Title : Dear Who
Pairing : Ye Ziming x ??
มันก็จะอิหยังวะหน่อย ๆ ตามประสาคนชอบพล็อตไว้ใหญ่แต่ขี้เกียจแต่ง 555555
++++++++++
ตั้งแต่ลากสังขารกลับถึงคอนโดมิ่งเมืองก็อาเจียนบะหมี่ร้านตรงข้ามออฟฟิศที่พยายามยัดใส่ท้องตั้งแต่ตอนเที่ยงออกมาจนหมด หมดกันก๋วยเตี๋ยวสี่สิบบาท คงต้องกินยาทั้งที่ท้องยังว่างอยู่นี่แหละ ชายหนุ่มเดินลูบท้องตัวเองออกมาจากห้องน้ำก่อนจะหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้
ชิบหาย ลืมซื้อยา
มิ่งเมืองทุ่มตัวใส่โซฟา อยากจะเขกกบาลตัวเองแต่แค่เอามือแตะก็เจ็บไปทั้งหัวแล้ว ถ้าไม่ได้เพิ่งย้ายมาเขาคงพอจะมียาพาราติดห้องไว้บ้าง นี่แค่นึกว่าต้องแบกตัวเองไปร้านสะดวกซื้อที่ห่างออกไปเกือบครึ่งกิโลก็เหนื่อยแล้ว
พอได้เอนกายหลังที่แค่นั่งก็ปวดก็ถูกความนุ่มสบายของโซฟาสีดำดึงดูด หนังตาก็เหมือนจะหนักอึ้งขึ้นมา
ขอนอนพักก่อนแล้วกัน มิ่งเมืองปล่อยให้สติสัมปชัญญะหลุดลอย
“ไม่สบายแล้วเป็นอย่างนี้อีกแล้ว”
เสียงบ่นของใครบางคนลอยเข้ามาในภวังค์ช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น
“ยุ่งน่า” เขางึมงำตอบ
แอร์ที่เปิดไว้ยี่สิบห้าองศาเซลเซียสหนาวเกินไปสำหรับร่างกายที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ เอาไว้ตื่นมาค่อยไปหยิบผ้ามาห่มแล้วกัน แต่ถ้าตื่นมาก็ลุกไปนอนในห้องเอาก็ได้นี่หว่า หรือจะลุกไปตอนนี้ดี ลุกไม่ไหวว่ะ งั้นช่างแม่งละกัน มิ่งเมืองเถียงกับตัวเอง
เขาพลิกตัวนอนตะแคงกอดอก งอเข่านิด ๆ เท่าที่พื้นที่บนโซฟาจะอำนวย หูเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงคนถอนหายใจ ก็คงไม่แปลก การรับรู้ของร่างกายเขาตอนนี้คงผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว นี่จู่ ๆ เขาก็ไม่รู้สึกหนาวแล้วด้วย
หรือเขากำลังจะตายวะ
ตาย ๆ ไปก็ดีนะ
ความคิดเขาถูกขัดจังหวะด้วยมืออุ่นของใครบางคนที่สองแก้ม สัมผัสอ่อนนุ่มที่ริมฝีปาก และความเย็นของน้ำที่ชำแรกเข้ามา คนป่วยกลืนมันเข้าไปโดยอัตโนมัติพร้อมกับเม็ดยาที่ถูกแทรกเข้ามาพร้อมกัน
