สามกระป๋อง... ห้ากระป๋อง... แปดกระป๋อง...
ลูคัส หว่องนับจำนวนกระป๋องเปล่าที่วางกองอยู่เรี่ยราดบนพื้นห้องก่อนจะสะบัดหัวไล่ความมึนงงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
“อื้อ.. ลูคัส เอาขวดใหม่มาเร็ว” เสียงอ้อแอ้ดังจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ยตัวเล็กที่มีเพียงแก้วใสสองใบกับขนมคบเคี้ยวอีกหนึ่งถุง
“พอแล้วมั้ง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบรก เข้าใจว่าโปรเจคที่ผ่านมาทำเอามาร์คเครียดมากขนาดไหน เจ้าตัวถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับจนน้ำหนักลดลงไปหลายกิโล สังเกตได้จากแก้มที่ซูบตอบ ตัวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กลงไปอีก วันนี้พอส่งงานเสร็จ เราสองคนถึงมานั่งดื่มฉลอง เปิดเพลงคลอเคล้าไฟดาวน์ไลท์สีส้มกันอยู่ในห้องแบบนี้
ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่ไปสถานที่เริงรมย์กับเพื่อนคนอื่น คำตอบของลูคัส หว่องมีเพียงข้อเดียวพร้อมกับเหตุผลอีกมากมายสักหน่อย
“ไม่เอา ยังไม่เมาเลยลูคัสอา...”
นี่คือเหตุผลแรก ดวงตากลมสดใสที่ใครๆ พากันชื่นชมดูฉ่ำวาวผิดปกติ
เหตุผลที่สอง เสียงใสนั่นดูอ้อแอ้และยานคาง เพิ่มทวีคูณความน่าหลงใหลเข้าไปอีก
“หึหึ คนเมาที่ไหนยอมรับว่าเมากัน” เขาเอ่ยแซว เอื้อมมือไปดึงแก้มนิ่มจนอีกฝ่ายครางฮือ
เหตุผลที่สาม พอเมาแล้วปฏิกิริยาตอบสนองต่อต้านการถูกสัมผัสจะทำงานช้าลง ปกติมาร์คมักจะสะดุ้งเวลาเขาสัมผัสโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว แต่พอเมาแล้วแบบเมื่อกี้ โดนบีบแก้มไม่ใช่แค่ไม่ปัดออก แต่กลับครางหงุงหงิงและยิ้มรับ ซึ่งต่อเป็นเหตุผลข้อที่สี่ เวลาเมาแล้วยิ่งยิ้มง่าย หัวเราะง่าย แจกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว ลูคัสยังคงจำได้ว่าเกือบมีเรื่องต่อยกับคนในผับเพียงเพราะหมอนั่นมาทำรุ่มร่ามใส่มาร์คตอนที่เขาไปเข้าห้องน้ำ ยังดีที่ตอนนั้นพี่แจฮยอนอยู่ด้วยจึงห้ามปรามเขาไว้ก่อน
“ลูค.. จะไม่พูดซ้ำแล้วนะ เอามาเร็วๆ”
เหตุผลข้อที่ห้าคือความขี้อ้อน แม้ตอนแรกจะเปิดมาด้วยเสียงแข็งและคำพูดเหมือนสั่ง แต่ท้ายประโยคกลับลากเสียงยาวแถมน้ำเสียงอ่อนลงจนเขาใจอ่อนเปิดกระป๋องใหม่ให้อีก
เฮ้อ... เขาพลาดเองนั่นแหละที่ให้มาร์คเป็นคนลงไปซื้อเบียร์เองคนเดียว เพราะความขี้เกียจแท้ๆ ยังสงสัยว่าถ้าไม่หมดสิบสองกระป๋องที่ซื้อมาจะยอมเลิกไหม
“ฮี่ๆๆ ลูคัสใจดีที่สุดเลย” ไม่พูดเปล่า มือเล็กเอื้อมมาเกาปลายคางคนนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างเอาใจและกลับไปสนใจเครื่องดื่มตรงหน้าต่อ
