”
“…เราจะไม่ใช้มุข ‘ตามหมอ’…”
โลกิพูดช้าๆ ชัดๆ เพื่อแสดงจุดยืนของตน
...แต่ก็นั่นล่ะ...
นึกย้อนกลับไป... เขาเคยขัดใจเชษฐาได้ซะที่ไหน และมันก็อาจ... เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ทำอะไรรื้อฟื้นความหลังเก่าๆ ด้วยกันแบบนี้
--- ℑ ---
กริ๊ง!
เสียงลิฟต์ที่ชั้นปล่อยยานดังขึ้น พร้อมประตูซึ่งเปิดออกกว้าง และธอร์ก็ก้าวยาวๆออกมาจากลิฟต์ พร้อมหอบหิ้วประคองร่างอนุชา ซึ่งเอนพิงมาทางเขาด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยใกล้ตาย สมชื่อมุข ‘ตามหมอ’
“ตามหมอ! ได้โปรด! น้องข้าจะตายแล้ว!”
เทพแห่งสายฟ้าตะโกนลั่น ร้องขอความช่วยเหลือจากทหารของซาคาร์กลุ่มหนึ่งซึ่งลาดตระเวนผ่านมา
กลุ่มทหารพลันชะงักกึกเอากับภาพตรงหน้า ปล่อยให้สองเจ้าชายปรี่เข้ามาจนใกล้
ก็แน่ล่ะ... ใครจะไปคิดว่าเทพเจ้าตัวโตๆ สองคนจะทุ่มเท เล่นกันสมบทบาทถึงเพียงนี้
“ตามหมอ... มาช่วยเขา!”
ท้ายประโยคเทพเจ้าสายฟ้าก็จับร่างอนุชาเหวี่ยงเข้าใส่กองทหารซึ่งเพิ่งจะหายตกใจ และเริ่มยกปืนขึ้นเล็งมาทางสองเทพแอสการ์ด แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ทหารทั้งกองล้มกลิ้งระเนระนาดไปกับพื้น หลังโดนร่างโลกิเหวี่ยงฟาดใส่ไปเต็มๆ จนลุกไม่ขึ้น
“เฮ้อ... คลาสสิก!”
ธอร์ยืนยิ้มปลื้มมองผลงานตน ในขณะที่โลกิลุกกลับขึ้นมาจัดเสื้อผ้าตนให้เข้าที่
“เกลียดเหมือนเดิม... มันน่าอาย...”
“ไม่นี่ ข้าไม่อายเลย”
ธอร์พูดกลั้วขำ
แล้วทั้งสองก็เดินมาหยุดยืนข้างกัน ตามองยานอวกาศซึ่งจอดเรียงรายอยู่เบื้องหน้า
“แล้วยานลำไหนเหรอ ที่นางให้มาเอาน่ะ?”
ธอร์เอ่ยถามขึ้น และโลกิชี้มือไปทางยานอวกาศโมเดลรุ่นล่าสีส้ม ซึ่งเขาเคยขึ้นไปนั่งมาแล้วหลายครั้ง
“ยานคอมมอดอร์…”
ธอร์ก้าวเท้านำไปทางยาน ร่างของโลกิพลันแยกออกเป็นสองร่าง ร่างซึ่งเดินตามธอร์ไปกลับเป็นร่างมายา ในขณะที่ตัวจริงบ่ายหน้าตรงไปยังแผงควบคุมด้านข้าง
“ข้ารู้สึกว่า... มันไม่ได้แตกต่างกันหรอก”
โลกิในร่างมายาที่เดินตามมาจนทันเชษฐาค่อยพูดขึ้น
ธอร์หันกลับไปทางเสียงพูด และเขาก็เปรยออกมาอย่างเนือยๆทันที
“เฮ้อออ...โลกิ...”
บุตรแห่งโอดินส่ายหัวอย่างระอา แล้วหันกลับไปอีกทาง ก็พบอนุชาของเขายืนอยู่หน้าแผงควบคุม และแน่นอนว่าปุ่มเปิดสัญญาณเตือนภัยก็อยู่ที่นั่นด้วย
“ข้ารู้ว่าข้าหักหลังพี่มาหลายครั้ง... แต่ว่าคราวนี้ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว...”
