ขณะที่เท้าพาร่างเดินมายังพื้นที่ส่วนที่เรียกว่า “ศูนย์มะเร็ง” แค่ฉันเหลือบมองป้ายที่ติดอยู่เหนือประตูทางเข้าโซนนี้ ทำให้ฉันรู้สึกตัวเล็กลง ถามตัวเองว่า นี่ฉันกำลังกลายเป็นคนไข้ที่เป็นมะเร็งแล้วหรือ ใจหนึ่งยังไม่อยากเชื่อ และยังไม่ค่อยยอมรับเท่าไร ขณะที่อีกใจมีความกังวล ด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้...
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันกลับมา รพ. อีกครั้ง เพื่อพบอายุรแพทย์มะเร็งหรือ Medical Oncologist ตามที่นัดไว้ก่อนออกจาก รพ. ...
หันกลับไปดูอดีตเมื่อเกือบห้าเดือนที่ผ่านมา ฉันต้องเผชิญกับอาการที่แตกต่างกันในหลายส่วนของร่างกาย เมื่อเกิดอาการที่ส่วนใด ก็ไปพบหมอเฉพาะทางที่รักษาในส่วนนั้น จนเมื่อวันหนึ่ง จู่ๆ ขนาดตาด้านซ้ายเล็กลงมาครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นอาการใหม่ จึงไปหาหมอตา นับเป็นความโชคดีที่ได้มาเจอหมอรุ่นพี่ที่มองเห็นความเชื่อมโยงบางอย่างของอาการต่างๆที่เกิดขึ้น จนขอปรึกษาหมอทางสมอง หมอทางการติดเชื้อ หมอทางระบบภูมิคุ้นกัน ทำให้ค่อยๆ ตรวจร่างกายไปทีละระบบเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุโรค
ในช่วงแรก ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดหนึ่ง และได้รับสเตียรอยด์ แบบ high dose ทำให้อาการค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ล่าสุด เมื่อเดือนก่อนหน้าจะผ่าตัด พบว่าเนื้องอกโตขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเพียงหนึ่งเดือน จึงต้องผ่าตัดเอาออกไป ผลการตรวจชิ้นเนื้อ กลับกลายเป็นว่า ฉันเป็นโรค GIST (Gastro Intestinal Stomach Tumor) หรือมะเร็งจีสต์ หรือมะเร็งทางเดินอาหาร ส่วนการแพ้ภูมิตัวเองนั้น ไม่รู้ว่ามาจากเหตุใดกันแน่ แต่หมอระบบภูมิแพ้เคยกล่าวขึ้นมาว่า สาเหตุอาจมาจากโรค GIST นี้ก็เป็นได้ ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบ
ภายในโซนของศูนย์มะเร็งมีคนไข้ราวเกือบ 20 คน เมื่อรวมญาติๆเข้าไปด้วย ก็น่าจะสามสิบสี่สิบกว่าคนได้ ส่วนมากผู้ป่วยไม่ได้มาคนเดียว และมาด้วยสภาพร่างกายภายนอกที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ น่าหดหู่มากกว่าน่าดู บางคนนั่งวีลแชร์ บางคนได้รับเคมีบำบัดจนผมร่วงบาง ผิวหนังเปลี่ยนสี ฉันมองภาพแล้ว ยังนึกไม่ออกว่าระยะยาว โรคนี้จะทำให้ฉันมีสภาพร่างกายเป็นอย่างไร
ฉันรอเกือบชั่วโมงจึงได้พบแพทย์ เมื่อได้ซักและอ่านประวัติการเจ็บป่วย และการรักษาที่ผ่านมาแล้ว หมอถามประโยคแรกเลยว่าเบิกค่ารักษาได้ไหม พอตอบว่าได้ หมอบอกโรคนี้ การรักษาคือการกินยาชนิดหนึ่งติดต่อกันทุกวันๆละ 1 เม็ดเป็นเวลา 3 ปี ด้วยราคายาค่อนข้างแพง หมอเลยต้องถามเรื่องการเบิกค่ารักษาพยาบาลก่อนว่าคนไข้สามารถดูแลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้หรือไม่ ฉันแอบคิดต่อไม่ได้ว่าแล้วถ้าคนไข้เบิกไม่ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรหนอ
หมออธิบายเพิ่มเติมว่าเนื้องอกเกิดที่ลำไส้เล็กแล้วแพร่ไปที่บริเวณมดลูกและรังไข่ทำให้ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดที่ขดทับกันไปมาเหมือนกับใยแมงมุมขนาดกว่า 8 ซม. เรื่องต้นตอของเนื้องอกนี้เป็นอีกปริศนาหนึ่ง เพราะหลังจากนั้น ฉันได้รับการบอกเล่าจากหมอสูตินรีเวชที่ฉันมาตรวจตามนัด ในทางกลับกันคือเกิดที่รังไข่แล้วไปที่ลำไส้เล็ก เรื่องนี้จึงยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ว่าเนื้องอกเริ่มจากอวัยวะส่วนใดในร่างกาย แต่ไม่ว่าจากที่ใด คงไม่สำคัญเท่ากับการรักษาให้ไม่กลับมาเป็นซ้ำมากกว่า