ผมสีน้ำตาลสะบัดพลิ้วไหวไปตามแรงขยับของเจ้าตัว ปากแดงขมุบขมิบไปมาตามเนื้อเพลงแรพที่กำลังเปิดฟัง ลำตัวโยกน้อยๆ ไปตามจังหวะดนตรี มือข้างหนึ่งถือแก้วที่บรรจุของเหลวสีใสไว้ก่อนจะยกดื่ม... น่ามองยิ่งกว่างานศิลปะของศิลปินคนใด
“ทำไมกินน้อยจังอะ มาๆๆ เดี๋ยวเทให้ กินด้วยกันสิ” ลูคัสหัวเราะแต่ก็ยอมยื่นแก้วใสไปให้อีกคนเทเครื่องดื่มให้ มาร์คชนแก้วและเลื่อนมันกลับมาให้เขาอีกครั้ง
“หมดแก้ว” ก่อนเจ้าตัวจะยกกระดกดื่มรวดเดียวจนหมด คว่ำแก้วลงกับโต๊ะโชว์และรอคอยให้เขาดื่มตาม ลูคัสยกแก้วให้อีกฝ่ายเป็นนัยยะการรับคำเชิญชวนและยกดื่มจนหมดแก้ว ของเหลวสีอำพันผสมแอลกอฮอล์ไหลผ่านจากริมฝีปากสู่ลำคอก่อนจะเหลือทิ้งไว้เพียงความหอมหวานในช่องปาก
“ลูคัสหมดแล้ว เอาอีก” กินเป็นน้ำเปล่า เขาจำไม่ได้หรอกว่ามาร์คคอแข็ง...จะเรียกให้ถูกก็คือดื่มเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดีนะที่ตัดสินใจแอบเอาเบียร์อีกสี่กระป๋องไปเก็บไว้ในตู้เย็นก่อนแล้วช่วงมาร์คดูเริ่มเมาขณะเปิดกระป๋องที่หก
“ไม่มีแล้ว” บอกตรงๆ เขาเองก็น่าจะกินไปไม่ต่ำกว่าสี่กระป๋อง เพราะช่วงแรกกำลังคึกถึงกระดกเอาๆ แบบลืมตัวไปหน่อย ลูคัสไม่ได้คอแข็งอะไรขนาดนั้นแล้วในตอนนี้เพราะมาร์คไม่ชอบให้ดื่ม ถ้าลองเป็นสมัยก่อนหรอ สิบกระป๋องก็ยังไหว
“หืม... ใช่หรอ เราซื้อมาตั้งเยอะนะ” มาร์คขมวดคิ้วพลางนึกไปถึงตอนหยิบเบียร์และขนมขบเคี้ยวในร้านขายของชำข้างหอของลูคัส หากแต่ภาพนั้นก็กลับเลือนลางเสียเหลือเกินในความทรงจำ
“นี่ก็เกือบสิบกระป๋องแล้วที่กินเข้าไปอะ” ลูคัสหลอกล่อ ชี้ให้ดูกระป๋องที่เกลื่อนกลาดตามพื้น เขาถึงยอมปล่อยให้พื้นห้องเละเทะอยู่แบบนี้ กลัวคนเมาจะมีสติมากพอถ้ามาวางเรียงกันไว้และพบว่าเบียร์อีกสี่กระป๋องหายไปไหน เป็นเรื่องต้องมาตามหากันอีก
“ไม่เชื่อหรอก ขอไปเช็คก่อน” คนตัวเล็กกว่าใช้มือยันขอบโต๊ะก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันมองซ้ายขวาอย่างไม่รู้ทิศก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าออกเดิน โชคดีที่ยังพอมีสติรู้ตัวเดินไปทางห้องครัว
ลูคัสเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ ด้วยความเป็นห่วง เห็นท่าเดินโซเซแบบนั้นก็กลัวจะเดินเตะเดินชนแล้วล้มจนได้บาดแผล มาร์คไม่ยอมเปิดไฟในห้องครัว แต่ใช้วิธีการอาศัยไฟจากห้องนั่งเล่นแทน เมื่อเดินไปจนถึงตู้เย็น แค่เพียงเปิดประตู แสงจากตู้เย็นก็สว่างเข้าดวงตาทำเอาคนที่นั่งกันในห้องไม่สว่างมากมาหลายชั่วโมงถึงกับแสบตา เจ้าตัวใช้มือยึดประตูตู้เย็นเอาไว้ก่อนจะนั่งยองลงเพื่อมองหากระป๋องเบียร์ที่เหลืออยู่