...โอเคเขาโกหก!... แน่นอนล่ะว่า นี่มันโคตรจะเรื่องส่วนตัวเลย... สุดท้ายไม่ว่าวิธีใด โลกิก็ตั้งใจไว้แล้วว่า เขาจะต้องหยุดยั้งธอร์ไม่ให้กลับไปสู้กับเฮล่าให้จงได้
...ต่อให้ถูกเกลียดก็ช่าง... ขอแค่อีกคนยังมีชีวิตอยู่...
โลกิ ลอเฟย์ซันกดปุ่ม และสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น
“คือว่า... รางวัลนำจับพี่ จะทำให้ข้าอยู่สบาย”
รอยยิ้มร้ายฉาบลงบนใบหน้าเทพแห่งคำลวง...
...มันคืองานถนัดของเขา... คือสิ่งที่เขาทำได้ดีมาโดยตลอด...
“ไม่เคยมีใจให้กันเลยสินะ...”
รอยยิ้มอ่อนใจปรากฏบนใบหน้าธอร์
“ให้เวลารักษานะ...”
โลกิส่งยิ้มให้ธอร์ และธอร์เองก็ยิ้มตอบ พร้อมกันนั้น เทพเจ้าสายฟ้าก็ชูของในมือให้อีกคนดู
“ข้าเห็นด้วย…”
บุตรแห่งลอเฟย์เย็นวาบถึงกระดูกสันหลัง เมื่อเขาได้เห็นของที่อยู่ในมือเชษฐา
มันคือรีโมทคอนโทรลเครื่องควบคุมความประพฤติซึ่งเคยเป็นของวาลคิรี่ และนั่นคือที่มาของรอยยิ้มบนใบหน้าธอร์ ซึ่งครั้งนี้ดูแจ่มใสจนแปลกตาออกไป
โลกิรีบก้มลงมองหา และเจอมันติดอยู่ที่บ่าด้านหลังของเขา คงเป็นตอนที่เชษฐาตัวแสบของเขาทำเป็นตบหลังปลอบเขาในลิฟต์
...เขามัวแต่สับสนอยู่ในอารมณ์อ่อนไหว จนโดนผู้ซึ่งเขาตราหน้าว่าโง่เง่ามาตลอดหลอกเอาจนได้... ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ... โกรธที่สุดก็โกรธตัวเองนี่แหละ ที่ดันมาพลาดเอาตอนสำคัญแบบนี้
แต่ถึงรู้ตัวตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว... นาทีที่โลกิเห็นมัน ก็เป็นนาทีเดียวกับที่ธอร์กดเปิดสวิตช์เครื่องนั่นพอดี
เสียงหัวเราะหึของเชษฐาดังขึ้น พร้อมกระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านเข้าช็อตร่างทั้งร่าง จนโลกิ ลอเฟย์ซันถึงกับล้มทั้งยืนลงไปนอนตัวแข็งทื่อบนพื้น
มันอาจไม่รุนแรงจนถึงขั้นสลบ แต่ธอร์ก็เปิดระดับของมันแรงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของโลกิกระตุกเกร็งจนไม่อาจขยับได้ชั่วคราว
“โอ… ดูเหมือนจะเจ็บมาก”
เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเดินเข้ามาใกล้ และหยุดยืนไม่ห่างจากร่างของอนุชาซึ่งนอนอยู่บนพื้น
ธอร์ โอดินซัน นั่งลงข้างร่างของอีกคน ท่าทางดูสบายๆ ไม่มีวี่แววความสงสารเหมือนคำที่พูดออกมาสักนิด
“โอ... น้องชาย... เดี๋ยวนี้เดาทางเจ้ามันง่าย ข้าไว้ใจเจ้า เจ้าทรยศหักหลังข้า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...โลกิชีวิตคนเราต้องมีการเติบโตเพื่อจะเปลี่ยนแปลง แต่เจ้าเป็นอะไรที่... แบบเดิมๆ…”
ธอร์ยิ้มเย้ยหยันอนุชา ซึ่งไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยปากตอบโต้ได้ในตอนนี้
“ที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ... เจ้าจะยังคงเป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ ทั้งที่เป็นได้มากกว่านั้น...”
“!!!”
