Title : Melody X
Author : .sean
Pairing : Ulrich Nielsen x Jonas Kahnwald
Rating : No Rate
Fandom #DarkNetflix
*Spoiler Alert*
enjoy และคอมเมนท์ฟิคได้ที่ #seanfic
“เวรแล้ว..” จู่ ๆ คำสบถก็ถูกเอ่ยออกมาเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองของเขา โยนาสผุดลุกขึ้นยืนแทบจะทันที กางเกงสีครีมที่ถอดกองอยู่ข้างกายถูกหยิบขึ้นมาสวมด้วยความเร่งรีบ
“มีอะไรเหรอ ?”
“ฉันต้องไปแล้ว” เขาพูดพร้อมกับพยายามยัดขาทั้งสองข้างเข้ากางเกง
เธอขยับตัวเล็กน้อย
“เราให้แท็ปเล็ตกับย่าอิเนสเป็นของขวัญวันเกิด”
“งั้น... ไว้เจอกันนะ” เสื้อกันฝนสีเหลืองกับผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินซีดถูกหยิบขึ้นมาถือเป็นอย่างสุดท้าย รอยยิ้มนั้นเขามอบให้เธอเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยคำบอกลา
“โยนาส”
“ทำไมพกเสื้อกันหนาวล่ะ?”
“เพราะเดี๋ยวฝนก็จะตกยังไงล่ะ”เขาตอบยิ้ม ๆ “ถ้างั้น...”
สัญญาณไฟแปรเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ทบกับจังหวะที่ล้อหน้าของรถจักรยานเคลื่อนมาเทียบอยู่หลังเส้นจราจรสีขาว เสียงเบรกบนล้อหลังดังเอี๊ยดอยู่หน่อย ๆ ก็ตอนที่เฮือกสุดท้ายของป้ายไฟกลายเป็นสีแดง
“เวร...”
แต่หากนึกทวนให้ดีก็ใช่ว่าวินเดนจะรถเยอะเสียหน่อย ในช่วงเวลาเร่งรีบและฉุกละหุกแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกันนี่นะ
โยนาสชั่งใจกับตัวเองอยู่เสี้ยววินาที- แต่พอนึกได้ว่าเวลาคงไม่รอคอยใคร มือข้างซ้ายและขวาที่กำเบรกเอาไว้จึงค่อย ๆ ปล่อยออก และเท้าข้างหนึ่งที่วางอยู่บนพื้นก็ยกขึ้นแตะบนคันเหยียบของรถจักรยาน
กำลังจะออกตัวปั่นจักรยานอยู่แล้วเชียวเสียงแตรรถจากทางด้านหลังก็ดึงโยนาสเอาไว้เสียก่อน
แน่นอนว่าเด็กชายเองก็คงตกใจอยู่ไม่น้อย... เขาหันหลังกลับไปและรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงแตรรถนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล
รถสีเทาคันใหญ่จอดเทียบอยู่ข้าง ๆ กับรถจักรยานคันสีดำที่จอดอยู่ก่อนหน้า – หน้าต่างรถถูกลดลงหมดทุกบาน ประหนึ่งใช้แอร์ธรรมชาติ
“ไงจ๊ะ โยนาส” เป็นเสียงของคาธารีน่าที่เอ่ยทักก่อน หล่อนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อคุยกับเขา
“ไม่ได้ไปทะเลสาบกันหรอกเหรอ?” ... “มาร์ธ่ากับมักนุสออกไปตั้งนานแล้วนะ”
“ชนกำปั้นขั้นสุดยอดกันหน่อยไหม ?” มือที่เล็กกว่าถูกยื่นออกมาจากประตูฝั่งด้านหลัง มิเกลนั่งอยู่ตรงนั้นในชุดนอนสีแดงเลือดหมู