สัมผัสนั้นอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากอีกครู่หนึ่งก่อนจะถอนออก มือที่หยาบเล็กน้อยผละจากแก้มมาปัดกลุ่มผมนุ่มออกจากหน้าผากคนป่วย ผู้บุกรุกคอนโดของมิ่งเมืองถอนหายใจเบา ๆ ขณะลุกขึ้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ
ดูจากลักษณะแล้วมิ่งเมืองคงเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน กล่องขนย้ายที่ยังแกะออกมาไม่หมดถูกวางแอบไว้ตรงทางเดิน แต่ดูตำแหน่งการวางข้าวของเท่าที่จัดแล้วก็ดูเหมือน ๆ กับที่เดิม ร่างสูงลองเดินไปเปิดลิ้นชักชั้นสองของตู้เสื้อผ้าในห้องนอน การที่เขาเจอผ้าขนหนูผืนเล็กในนั้นก็เหมือนเป็นการยืนยันไปแล้วอย่างหนึ่งว่า
มิ่งเมืองยังเหมือนเดิม
ผ้าขนหนูสีน้ำตาลอ่อนถูกนำไปชุบน้ำ บิดจนหมาด และนำมาเช็ดตามข้อพับของมิ่งเมือง คนป่วยปัดป้องบ้างแต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง มิ่งเมืองที่หลับอยู่กลายเป็นคนพูดมาก ริมฝีปากบางขยับไปมาอยู่ตลอดถึงจะฟังไม่ได้ความเลยก็ตาม
“...หัว”
คนดูแลขมวดคิ้วเมื่อจับศัพท์ได้คำหนึ่งจากสารพัดสิ่งที่อีกฝ่ายพึมพำ
“ว่าไงนะหมิง”
“ปวดหัว”
คนฟังได้ยินก็นิ่วหน้าด้วยความสงสาร เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นแปะบนกระหม่อมคนป่วยแล้วลูบไปด้านหน้าเบา ๆ
“โอ๋นะครับ”
ผมมิ่งเมืองยังนุ่มลื่นมือเหมือนที่จำได้ คนถูกลูบหัวครางงืออย่างพึงพอใจและดูจะสงบลง พักหนึ่งก็มีเสียงกรนต่ำ ๆ ดังตามมา รอยยิ้มหยักขึ้นที่มุมปากคนกำลังลูบหัว
“ไอ้ดื้อเอ๊ย”
เสียงโทรศัพท์เจ้าของห้องที่ริงโทนยังคงเป็นเสียงเริ่มต้นดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกง ผู้บุกรุกรีบค้นมันออกมาปิดเสียงด้วยเกรงว่าคนที่หลับอยู่จะตื่นขึ้นมา ใบหน้าอันคุ้นเคยของเพื่อนร่วมงานฝ่ายไอทีปรากฏหราอยู่บนจอโทรศัพท์ ดวงตาที่มองลอดแว่นกันแดดทรงพิลึกกึกกือออกมานั้นเป็นของจิรัฐไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะแววตาที่แม้จะเป็นภาพนิ่งก็ยังทำให้รู้สึกระคายเท้าจนคิ้วกระตุกถี่ยิบ
“ปกติตั้งรูปโทรเข้าเพื่อนด้วย?”
หลังจากกดปิดเสียงผู้บุกรุกก็เหวี่ยงโทรศัพท์ทิ้งไป (หมายถึงเอาไปไว้ที่อื่นน่ะนะ ขืนเหวี่ยงจริงมิ่งเมืองเล่นเขาตายแน่) เขาก้มลงพินิจใกล้ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของห้องยังคงหลับสนิท