เทพแห่งคำลวงดิ้นรนหาทางส่งเสียงตอบ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะกระแสไฟฟ้าจากเครื่องช็อตตัวจิ๋วซึ่งทำงานตรงเข้าควบคุมกล้ามเนื้อทั้งหมดของเขาไปแล้ว
“ข้าจะทิ้งนี่ไว้แถวนี้ให้เจ้า ยังไงก็ตาม ทุกคนมีที่ต้องไป เพราะงั้นโชคดีนะ”
ธอร์โยนรีโมทควบคุมลงพื้นใกล้ๆ ร่างอีกฝ่าย ก่อนลุกขึ้น
เทพแห่งสายฟ้ากล่าวลาอนุชาของเขาด้วยรอยยิ้ม และทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลังอย่างที่พูดจริงๆ
โลกิ ลอเฟย์ซัน ถูกทิ้งให้นอนกระตุกเกร็งอย่างทรมานอยู่บนพื้นเย็นเยียบนั้น ในใจกรีดร้อง ร่ำเรียกชื่อคนที่ก้าวเดินจากไป แต่กลับไม่มีเสียงใดสามารถเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางคู่นั้น
...แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยเบื่อหน่าย และรู้สึกโดดเดี่ยวยามที่ต้องมองดูแผ่นหลังกว้างของเชษฐา... ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรก... ที่โลกิร้องขอ... แค่โอกาสที่จะได้มองดูแผ่นหลังกว้างของใครคนนั้น ซึ่งกำลังเดินออกจากชีวิตเขาไปอย่างไม่ใยดี...
--- ℑ ---
‘...ท่านน่าจะได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูด ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำนะธอร์...’
ดวงตาสีน้ำตาลของเจน ฟอสเตอร์ หญิงสาวชาวมิดการ์ด ผู้เป็นที่รักของเทพเจ้าแห่งสายฟ้าวูบไหว ฉายแววเจ็บปวด ขัดกับรอยยิ้มฝืดฝืนบนใบหน้าของหล่อนขณะมองมา
‘คนสำคัญที่สุดสำหรับท่าน ไม่ใช่ฉันหรอกธอร์…’
‘โลกิเป็นคนในครอบครัวข้าเจน... เขาเป็นน้องชายข้า และนั่นทำให้ไม่มีใครแทนที่เขาได้ เจ้าก็รู้...’
เสียงทุ้มตอบกลับอย่างเหนื่อยล้า... ล้าไปทั้งหัวใจ... และเหนื่อยจนเหมือนใกล้จะพังลงเต็มที
ชายหนุ่มเบื้องหน้า ยามนี้แทบไม่เหลือเค้าของเทพเจ้าแห่งสายฟ้าผู้เข้มแข็งในสายตาของหญิงสาวคนรักอีกแล้ว
เจนส่ายหน้าช้าๆ หล่อนเม้มปากมองดูคนตรงหน้าในสภาพย่ำแย่ ทุกครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องของน้องชาย คนรักของหล่อนจะมีสภาพไม่ต่างจากภาชนะแตกร้าว ซึ่งพร้อมจะแหลกสลาย และเติมใจให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม...
หล่อนแกล้งขำออกมาเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
มือใหญ่ของธอร์วางลงบนไหล่ของหญิงสาว คล้ายต้องการจะเหนี่ยวรั้ง แต่ทันทีที่เธอก้าวถอยออกห่าง เทพชาวแอสการ์ดกลับปล่อยให้ไหล่บางพ้นการเกาะกุมอย่างง่ายดาย
‘ข้ารู้เจน... ว่าพักหลังๆ มานี่ข้าดูสติแตก... ข้าแค่... ทำใจยอมรับไม่ได้ว่าเขาตายแล้วจริงๆ...’
เจ้าชายรัชทายาทแห่งแอสการ์ดยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง คล้ายพยายามหักห้ามความรู้สึกซึ่งพลันก่อตัวขึ้นทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้
‘รู้ไหม... การถูกหมอนั่นเกลียด หรือการไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยในตอนนี้... ทั้งหมดข้าก็แค่...’