“อย่าไปแตะเจ้าตัวแพร่เชื้อนี่เชียว... เขาเป็นหัดเยอรมัน” คุณนายนีลเซ่นพูดต่อทันทีที่ลูกชายของเธอพูดจบ และกำปั้นเล็กของมิเกลก็ถดหายไปด้วยความเบื่อเซ็งที่โดนห้าม
“ผมลืมว่าวันนี้ต้องไปสอนคุณย่าใช้แท็ปเล็ตน่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้จะไปอยู่ใช่ไหม ?” เสียงของอีกบุคคลหนึ่งเอ่ยถาม, โยนาสหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงนั้นที่กำลังขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เขาได้มองเห็นชัดเจนขึ้น
“ถ้าไม่ติดอะไรก็คงไปได้ครับ” พยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาเช่นเคย
“งั้นเจอกันคืนนี้นะ” คาธารีน่าพูดขึ้นบ้าง
“จะมีคนหนึ่งดีใจมากถ้าเธอมา และนั่นก็ไม่ใช่มักนุสด้วย” อูลริคพูดต่อตามด้วยรอยยิ้มแบบนั้น ที่เขาชอบยิ้ม
“อูลริค ไม่เอาน่า” คุณนายนีลเซ่นถอนหายใจเล็กน้อย ผลักหลังมือใส่อกของสามีให้กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
“ทำไมล่ะ ?” เป็นฝ่ายของมิเกลที่สวนขึ้นบ้าง “เรื่องที่พี่มาร์ธ่าคลั่งพี่โยนาสก็ไม่ใช่ความลับนี่นา”
“พอเลย”
“ไว้เจอกันนะ โรมิโอ” อูลริคขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มนั่นอีกแล้ว แต่ไม่ทันไรก็โดนผลักมือใส่หว่างไหล่อีกรอบ .. คุณตำรวจเลยจำใจต้องดึงเบรกมือลงและเป็นฝ่ายขับรถออกไปก่อน
.. แม้เขาจะขับรถออกไปได้ไกลแล้ว แต่โยนาสก็ยังคงมองตามท้ายรถคันนั้นจนสุดสายตา พร้อมกับรอยยิ้มที่ว่าซึ่งยังติดตรึงและเด่นชัดอยู่ในหัวของเขา ..
.
เสียงกระหึ่มของเครื่องเสียงดังไปทั่วบ้าน แม้กระทั่งกระจกบนบานประตูเองก็ยังสั่นไหวไปตามเสียงของเบสทุ้ม
โยนาสมาถึงบ้านนีลเซ่นพร้อมกับฮันนาห์ คาห์นวัลด์ .. แม่ของเขา - แม้จะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ฟ้ามืดเสียเท่าไหร่ แต่คนที่มาถึงก่อนหน้าก็มีแทบไม่น้อยเลย และกลายเป็นว่าการปรากฏตัวของสองแม่ลูกนั้นจะเรียกได้ว่า
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มเป็นอย่างแรกเมื่อเห็นมาร์ธ่าเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน หล่อนอยู่ในชุดลายลูกไม้สีขาว ... ที่โยนาสเองก็คิดว่ามันเข้ากับเธอมากเสียทีเดียว
“สวัสดีจ้ะมาร์ธ่า..” ฮันนาห์ทักเจ้าหล่อนก่อน
“สวัสดีค่ะ”
และโยนาสก็รู้ที่มาของรอยยิ้มนั้นดี
“ดีใจที่นายมาได้นะ” มาร์ธ่าพูดต่อ โดยที่มือของเธอจับพันกันไปมาแทบอยู่ไม่เป็นสุข “
“เดี๋ยวผมเอาทีรามิสุไปวางไว้ให้นะครับ” เป็นฝ่ายของโยนาสเองที่เอ่ยตัดบทขึ้นมาเสียดื้อ ๆ – ถาดอาหารในมือผอมบางของผู้เป็นแม่ถูกหยิบมาถือเอาไว้เพื่อใช้เป็นข้ออ้าง
“ไงจ๊ะ โยนาส !”