"เห็นไหม บอกแล้วว่าไม่มี" ลูคัสย่อตัวลงตามซ้อนหลังพร้อมกับโอบเอวและนำคางเกยบนศีรษะของมาร์ค
"ฮื่อ... อยากกินอีกอะ" คนในอ้อมกอดงอแง ลูคัสจับตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะปิดประตูตู้เย็น พลิกตัวคนในอ้อมกอดในหันมาเผชิญหน้ากันโดยยังไม่ละมือออกจากเอวเล็ก
"มีอะไรรึเปล่า หื้ม ทำไมวันนี้กินเยอะจัง เดี๋ยวปวดท้องนะ" มาร์คส่ายหน้าจนเส้นผมสะบัดตาม
"แน่ใจ?" คราวนี้ลูคัสก้มหน้าลงจนหน้าผากของพวกเขาทั้งคู่ชิดกัน ดวงตาคมมองลงไปยังดวงตาใส เขาเห็นแววตาของมาร์คสั่นน้อยๆ ไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออย่างไร
"แค่... อยากอ้อน" ในขณะที่เขากำลังจะผละจากเพื่อพามาร์คเดินกลับไปห้องนั่งเล่น คำตอบที่ได้รับและภาพของมาร์ค อีกำลังกัดปากตัวเองเพียงเพราะเขินอายกับคำพูดที่ออกมานั่นทำเอาคนฟังยกยิ้ม
เขาเลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่ใช่เพื่อให้หน้าผากของเราแตะกัน ริมฝีปากอุ่นแตะลงบนกลีบปากบาง เขากดจูบย้ำซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก่อนจะอุ้มตัวอีกฝ่ายวางลงบนเคาท์เตอร์บาร์ สอดตัวเองอยู่กลางหว่างขาของมาร์ค น่าแปลกที่พอนั่งอยู่บนเคาท์เตอร์บาร์แบบนี้ ความสูงของเรายังคงใกล้เคียงกันแม้มาร์คจะดูสูงกว่าเขานิดหน่อยก็ตามที ลูคัสเลื่อนหน้าเข้าใกล้เพื่อประกบกับริมฝีปากของคนตรงหน้า ไม่ใช่เพียงแตะย้ำ หากคราวนี้เขาเลือกที่จะมอบจูบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น กดย้ำ ดูดดึง กวาดต้อน รุกเร้าจนคนตัวเล็กกว่ายกแขนทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอลากขึ้นเพื่อสางผมเพื่อระบายความรู้สึกภายในที่เริ่มโหมกระพือ
มาร์ครู้สึกว่าอารมณ์ของเขาขับเคลื่อนไปเร็วยิ่งกว่าปกติ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หลายกระป๋องที่เพิ่งดื่มเข้าไป
“ร้อนแรงจังเลยนะ” ลูคัสถอนริมฝีปากมาเอ่ยแซวให้กับคนในอ้อมกอดที่จูบตอบเขาลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงอีกครั้งและหลายๆ ครั้งเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าได้มีโอกาสเถียง หากแต่ไม่วายโดนกำปั้นทุบลงบนหลัง เขาหัวเราะในลำคอขยับใบหน้าลงมาซุกลงบนซอกคอขาว สูดดมความหอมกลิ่นแป้งเด็กผสมกลิ่นนมซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของมาร์คที่แม้บัดนี้จะคละเคล้าไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์เล็กๆ ก็ตาม มือเรียวที่โอบเอวสอดเข้าใต้เสื้อฮู้ดตัวโคร่ง สัมผัสแผ่นหลังเนียนและบีบเบาๆ ที่บั้นเอวทำเอาคนถูกสัมผัสครางฮือ ไม่นานเสื้อฮู้ดตัวโคร่งก็อันตธานหายไปเหลือเพียงผิวขาวเนียนกระทบกับดาวน์ไลท์สีเหลืองนวล