ฉันเริ่มถามหมอตามประสาคนช่างสงสัยว่าเพราะอะไรต้องกินยาสามปี และโรคที่ฉันเป็นอยู่นี้ คือระยะที่เท่าไร ด้วยความคิดที่จดจำมาว่าการเป็นมะเร็งจะมีระยะของมัน เพื่อที่อย่างน้อย อาจจะบอกได้ว่าโรคที่เป็นอยู่อาการร้ายแรงเพียงใด แนวโน้มในการรักษาหายขาดมีมากน้อยเพียงใด คำอธิบายที่ได้คือมีรายงานการวิจัยว่าการกินยาตัวนี้จะทำให้ค่อนข้างวางใจได้ว่าจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ แต่ระหว่าง 3 ปีนี้ ต้องมีการตรวจค่าเลือด ตรวจติดตามดูทางเดินอาหารอย่างต่อเนื่องด้วยการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทางเดินอาหารทั้งหมดเป็นระยะ ช่วงแรกๆก็ทำถี่หน่อยเช่น 4 เดือนครั้ง 6 เดือนครั้ง แล้วจะค่อยๆห่างออกไป เป็นปีละหน
โรค GIST ไม่มีระยะ (Stage) แบบมะเร็งอื่น มีแค่ว่า ผ่าตัดได้ กับผ่าตัดไม่ได้ คือถ้าเกิดเป็นส่วนไหนขึ้นมา หมอจะพิจารณาว่าผ่าตัดออกได้ หรือไม่ได้ ส่วนการรักษาที่ฉันกำลังจะได้รับเรียกว่าเป็นการรักษาแบบมุ่งเป้า หรือที่เรียกว่า Targeted therapy ซึ่งเป็นการรักษาโรคมะเร็งแบบออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยให้ยาหรือสารไปยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง*
ในช่วงแรกๆ ฉันมักมีคำถามกับตัวเองว่าเราเป็นโรคนี้จริงหรือ? รวมทั้งไม่ค่อยอยากจะยอมรับว่าฉันป่วยด้วยโรคนี้ ด้วยได้รับคำอธิบายของหมอ ว่าการที่หมอจะระบุว่าคนไข้เป็นโรคนี้หรือไม่ จะมีค่าตัวเลขหนึ่งจากการตรวจผลช้ินเนื้อ ซึ่งกรณีของฉันได้ค่าตัวเลขที่อยู่ตรงค่ากลาง แต่หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ เดาว่าค่ากลางคงมีให้หมอตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างไรดี หมอคงเห็นว่าการรักษาน่าจะดีกว่าไม่รักษา เพราะถ้าหมอ บอกว่าไม่เป็นโรค หากเกิดอะไรขึ้นมา ทั้งหมอทั้งคนไข้อาจจะมาเสียใจกันภายหลัง นี่จึงเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอีกเช่นกัน
การเดินทางบนเส้นทางของการรักษาโรคใหม่ ด้วยการกินยา การตรวจค่าต่างๆในเลือด และตรวจระบบทางเดินอาหารด้วย CT Scan เพื่อดูความผิดปกติอย่างต่อเนื่องได้เริ่มต้นขึ้น จนกลายเป็นวิถีชีวิตในช่วงสามปีที่ต้องไป รพ.เหมือนไปเยี่ยมบ้านอีกหลังหนึ่ง เพราะในช่วงปีแรกฉันต้องไปหาหมอทุกเดือน เจาะเลือด ดูค่าการทำงานของตับ และค่อยๆ ห่างเป็นทุก 3 เดือนในปีที่ 2 และ 3 นี่ยังไม่นับรวมที่ต้องไปตรวจกับหมออีก 3 คนทั้งหมอระบบภูมิแพ้ หมอสูติฯ และหมอทางเดินอาหาร รพ.จึงกลายเป็นสถานที่อันคุ้นเคยอีกแห่งหนึ่งไปโดยปริยาย
ถ้านับจากเดือนพฤศจิกายน 2560 - ต้นเดือนธันวาคม 2563 รวม 3 ปี ฉันกินยาไปประมาณ 1,100 เม็ด แต่มันไม่ใช่แค่การกินยา ฉันพบว่าการป่วยคร้ังนี้ นับตั้งแต่ 9 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นมา มันค่อยๆเปลี่ยนแปลงฉันไปทีละนิดๆ จนวันนี้ ฉันได้เปลี่ยนแปลงไป และคงไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป
สภาพร่างกายทั้งภายนอก และภายในเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ฉันค่อยๆ ยอมรับ ...ยอมรับที่จะเห็นตัวเองน่าเกลียดกว่าที่เคย ยอมรับที่ความสามารถบางอย่างจะลดลง ยอมรับการมีวิถีชีวิตที่ช้าลง และยืดหยุ่นกับตัวเองโดยประเมินสภาพร่างกายและจิตใจก่อน ไม่ฝืนหรือยึดติดกับความรับผิดชอบ หรือมีวินัยแบบไม่มีข้อยกเว้นโดยเฉพาะเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือน ฉันเริ่มกินอาหารเช้าแบบที่เพื่อนบอกว่าเป็นเรื่องเป็นราว มีกับข้าวกับปลา พร้อมสรรพ เพราะต้องกินยาทุกเช้า อาหารเช้าแบบเบาๆกับกาแฟ ลืมไปได้เลย