แขนข้างหนึ่งควบคล้องบนลำคอของโยนาส ประหนึ่งต้องการลากให้เข้าไปร่วมกลุ่มตรงกลางที่มีการเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
“ผมเอาทีรามิสุมา-” ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคเลยด้วยซ้ำ คุณนายนีลเซ่นก็รีบปล่อยแขนออกจากรอบคอของเขา
“ฉันพลาดเพลงนี้ไม่ได้นี่เพลงโปรดของฉันเลย !” ความจริงแล้วหล่อนเพียงแค่ต้องการมาหยิบเครื่องดื่มจากโต๊ะข้างราวบันไดเพิ่มเท่านั้น ก่อนจะหายลับเข้าไปในกลุ่มฝูงชนอีกครั้ง
โยนาสหันไปมองหน้าผู้เป็นแม่ของตัวเอง ก่อนจะได้รับคำอนุญาตจากการพยักเพยิดหน้าของเธอ และมาร์ธ่าที่ยืนยิ้มเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงนั้น ... แต่ก็อย่างว่า
โยนาสรู้ที่มาของรอยยิ้มนั้นดี
เสียงดนตรีดังอื้ออึงเช่นเคย- จับใจความไม่ได้แล้วว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นมันคือเพลงอะไร ... คนมากหน้าหลายตาเดินสวนเสกันไปมาจนดูวุ่นวายไปหมด
เด็กชายพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจนัก เพราะแขกในงานส่วนมากแล้วก็มีแต่ผู้ใหญ่วัยทำงาน แถมโยนาสเองก็แทบจะไม่รู้จักใครเลยนอกจากมาร์ธ่าและมักนุส เพื่อนร่วมชั้นของเขา – แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก... หากจะมองหาจุดเด่นของงานเลี้ยงนี้ได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องสังเกต
เขามีส่วนสูงที่เด่นชัดและสามารถมองเห็นได้จากตรงนี้ แม้จะมีผู้คนมากมายรายล้อมรอบตัวเขา ... ริมฝีปากที่กำลังโปรยยิ้ม ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าของนั้นพราวเสน่ห์มากสักเพียงไหน – เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มไม่ได้ทำให้เขาถูกดูดกลืนหายไปพร้อมกับฝูงชน ... แต่กลับทำให้เขาดูมีแรงดึงดูดบางอย่างที่น่าหลงใหล
และโยนาสก็ไม่สามารถละสายตาคู่นั้นไปจากอูลริคได้เลย
นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้... ที่ดวงตาคู่นั้นจับจ้องกลับมาที่เด็กชาย
ไม่ใช่แค่โยนาสที่จมหายเข้าไปในภวังค์ แต่อูลริคเองก็หลุดลอยเข้าไปในห้วงแห่งกาลเวลาเช่นเดียวกัน
แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าของโยนาส – จะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลิ่นโคโลญจน์จาง ๆ ของคุณตำรวจลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเด็กชาย
พอได้อยู่ใกล้ในระยะที่ประชิดขนาดนี้ โยนาสก็แทบจะลืมไปทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งลมหายใจ สัมผัสได้เพียงแต่เสียงระรัวที่ดังอยู่ข้างในอกของตัวเอง
รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อเป็นล้าน ๆ ตัวบินวนอยู่ในท้องเลย...
“ดีใจนะที่เธอมา” เขาอยู่ตรงหน้า พร้อมกับขวดแชมเปญที่เปิดฝาแล้ว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือแก้วทรงสูง ... น้ำสีใสรินไหล เขาไม่ไถ่ถาม ไม่รีรอ แต่กลับยืนแก้วใบนั้นให้กับโยนาส “งดเป็นตำรวจหนึ่งวัน”
“แต่...”
ถาดทีรามิสุที่ถืออยู่ อูลริคคงเพิ่งสังเกตเห็น เขาวางขวดแชมเปญลงบนโต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะคว้าเอาถาดนั้นมาถือแทน ... แก้วในมือถูกยื่นให้อีกครั้ง
“…” โยนาสรับแก้วแชมเปญมาถือไว้ ก่อนจะยกขึ้นจิบพอเป็นพิธีตามคำยุยงของคนตรงหน้า
“แล้วเธอจะขอบคุณฉันทีหลัง”
โยนาสเห็นรอยยิ้มแบบนั้นของเขาอีกแล้ว... รอยยิ้มแบบเดียวกันที่เขาเห็นเมื่อตอนบ่ายของวันนี้ และอีกทีเมื่อสามวินาทีที่แล้วก่อนที่ปากขวดแชมเปญจะปิดบังรอยยิ้มนั้นไป
เด็กชายยังคงมองตามทุกอิริยาบถของคนตรงหน้า ห้ามตัวเองไม่ให้มองไม่ได้ด้วยซ้ำ... ลูกกระเดือกของเขาที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการดื่มกลืนแอลกอฮอล์ในขวด นึกแล้วอยากสัมผัสมันด้วยปลายนิ้วสักครั้งเสียจริง ๆ
ดื่มขนาดนี้เขาจะรู้สึกเมาบ้างไหมนะ... หรือการดื่มแบบนี้ มันจะกลายเป็นปกติของเขาไปแล้ว
“เพื่อสุขภาพของเรา” เหมือนว่าเขาเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก ขวดแชมเปญที่กรอกใส่ปากถึงถูกลดลงอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมาข้างหน้าเล็กน้อย ตรงกับแก้วที่โยนาสถืออยู่พอดี
“หมดแก้วนะ”
ถ้าผมหมดแก้ว แล้วคุณจะหมดขวดหรือยังไง...