มาร์คตัวเล็ก... นั่นเขาไม่อาจเถียงยิ่งพอมามองโดยไม่มีอาภรณ์ใดปกคลุมแบบนี้ก็ยิ่งตัวเล็กเข้าไปใหญ่
“อื้อ... มองอะไรนักหนา” มือบางกำรอบอยู่กับเสื้อยืดที่เขาสวมใส่ ก้มหน้างุดแทบชิดอกของตัวเอง
“มองคนน่ารัก” นั่นแหละถึงโดนฟาดไม่เบาลงบนอก ลูคัสหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งให้คนตรงหน้าเขิน... อ่า ลืมบอกไปอีกอย่าง มาร์คน่ะ น่าแกล้ง ยิ่งเวลาเขาแกล้งเวลากอดจะยิ่งน่ารักเป็นพิเศษ
“คืนนี้ขอกอดมาร์คได้ไหมครับ”
“ถอดเสื้อคนอื่นขนาดนี้แล้วเพิ่งจะมาขอเนี่ยนะ” คนฟังยิ้มกว้างให้กับคำปรามาสแบบดุๆ ของคู่สนทนา มาร์คดุไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลยในเวลานี้ กลับกันที่ถามก็เพราะอยากเห็นภาพแบบนี้นั่นแหละ
“เป็นคนมีมารยาทนะเลยขอก่อน”
“วันหลังไม่ทำเสร็จแล้วค่อยขอเลยล่ะ”
“อ้าว ได้ใช่ไหม”
“บ้า” เพราะมาร์ค อีเป็นคนขี้อาย บอกรักก็ไม่ค่อยบ่อย เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ชอบทำเป็นไม่สนใจตีมึนใส่เขา อยากอ้อนเขาก็ต้องมาทำให้ตัวเองเมาเพื่อให้มีความกล้าที่จะอ้อน ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก ลูคัส หว่องน่ะ ตกหลุมรักมาร์ค อีไปตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ยังไงก็รักทั้งหมดที่มาร์คเป็นมาร์คนั่นแหละ
“สรุปแล้วลูคัสขอกอดมาร์คได้ไหมครับคืนนี้” ก่อนหน้านี้เขาได้พูดไปเกือบหมดแล้วถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่ชอบออกไปกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อนตามผับหรือบาร์ แต่เหตุผลหนึ่งเดียวที่ยังไม่ได้บอกน่ะ
“อื้อ” หลังจบคำเขาโอบเอวอีกฝ่ายไว้ก่อนจะยกขึ้นออกเดินจากห้องครัวไปสู่ห้องนั่งเล่นและเดินเข้าห้องนอนในขณะที่ริมฝีปากของเรายังไม่ผละออกจากกัน
“รักมาร์คนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างใบหูเมื่อแผ่นหลังของมาร์คนอนลงบนฝูกนุ่ม
“อื้อ รักลูคัสเหมือนกัน”
มาร์ค อี คนนี้ไงที่เป็นสาเหตุ
ไม่อยากให้ใครเห็นถึงความน่ารักไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็มีคนชอบมาร์คเยอะจะแย่อยู่แล้ว
ความน่ารักของมาร์ค อี ให้ลูคัส หว่องคนนี้ได้เห็นและสัมผัสคนเดียวก็พอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in