เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Into the roomDHaeArin
มายไดอารี่ ตอน Pronounce ผิด ชีวิตเปลี่ยน
  • ขอขั้นตอนพิเศษนิดนึงนะคะ เพราะจากตอนที่แล้วเราต้องมาเล่าต่อเรื่องที่เราเริ่มทำงานร้านอาหารครั้งแรกเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากเรื่องราวตอนนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เราก็เลยอยากจะนำมาเล่าให้ฟังกันก่อนน่ะค่ะ

    ตอนนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องการออกเสียงของชาวต่างชาติกันค่ะ ตอนที่เราเรียนภาษาเรามีเพื่อนที่สนิทในคลาสเดียวกันเป็นชาวญี่ปุ่น อิตาลี และเกาหลี แต่ละชาติก็จะมีความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษได้แตกต่างกัน อย่างคนเกาหลี จะออกเสียง ฟ.ฟัน ไม่ได้ เขาจะออกเสียงคำว่า Friend เป็น เพน-ดึ ไม่ใช่ เฟรนด์ ช่วงแรกอาจารย์ที่เรียนแกก็ให้ทุกคนพยายามคุยกัน ก็พยายามฟังแต่ละคนออกเสียงแบบมั่วๆ กันไป แต่มีน้องคนญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ คาโยโกะ เพื่อนๆ ที่สนิทกันจะเรียกน้องเขาว่า คาโย 

    คาโยเป็น Special case ของเรา เพราะนอกจากคาโยจะออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ได้แล้วยังพูดแบบลิ้นคับปาก (ไม่แน่ใจว่าควรอธิบายอย่างไร เหมือนคนไทยเวลาออกเสียง ส.เสือ แล้วต้องทำลิ้นแบๆ ในปากทำให้ออกเสียงมาแล้วเหมือนจะมีน้ำลายพ่นออกมาด้วยอ่ะค่ะ) และเวลาจับคู่คุยกับคาโย แล้วคาโยพูดแบบนี้ก็ยิ่มทำให้เราฟังยากมากขึ้นไปอี๊กกก  เราจะต้องพยายามจับใจความว่าน้องเขาพูดอะไร จนบางทีก็แอบรำคาญน้อง รำคาญตัวเอง แต่เนื่องจากว่าคาโยเป็นเด็กขยัน แล้วก็เก่งแกรมมามากๆ อาจารย์จะมีข้อเสนอแนะให้นักเรียนเขียนเล่าเรื่องต่างๆ ให้อาจารย์อ่านตามความสมัครใจ คาโยเขียนส่งอาจารย์เกือบทุกวัน (ต่างกับเราที่เขียนบ้างไม่เขียนบ้าง บางทีต้องบังคับกันถึงจะเขียนให้ ฮ่าาา) ดังนั้นคาโยจึง Pass ชั้นไปก่อนเรา

    หลังจากคาโยขึ้นไปเรียนชั้นที่สูงมากขึ้น เราก็ยังติดต่อกันอยู่ นัดไปเที่ยวกันอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ล่าสุดที่ได้เจอกัน คาโยก็เล่าให้ฟังว่าน้องเปลี่ยนคอสเรียนภาษาจาก General English ไปเป็น Academic English ซึ่งสอนภาษาที่เข้มข้นกว่าคอสเดิมมาก นอกจากนั้น คาโยก็ได้เข้าคลาส Pronounce ที่สอนเกี่ยวกับการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องด้วย จากที่คุยตอนนั้นภาษาของคาโยฟังง่ายขึ้นมาก เลยบอกคาโยไปว่าภาษาของคาโย improve ขึ้นมากเลยนะ คาโยดีใจใหญ่ ^^

    เพื่อนอีกคนชื่อแทโฮ เป็นคนเกาหลีคนนี้ไม่ค่อยได้เข้าเรียนเพราะว่านางได้วีซ่าทำงาน แต่อยากเรียนภาษาไปเพื่อใช้ในการสื่อสารให้สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้บ้าง นางก็เน้นทำงาน เรียนบ้างไม่ได้เรียนบ้าง เราเองก็ได้เจอแทโฮแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เนื่องจากว่าแทโฮ มีแฟนเป็นคนไทย นางก็ชอบเรียนภาษาไทย จะได้เอาไว้ไปพูดเซอร์ไพร์ซแฟน เราเองพออ่านภาษาเกาหลีออกบ้าง เราก็เลยสอนภาษาไทยให้แทโฮด้วยการจดคำอ่านเป็นภาษาเกาหลีให้แทโฮเอาไว้ นางจะได้ออกเสียงได้ถูกต้อง

    มีอยู่วันหนึ่ง แทโฮอยากรู้จักคำว่า "ยิ้ม" นางก็มาถามเราว่า ถ้าอยากจะบอกแฟนว่าให้ยิ้มหน่อย ภาษาไทยจะต้องพูดว่าอะไร เราก็บอกไปว่า "ยิ้มหน่อย" เป็นภาษาไทย แทโฮก็ออกเสียงตามไม่ได้ แล้วเราก็เขียนคำอ่านให้นางไม่ได้ด้วย เพราะภาษาเกาหลีไม่มีตัว ย. ยักษ์ (ยากเลยทีนี้) เราก็เลยพยายามหาภาษาอังกฤษตัวใกล้เคียง ก็ไปเจอคำว่า Gym (ยิม) แบบ โรงยิม เข้ายิม ไรงี้อ่ะ ก็บอกแทโฮว่าคำนี้ออกเสียงเหมือนคำว่ายิมเลย แต่ว่าออกเสียงสูงกว่านี้หน่อย แทโฮทำหน้าเข้าใจ พยักหน้าบอก "อ่อ อ่อ" แล้วนางก็ออกเสียง .... "จิ๋มมมมมหน่อยยย Is that right?" 