แต่เมื่อได้สบกับสายตาคู่นั้นที่จ้องมอง เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่เหลือเส้นทางอื่นใดให้หลบเลี่ยงได้เลย เว้นเสียแต่จะยกแก้วในมือขึ้นดื่มให้มันจบไปสักที
เสียงแก้วกระทบขวดเบา ๆ ก่อนที่โยนาสจะเป็นฝ่ายยกขึ้นดื่ม คราวนี้อูลริคคงไม่ยอมต่อให้อีกครั้งแน่ ๆ .. อย่างน้อยก่อนหน้านี้ เขาก็ต่อให้ด้วยการดื่มไปก่อนเกือบครึ่งค่อนขวดแล้วนี่นะ
แม้จะเลี่ยงสบสายตาด้วยการยกแก้วขึ้นดื่ม แต่กลับสัมผัสได้ถึงการถูกจ้องมองของคนตรงหน้า ที่เอาแต่จับจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม - เหมือนตอนนี้... กลับกลายเป็นว่าโยนาสกำลังถูกอูลริคบังคับให้เล่นเกมด้วยกัน โดยที่ตัวของโยนาสเองนั้น เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้วตั้งแต่เกมยังไม่ทันจะได้เริ่มด้วยซ้ำ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ?” สุดท้ายแล้วโยนาสก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปในที่สุด เขายอมแพ้ให้กับสายตาคู่นั้นได้ไม่นานหรอก...
อูลริคเงียบไปช่วงขณะหนึ่ง เขากำลังรินแชมเปญจากขวดลงสู่แก้วที่เพิ่งฉวยมาจากมือของโยนาสเมื่อสักครู่
“ถ้าฉันบอกว่าไม่มี.. แล้วฉันจะได้คุยกับเธอต่อหรือเปล่า ?” ตอบคำถามกลับมาด้วยคำถาม มุมปากของเขาถูกกระตุกให้ยิ้มได้ตามใจชอบ เขี้ยวเล่มสวยที่โผล่พ้นริมฝีปากล่างนั่น ยิ่งมองยิ่งทำให้โยนาสรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองกระตุกวูบไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น
ร้าย... ร้ายมาก ๆ...
“ตาแก่..มาเต้นกับฉันหน่อยเร็ว !” เสียงที่คุ้นเคยทำให้โยนาสเผลอมองข้ามไหล่ของคนที่สูงกว่าไปโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเท้าทั้งสองข้างที่สลับถอยห่างออกมา ... ถึงแม้ในความรู้สึกแรกจะแอบเสียดายกลิ่นโคโลญจน์เย็น ๆ ของเขาก็ตามที
มือที่ไม่ปริศนาซึ่งทาเล็บด้วยสีแดงโผล่พ้นไหล่กว้างของเขามา บีบดึงคางของคนตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องสนุกสนานที่ปกติคนในครอบครัวมักจะหยอกล้อกัน – อูลริคยอมเอี้ยวตัวตามไปอย่างว่าง่ายจากแรงดึงของคาธารีน่า
หากการที่เดาว่าเขาคงจะเมาแล้ว... มันก็คงเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องหาข้อพิสูจน์อะไรให้มากความหรอก
จังหวะดนตรีเร็ว ๆ กับท่าทางโยกเย้าที่เข้าคู่กันของภรรยาในอ้อมแขน ดูก็รู้ว่าเขารักกันมานานแค่ไหน ไม่อย่างนั้นทั้งคู่จะจัดงานเลี้ยงครบรอบ 25 ปีที่แต่งงานด้วยกันหรือ
โยนาสได้แต่ยิ้ม... ยิ้มมองคู่เต้นรำที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนซึ่งขยายออกกว้างพอให้พื้นที่สำหรับทั้งคู่ - แก้วแชมเปญถูกยกขึ้นดื่มอีกรอบ และคราวนี้เขายกมันจนหมดแก้ว
สายลมพัดโหม เป็นเค้าลางที่บอกได้ดีทีเดียวว่า อีกไม่นานห่าฝนใหญ่ก็คงกลับมาเยี่ยมเยียนวินเดนอีกครั้ง – มองไปรอบกาย ตอนนี้เหลือเพียงแค่โต๊ะยาวที่ถูกคลุมไว้ด้วยผืนผ้าสีขาว ประดับประดาด้วยขวดน้ำอัดลมเปล่า กับแก้วพลาสติกสีแดงที่ใช้แล้ว อาหารที่เหลือรับประทานอยู่ไม่มากก็น้อย แต่หากให้มากกว่านั้น.. ก็คงเป็นร่องรอยของแขกเหรื่อที่ก่อนหน้าคงจะจัดเลี้ยงกันตรงนี้