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันฝืดฝืน จนดูไม่ต่างกับกำลังร้องไห้ เขากำมือแน่น
...ความรู้สึกซึ่งติดค้างอยู่ในใจ... คำพูดซึ่งไม่เคยยอมปล่อยล่วงล้ำจากปากให้ใครได้ยิน...
ธอร์กลับได้ยินเสียงของตนเองชัดเจนทุกถ้อยคำ มันดังสะท้อนก้องอยู่ในความทรงจำของเขาไม่เคยเลือนหาย... ทุกถ้อยคำล้วนคล้ายกลั่นตัวจากลิ่มเลือดในอก ซึ่งกำลังบีบรัดจนเจ็บ แต่ละคำจึงเอ่ยผ่านริมฝีปากออกมาอย่างยากเย็น...
‘ข้าแค่... อยากให้เขามีชีวิตอยู่... อยากให้เขา... มีความสุขอยู่ในที่ใดที่หนึ่งก็เท่านั้น… และใช่ ต่อให้ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก... ข้าก็จะยอมแลกมัน กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มี... เพียงเท่านี้... เจ้าบอกข้าสิ ว่าข้าขอมากเกินไปหรือ?’
--- ℑ ---
ประตูยานคอมมอดอร์เลื่อนปิดลง และหน้ากากของคนโกหกก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของธอร์ โอดินซัน หม่นลงทันตา เขาก้าวไป และทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สำหรับผู้ควบคุมยาน
“เอาล่ะ... ต้องลองเดาเอา... ก็แค่ยานอวกาศลำหนึ่ง”
‘จะทำอะไรก็รีบๆ เข้านะพี่ชาย’
เสียงยียวนในความทรงจำดังขึ้นเบื้องหลัง ตามด้วยเสียงของเขาเองในยามนั้น
‘หุบปากน่ะ โลกิ’
‘เจ้าน่าจะพลาดอะไรบางอย่างนะ’
‘พลาดได้ไง ข้ากดมันหมดทุกปุ่มแล้ว!’
‘อย่าทุบมันสิ แค่กดเบาๆ’
‘ข้าก็กดเบาๆ แต่มันไม่ยอมทำงาน!’
เสียงทุ่มเถียงกันจากความทรงจำ เรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าเจ้าชายรัชทายาท ธอร์เลื่อนนิ้วไปบนหน้าแผงควบคุมของยาน และครั้งนี้มันก็ดูจะง่ายกว่าเมื่อครั้งซึ่งเขาพยายามบังคับยานของดาร์คเอล์ฟมากมายนัก
เครื่องยนต์ถูกจุดระเบิด และยานก็กำลังทะยานออกไปเบื้องหน้า
...มันไม่เหลือโอกาสให้เขาหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว... และได้เวลาที่เขาควรหยุดสับสนเสียที...
หากไม่นับครั้งนั้นที่เขามารู้ภายหลังว่าโลกิแกล้งตาย... ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกดีใจกับการที่อนุชาหักหลังเขา คงเพราะมันช่วยลดความลังเลและสับสนในหัวของเขาลงไปได้มากพอดู
การได้เห็นอนุชาผู้เป็นที่รักต้องมาตายลงต่อหน้าแบบนั้น... ชั่วชีวิตนี้ ธอร์ โอดินซัน คงทำใจยอมรับมันได้เพียงแค่ครั้งเดียวจริงๆ...
...เป็นเจ้าที่ต้องการ และเลือกจะอยู่ที่นี่...
...บอกที ว่าข้าไม่ได้คิดผิดใช่ไหม...
ธอร์ไม่ว่าหากอนุชาจะโกรธและเกลียดเขา... หรือแม้กระทั่งลืมเขาไปเสียก็ได้... ขอเพียงแค่อีกคนได้มีชีวิตใหม่ แม้จะเป็นชีวิตที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ ก็ตาม...
“จากนี้ไป... เจ้าจะมีความสุขใช่ไหม... โลกิ”
==TBC.==
ส่วนโลกิ ข้ามไปค่ะ เข้าข้าง ลำเอียงลูกเดียว น้องทำเพื่อพี่ ตามใจพี่ทุกอย่างจริง ๆ 55555555
น้องไม่เหมือนเดิมนะคุณพี่ น้องดื่มเก่งขึ้น(?)เเล้ว !!