“…หมิง…”
ชื่อนี้ลอยออกมาปะปนกับเสียงพึมพำของมิ่งเมือง
น้ำสีใสหยดหนึ่งคาอยู่บนหางตาของคนหลับ มันอยู่ตรงนั้นมานานเท่าไหร่แล้วเขาก็ไม่ได้สังเกต มือสั่นเทาเอื้อมออกหมายจะปาดมันทิ้งไป แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินคำที่มิ่งเมืองละเมอออกมา
“…ออกไป…”
คนได้ยินชาวูบไปทั้งตัว จู่ ๆ มือขวาก็ไม่มีแรง ผ้าขนหนูถูกปล่อยให้ร่วงแหมะลงบนพื้นห้อง
โทรศัพท์มิ่งเมืองสั่นหวืออยู่บนโต๊ะรับแขก ร่างสูงหันไปกดให้มันหยุดสั่น จากนั้นค่อยย่อตัวลงเก็บผ้าขนหนูที่ทำร่วงบนพื้นไปซักตาก มันสกปรกแล้ว คงไม่คู่ควรจะนำมาสัมผัสตัวมิ่งเมืองอีก
อะไรหลาย ๆ อย่างก็ไม่ต่างกัน
“ออกไป”
คนป่วยพูดซ้ำแม้ไม่ได้ลืมตา
“รู้แล้วน่า”
คนที่ยืนอยู่กระซิบตอบ ต้องไปซักผ้า เขาเตือนตัวเอง แม้สายตายังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากหยักสีชมพูซีด ในใจนึกสงสัยว่าจูบสุดท้ายนั้นเนิ่นนานเท่าไหร่มาแล้ว
++++++++++
“ว่าไงมึง ไอ้มิ่งมันตายยัง”
วศิณถามด้วยมุมปากขณะกำลังดูดกาแฟจากแก้วเยติในมือซ้าย มือขวาจิ้มต๊อกแต๊กที่คีย์บอร์ด ด้านคนถูกถามยังวุ่นวายกับจอโทรศัพท์ไม่เลิก แต่ก็อุตส่าห์เจียดเวลาอันแสนมีค่าหันมาแจกอวัยวะคนถามไปหนึ่งดอกเน้น ๆ
“อ้าวมึงนี่ กูถามดี ๆ”
“ดีบ้านแม่มึงอะ มิ่งมันตายห่าไปจริง ๆ รึยังกูก็ไม่รู้เหมือนกันเนี่ย”
“ใจเย็นดิ มันโตเป็นควายแล้ว ดูแลตัวเองได้ ที่ไม่รับสายมึงนี่มันก็คงหลับของมันอยู่นั่นแหละ มึงก็กังวลอะไรไม่เข้าท่า”
เอาจริงที่วศิณพูดก็ถูก แต่จิรัฐก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี นี่เป็นครั้งแรกที่มิ่งเมืองดูป่วยหนักจนยอมทิ้งงานแล้วกลับบ้านเร็วกว่าคนอื่น ทั้งที่ปกติไม่สบายธรรมดาถ้างานไม่เสร็จเพื่อนไล่แล้วไล่อีกก็ไม่กลับแท้ ๆ แล้วนี่เขาส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน โทรหาก็ไม่รับอีก มันน่าวางใจซะที่ไหน
“ยังไงขากลับกูแวะคอนโดมันก่อนค่อยไปส่งมึงนะ”
“ครับ ไอ้คุณเพื่อนที่แสนดี” วศิณประชดเสียงสูง “ที่ใจดียอมกลับมาทำงานดึกไปช่วยมันย้ายคอนโดวันก่อนนี่คือคิดไว้แล้วใช่ปะ”