เสียงฟ้าร้อง และเมฆใหญ่ตั้งเค้าเงาทะมึนมาแต่ไกล แต่พื้นที่ว่างข้างกายกลับไม่ได้ว่างเปล่าดั่งเคย อูลริคนั่งลงตรงนั้น บนชิงช้าฝั่งขวาของโยนาส – ขาเหยียดยาวของเขายันพื้นหญ้าเอาไว้ พร้อมกับโยกไปมาช้า ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงน่าผิดหวังนะครับ”
บุหรี่ในซองที่เขาพกติดกระเป๋าเสื้อมา, ปลายตาของโยนาสแอบเห็นว่าคนข้างกายนั้นดูหวาดระแวงอยู่เล็กน้อย .. คงแอบออกมาสูบบุหรี่ล่ะสิท่า
บุหรี่มวนหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาคาบไว้ด้วยริมฝีปาก แล้วเขาก็หันกลับมามองที่โยนาส เพราะใบหน้านิ่งเฉยของเด็กชาย ทำให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะเจื่อน ๆ ออกมาเองเสียอย่างนั้น “มุขฉันมันฝืดขนาดนั้นเลยหรือไง”
ท่ามกลางแสงสลัวของไฟสีส้มที่ติดอยู่ริมกำแพง แสงสว่างของไฟแช็กใต้อุ้งมือใหญ่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โยนาสได้เห็นใบหน้าของอูลริคชัดเจนยิ่งขึ้น - ช่วงเวลาหยุดกระชั้น พร้อมกับคำพูดในหัวมากมายที่หลุดลอยหายไป ไม่ทันได้ไขว่คว้า แต่ทันทีที่เขาหันกลับมาสบตาอีกครั้ง เด็กชายก็ได้แต่เสใบหน้าไปทางอื่น
“โลกที่ไม่มีวินเดน...”
“แล้วคุณล่ะครับ ?”
ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากของอูลริค ที่เขาทำก็มีเพียงแค่ยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบเอาควันสีเทาเข้าปอดของตัวเอง ... โยนาสมองตามเปลวไฟสีแดงบนปลายกระดาษห่อเส้นยาสูบ ที่กำลังหดหายไปเรื่อย ๆ จากการถูกเผาไหม้
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรในคำตอบของคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่อยากจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ในแบบที่อยากทำเสมอมา... ก็เท่านั้นเอง
หยดน้ำตาของท้องฟ้าเริ่มรินไหล- แตะสัมผัสลงบนปลายจมูกของโยนาส, เด็กชายแหงนมองไปยังที่มาของน้ำฝน เปาะแปะลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือใหญ่ที่เพิ่งโยนบุหรี่ทิ้งไปจะรีบคว้าจับเอาฝ่ามือของเขาเอาไว้ และวิ่งหาที่หลบฝนด้วยกัน
ด้านข้างของโรงจอดรถคงเป็นพื้นที่สำหรับให้ยืนหลบน้ำฝนได้ดี.. โยนาสคิดว่าอย่างนั้น- แต่ที่มากกว่านั้นคงเป็นมืออุ่นที่กุมรวบอยู่รอบมือของเขา เมื่อกี้.. เพียงอูลริคออกแรงดึงแค่นิดเดียว โยนาสก็วิ่งตามไปแล้ว
การเปียกฝนใช่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสักเท่าไหร่ แต่การได้เปียกฝนกับคนคนนี้.. เด็กชายเองก็คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีอยู่เหมือนกัน อูลริคหัวเราะและโยนาสก็หัวเราะ สถานการณ์แบบนี้มันน่าตลกกว่ามุขเฝื่อน ๆ ที่เคยเล่นไว้เสียอีก
แต่ที่ตลกกว่า คือ... ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ฝันที่โยนาสเคยได้ถวิลหาอยู่ทุกคืน
ลองบีบมือเขาดูสักครั้ง – ความหนาและความหยาบกร้านทำให้โยนาสรู้ได้ดีว่านี่คือเรื่องจริง ฝ่ามือของอูลริคยังคงกุมกระชับฝ่ามือของโยนาสเอาไว้เช่นเดิม ก่อนจะสัมผัสได้ถึงลิ่มนิ้วที่ค่อย ๆ วางซ้อนลงในช่องว่างระหว่างนิ้วมือของโยนาส
ศีรษะที่เล็กกว่าเอียงซบลงบนไหล่กว้างของคนข้างกาย กลิ่นโคโลญจน์ยังคงติดอยู่บนเสื้อผ้าของเขา โยนาสสูดดมกลิ่นหอมนั้นเอาไว้เสียจนลืมตัว แต่ตอนนี้แล้ว จะห้ามอะไรได้ไหว...