    ตอนนั้นคนไทยในคลาสที่ร่วมวงคุยอยู่ด้วยสามคน ถึงกะวงแตก หันเข้ามุมหลบไปหัวเราะเช็ดน้ำหูน้ำตาอยู่กันคนละมุมเลยทีเดียว กว่าจะแก้ให้แทโฮออกเสียงคำว่ายิ้มออกมาได้ถูกต้องต้องอาศัยการฝึกฝน วิธีการของพวกเราแกงค์คนไทยก็คือ เวลาเจอหน้าแทโฮ ให้นางฝึกพูดยิ้มให้ฟังก่อนทุกครั้ง และแน่นอน พวกเราก็จะได้ยินคำว่า จิ๋มหน่อย กันไปคนละดอกสองดอก เป็นแบบนี้อยู่เป็นอาทิตย์ และจากการฝึกฝนที่เข้มข้น ปัจจุบันนี้แทโฮอ่านออกเสียงได้ดีแล้ว ในที่สุดนางสามารถพูดคำว่ายิ้มได้เต็มปาก โดยที่ไม่โดนแฟนตบตายไปซะก่อนน่ะค่ะ (ฮ่า)

    ในเรื่องของการอ่านออกเสียงภาษาไทยล่าสุดของเราที่ไปเจอมาก็คือลูกค้า (ไม่แน่ใจสัญชาติ แต่น่าจะมาจากโซนอินเดีย ปากีฯ โซนแขก ประมาณนั้น) ที่มาทานอาหารที่ร้านค่ะ บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่พวกเราเด็กเสิร์ฟกำลังทำงานกันอย่างสนุกสนาน ก็มีลูกค้าเจ้านี้ที่เดินเข้ามาถึงก็พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแขกใส่เรารัวๆ ขอที่นั่งสำหรับสามคนด้วยท่าทีที่ไม่ยิ้ม และวางก้ามมากๆ เราก็พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ บริการให้ลูกค้าอย่างดีเพื่อปรับอารมณ์ลูกค้าให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าไปรับออเดอร์ เราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นธรรมชาติของเขารึเปล่าที่หน้าเขาจะนิ่งมาก ไม่แสดงอารมณ์ แล้วเวลาสั่งอาหารก็สั่งแบบออกคำสั่ง ไม่มีการยิ้ม หรือว่าปฏิสัมพันธ์กับเราบ้างเลย พอรับไปรับมา ก็เกิดมีบางคำพูดที่ทำให้เราเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว แต่เราก็พยายามทำหน้านิ่งๆ แบบเก็บอาการไว้ เพื่อที่จะได้บริการลูกค้าต่อไปได้

    พอลูกค้าสั่งอาหารเสร็จแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ทวนรายการอาหาร และสอบถามถึงเครื่องดื่มที่ลูกค้าอาจจะต้องการดื่มเป็นพิเศษ เราก็สอบถามลูกค้าไปแบบตึงๆ ลูกค้าท่านหนึ่งก็เลยพูดขึ้นมาว่า 

    ลูกค้า: I would like to drink some Mocktail (เครื่องดื่มที่มีลักษณะคล้าย Cocktail แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่เลย) 
    เรา: We have many kind of Mocktail madam, Which one would you like (พร้อมกับเปิดหน้ารายการเครื่องดื่มให้ลูกค้าดู)

    Mocktail ที่ขายก็จะมีหลายรายการ โดยตั้งชื่อตามสถานที่สำคัญในประเทศไทย มีอยู่ชื่อหนึ่ง เป็นน้ำสีแดง และสีส้มผสมกัน ตั้งชื่อว่า Samui Sunset (สะ-หมุย-ซัน-เซ็ท) ลูกค้าเห็นแล้วถูกใจ อยากจะทดลองสั่งมาดื่ม ก็เลยจัดการออเดอร์ด้วยความมั่นใจ 

    ลูกค้า: "OK, Can I also get สะหมอ_ย!ซันเซ็ท!".... 
    เรา: *สตั๊นท์ไปสามวิ* (ในหัววิ๊งๆ ได้ยินเสียงเหมือนกล้วยหอมจอมซนคุยกัน: "นายได้ยินเหมือนฉันมั้ยบีหนึ่ง")

    พอจับใจความได้ว่าอะไรเป็นอะไร จากที่ตึงๆ ใส่ลูกค้านี่ถึงกับต้องกลั้นขำใส่ลูกค้า พร้อมกับรีบแก้ไขการ Pronounce ให้ลูกค้าให้ถูกต้องว่า "That's สมุยซันเซ็ท madam, How many serve would you like?" 


    หลังจากออเดอร์เสร็จ ลูกค้าก็ได้รับอาหาร และสมุยซันเซ็ทมาดื่มที่โต๊ะ นางก็ถ่ายรูปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ็นจอยกับอาหารกันไป ถึงตอนนี้เราก็เดาได้แล้วว่าจริงๆ ลูกค้าอาจจะแค่หิวเลยทำหน้านิ่งๆ ในตอนแรก พอได้อาหารก็รีบทาน แล้วก็ถ่ายรูป คุยกันเหมือนกับลูกค้าทั่วๆ ไปนี่แหละ ไม่ได้มีอะไร

    โถ่ หิวก็ไม่บอก ทำไมต้องทำหน้านิ่ง แล้วเล่นมุกแบบนี้ใส่ด้วยก็ไม่รู้คุณลูกค้า 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
yuii1811 (@yuii1811)
โถ คุณลูกค้าทำเอาตกอกตกใจหมดเลย โชคดีนะคะที่ยังเข้าใจว่าลูกค้าจะสั่งอันไหน ไม่งั้น คุยกันยาวววแน่เลย 5555