“คิดเชี่ยไรของมึง” จิรัฐสวน ปลายหูแดงก่ำ “ก็มันไม่มีรถขนของป้ะวะ แล้วกูมี ก็แค่นั้น”
“เออ ๆ กูเชื่อก็ได้ มึงรีบปั่นตรงนี้ให้เสร็จ เดี๋ยวรันผ่านแล้วบึ่งไปคอนโดไอ้มิ่งเลย โอเค้”
คำพูดนั้นเหมือนจุดสปีดให้จิรัฐทำงานแบบคูณหนึ่งจุดเจ็ดห้า ไม่นานจากนั้นมินิคาร์สีขาวก็เลี้ยวเข้าชั้นจอดรถของคอนโดที่มิ่งเมืองพักอาศัย วศิณยืนพักเท้าอยู่เยื้องไปด้านหลังเพื่อน มือซ้ายหิ้วถุงโจ๊กเจ้าอร่อยที่จิรัฐแวะซื้อระหว่างทางที่มา สายตาลอบมองรหัสผ่านห้องมิ่งเมืองที่เพื่อนกดอย่างชำนิชำนาญแล้วก็เลิกคิ้ว
“เลขคุ้นจังวะ 117311”
“วันเกิดหมาที่บ้านมันแล้วก็วันเกิดมันไง”
“หมามันไม่ใช่ว่าเก็บมาเลี้ยงหรอกเรอะ”
“ก็ตั้งจากวันที่เก็บมาแหละมั้ง มึงนี่ สงสัยอะไรนักหนา เข้ามาให้ว่องดิ๊”
สงสัยก็ผิดด้วยว่ะ วศิณลอบถอนหายใจขณะถอดรองเท้าวางบนชั้น เมื่อหันกลับไปก็เห็นจิรัฐยืนเท้าสะเอวบ่นพึมพำอยู่ข้างชุดโซฟารับแขก อ่านปากได้ว่า ‘มานอนเชี่ยไรอยู่ตรงนี้’
“เห็นปะมึง กูบอกแล้วว่าแม่งก็หลับอยู่แหละ ไม่ตายห่าง่าย ๆ หรอก”
“เออ ๆ มึงเทโจ๊กดิ๊ กูจะลองปลุกมันดู”
“แล้วตัวมันยังร้อนปะ ไหนกูลองจับดิ๊”
ว่าพลางปรี่เข้าไปจะวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อน แต่ก็โดนคนที่ยืนอยู่ก่อนปัดมือไล่
“กูก็จับเป็น มึงอะไปเทโจ๊ก”
“ครับ ๆ หวงเป็นเมียเลยมึงนี่”
แซวเสร็จก็รีบเดินหนีก่อนจะโดนหน้าแข้งฟาดใส่ คอนโดของมิ่งเมืองก็มีแพทเทิร์นคล้าย ๆ กับที่อื่นวศิณจึงหาห้องครัวเจอได้ไม่ยาก เขาหยิบชามกับจานสำหรับรองขึ้นมาจากที่วางจานบนเคาน์เตอร์ ขณะมองหาช้อนส้อมอยู่นั้นสายตาไปก็สะดุดเข้ากับผ้าขนหนูผืนเล็กสีน้ำตาลอ่อนที่ตากอยู่ตรงระเบียง ดูจากการทิ้งตัวของผ้าแล้วน่าจะยังเปียกมากอยู่เหมือนเพิ่งถูกนำมาตากใหม่ ๆ วศิณลงมือแกะหนังยางที่รัดปากถุงโจ๊ก และตะโกนถามเพื่อน
“ไอ้เกื้อ สรุปไอ้มิ่งไหวป่าววะ”
“เออ ตัวไม่ร้อนละ สงสัยแดกยาแล้วได้นอน”
“ปลุกตื่นป่าวมึง ไม่ใช่ตัวเย็น ๆ นี่คือแข็งตายไปแล้วนะ”
“แช่งกูเก่งจังวะไอ้หวัง” ประโยคหลังนี่เป็นเสียงคนป่วยพูดตอบ ตามด้วยเสียงดมฟุดฟิด “โอ้โห ตัวกูอย่างเหม็นอะ อาบน้ำแป๊บได้ปะ พวกมึงแดกไรกันมายังอะ”
“คือจะให้พวกกูแดกโจ๊กเป็นเพื่อนมึง?”