“เธอชอบฉันเหรอ ?” ริมฝีปากของอูลริคแทบจะจรดแนบชิดกับกระหม่อมของโยนาส หยาดน้ำฝนเล็ก ๆ ทิ่ติดค้างอยู่บนปลายเส้นผมค่อย ๆ หยดลงบนแก้มใส ฝ่ามือของเขาประคองอยู่ใต้สันกรามของเด็กชายตรงหน้า
“ถ้าผมบอกว่าชอบคุณ แล้วคุณจะชอบผมกลับหรือเปล่า ?”
อุ้งมือที่เล็กกว่าสัมผัสกับมือที่จับประคอง เอียงศีรษะซบลงบนฝ่ามือใหญ่นั้น ในความคิดหนึ่ง.. อยากหลับตาและหยุดช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้เหลือเกิน– แต่สุดท้ายแล้ว เวลาก็พรากสิ่งเหล่านั้นให้จากไป กลั้นใจดึงละฝ่ามือนั้นออก ยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้าไปมา...
นั่นสินะความเงียบก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคำตอบของคำถามอยู่แล้ว
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลเหมือนกันที่พื้นดินมักจะเป็นคำตอบสุดท้ายให้โยนาสเสมอ
เสี้ยววินาทีหนึ่ง โยนาสนึกถอดใจ... ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาอูลริคด้วยซ้ำ ภาวนากับสายฝน ขอให้ตัวเองแตกสลายไปพร้อมกับสายลมที่กรรโชกจะได้ไหม – แต่อีกเสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่โยนาสไม่ได้เป็นคนคิดกำหนด มันกลับเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้
มือใหญ่ทั้งสองข้างจับรั้งเข้าที่ข้างศีรษะเล็ก จรดริมฝีปากลงแนบชิดกับเด็กชาย เสี้ยววินาทีนั้น... โยนาสถึงได้รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า อูลริคคือปีศาจร้ายในคราบของมนุษย์ชัด ๆ - ปีศาจร้ายที่มาพร้อมกับความเร็ว โดยที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
โชคยังเข้าข้างโยนาสอยู่บ้าง ที่อูลริคนั้นยังคงมีความปรานีอยู่
เขาละริมฝีปากออก ตอนที่กำปั้นเล็กพยายามทุบลงบนแผ่นอกเพื่อขอเวลานอก
“แบบนี้เรียกว่าชอบได้หรือยัง ?”
โยนาสไม่ตอบคำถามของคนตรงหน้า
“ไม่ชอบเหรอ ?” อูลริคถาม พร้อมกับช้อนสายตามองเด็กตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหงุด ไม่ยอมมองเขาเลยแม้แต่น้อย “หรือฉันทำให้เจ็บ ?”
“ผมชอบครับ... ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว” ศีรษะของคนที่ตัวเล็กกว่าเลือกเอนซบลงบนหน้าอกกว้างของเจ้าของบ้าน- บ้าชะมัด... แพ้จนไม่เหลืออะไรจะให้แพ้แล้ว
ลมหายใจที่สั่นไหว โยนาสสัมผัสมันได้ผ่านแผ่นอกของคนตรงหน้า .. อูลริคกำลังหัวเราะเขา แต่ท้ายสุดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่กำชายเสื้อของอูลริคเอาไว้แน่นจนแทบจะหลุดออกมานอกเข็มขัดเท่านั้น
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมมาร์ธ่าถึงได้คลั่งเธอเสียขนาดนั้น”
โยนาสเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะละตัวออกจากคนตรงหน้า แล้วใช้กำปั้นทุบเข้าให้อีกหนึ่งหน
“คุณดูออก ?”
“ตั้งแต่มาร์ธ่าพาเธอมาเล่นที่บ้านตอนมอต้น”
“แต่คุณก็ไม่พูดอะไรอยู่ดี”
“หาโอกาสคุยกับเธอมันยากอยู่นะ...”
อูลริคยิ้ม
“แต่ตอนนี้เธออยู่กับฉันแล้วนะ”
“ครับ...ผมอยู่กับคุณ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in