ฉันมีรุ่นน้องที่รักคนหนึ่งที่เป็นมะเร็งเต้านม เธอต้องเข้ารับการให้คีโมถี่มากๆ เคยรักษาหายแล้ว ก็กลับมาเป็นซ้ำ เวลาเธอถดถอย เธอมักโทรมาหา ฉันจะคอยให้กำลังใจเธอ มีครั้งหนึ่ง เธอบอกว่าเธออยากยอมแพ้แล้ว รู้สึกว่าไม่ไหวที่จะฝืนสู้ แต่เมื่อได้พูดคุยกัน เธอเริ่มมีความหวังที่อยากจะเห็นลูกสาวคนเดียวเรียนจบ ได้ทำงาน เธอกลับมาสู้ใหม่ ทุกวันนี้ เธอยังคงสู้ต่อไป
การมีความหวังและพลังใจสำคัญมากสำหรับคนป่วยโรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรง การมีเพื่อนหรือใครสักคนที่คอยพูดคุยให้กำลังใจจะทำให้ทุกข์คลาย เบาลง แม้จะเป็นชั่วขณะก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มีพลังที่จะเดินหน้าชีวิตต่อไป สำหรับฉัน ความหวังคือฉันจะหายและกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง ช่วงนี้เป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้องผ่านบททดสอบ เพื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเองที่ดีขึ้น เป็นบทเรียนให้ก้าวข้ามอีกครั้งหนึ่ง ฉันยังโชคดีมีคนที่ฉันรัก และรักฉัน ไม่ว่าจะเป็นลูก กัลยาณมิตรที่คอยสนับสนุนเกื้อกูลใจเสมอมา
ทุกวันนี้ แม้การกินยาจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่การตรวจระบบทางเดินอาหารยังคงต้องทำต่อทุกปี ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะเว้นห่างออกไป ฉันกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ นำ้หนักลดลงไปแล้ว 5 กิโล โดยไม่ต้องทำอะไร หน้าหายบวมแล้ว รู้สึกได้ถึงการไม่มีสารแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ระบบต่างๆ เริ่มเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แม้แต่ผิวขาวเวอร์แบบนีออน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการกินยาก็พลอยหายไปด้วย แม้จะเสียดายผิวออร่าบ้าง แต่หายไป ก็นับว่าดีกว่ามีอยู่
การเจ็บป่วยทำให้ฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต โดยเฉพาะได้มาเรียนรู้โรคและโลกภายในตัวเองมากกว่าที่เคย การได้กลับมาเป็นปกติ เหมือนได้รับพรให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง...ชีวิตที่เป็นปกติ... สิ่งมีค่ามากทัี่สุดสำหรับฉันแล้ว... การมีีชีวิตได้อย่างปกติครั้งนี้ ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง ฉันต้องขอบคุณผู้คนจำนวนมากที่มีส่วน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม รวมทั้งขอบคุณตัวเองที่ค่อยๆเติบโตและผ่านมาได้... แม้การรักษาครั้งนี้อาจจะดูเหมือนไม่มีทางเลือก แต่เมื่อทบทวนดู ฉันคิดว่าฉันได้เลือกแล้ว... ซึ่งทำให้วิถี วิธีคิดของฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ภูมิคุ้มกันใจที่ฉันได้สร้างสะสมมา จะช่วยให้ฉันผ่านมันไปได้เหมือนเช่นที่เคยผ่านมา
หมายเหตุ *https://www.bumrungrad.com/th/treatments/targeted-therapy
สามารถติดตามอ่านตอนต่างๆได้
ตอนที่ (1) วันธรรมดา...ที่ไม่ธรรมดา
ตอนที่ (2) จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย...ที่หายไป
ตอนที่ (3) ความง่ายที่กลายเป็นความยาก
ตอนที่ (4) เหตุเกิดในห้องผ่าตัด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in