“แดกมาม่าดิวะสัสเกื้อ กูนี้รักปลาดิบแต่มาม่าไม่ขาดเว่ย ลังบนชั้นในครัวอะ ไข่ก็ในตู้เย็นนะ ไปอาบน้ำละ”
พูดจบมิ่งเมืองก็จัดการล็อกตัวเองไว้ในห้องน้ำเสร็จสรรพ จิรัฐด่าเขาไล่หลังที่ไม่ยอมเอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาด้วย ครู่หนึ่งก็ตะโกนบอกว่าแขวนผ้าเช็ดตัวไว้ตรงลูกบิดห้องน้ำพร้อมกำชับไม่ให้อาบน้ำนานจนเกินไป ด้านคนที่บอกว่าจะเข้ามาอาบน้ำยืนเกาะอยู่หน้าอ่างล้างหน้า สายตาเพ่งอยู่ที่เงาในกระจกของผู้บุกรุกซึ่งตอนนี้หน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเขาซะอีก
‘อย่าแอบดู’
มิ่งเมืองทำปากแบบไม่มีเสียงให้อีกฝ่ายอ่าน ก่อนจะเดินเข้าไปในโซนอาบน้ำและกระชากม่านขุ่นให้เลื่อนปิด
เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่เสียดสีดังขึ้นก่อนที่เสื้อจั๊มเปอร์สีดำจะถูกเหวี่ยงลอดใต้ม่านออกมาและตกบนพื้นดังตุบ ตามด้วยเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ และบ็อกเซอร์สีกรมท่าตามลำดับ คนถูกสั่งห้ามมองนั่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่อยู่บนฝาชักโครก
“สัสมิ่ง”
เสียงจิรัฐดังมาจากข้างนอก มิ่งเมืองตะโกนตอบ
“อะไรอีกวะ”
“ที่นี่ไม่มีไดร์เป่าผมไอ้เฟิงให้ยืมแล้วนะโว้ย ไว้หายป่วยค่อยสระนะมึง”
“เออ”
ถึงจะตอบไปอย่างนั้นแต่คนป่วยก็ยังเปิดน้ำใส่ผมตัวเองอยู่ดี คนที่นั่งอยู่บนชักโครกเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้ามาให้อย่างระมัดระวัง
มิ่งเมืองล้างโฟมออกจากหน้าเป็นอย่างสุดท้ายและกำลังปาดน้ำออกจากรอบดวงตาตอนที่ผ้าขนหนูผืนนุ่มลอยมาโปะบนหัว เขาสะดุ้งและหันไปจ้องหน้าคนที่เข้ามาเช็ดผมให้อย่างคาดโทษ
“บอกว่าอย่าแอบดู”
“ไม่ได้แอบ” อีกฝ่ายสวน “เช็ดตัวเองไป อย่าให้เหลือน้ำซักหยดนะ”
คนถูกสวนกัดฟันกรอด
“เสือกจังวะ”
“ก็ยังไม่สบาย จะเสือก”
“บอกให้กลับทำไมไม่กลับ เดี๋ยวพวกไอ้เกื้อมาเจอเข้าจะทำไง”
“ก็เงียบสิจะได้ไม่มาเจอ”
“นี่--“
เสียงเคาะประตูทำให้ทั้งสองตัวแข็งทื่อ
“ไอ้มิ่ง ไวหน่อยดิ๊ โจ๊กเย็นหมดแล้วโว้ย”
รอบนี้เป็นเสียงวศิณ คนถูกเร่งร้องเออตอบก่อนจะแย่งผ้าขนหนูมาจากมือคนตรงหน้า
“เช็ดเอง”
คนโดนแย่งงานยืนมองมิ่งเมืองเอาผ้าโปะหัวตัวเองและพันผ้าเช็ดตัวรอบเอวอย่างรำคาญใจ
“เช็ดก็ไม่แห้ง เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
“ก็ปล่อยให้ไม่สบายไปสิ เลิกยุ่งไม่เข้าเรื่องซะที”
“ก็นายไม่ยอมดูแลตัวเองให้มันดี ๆ ฉันก็ต้องยุ่งสิ”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นายจะแคร์ไปทำไม”
คำพูดนั้นทำเอาคนฟังเถียงไม่ออก
แค่จูบกันสองสามครั้งเขาก็ลืมไปแล้วว่าตนกับมิ่งเมืองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะห่วงหรือหวงกันได้
“พอได้แล้ว”
มิ่งเมืองว่าก่อนจะดึงประตูเปิดและสาวเท้าออกไป
++++++++++
เอาปากเป่าครั้งเดียวทำให้กาวแห้งไม่ได้ฉันใด พักผ่อนคืนเดียวก็ไม่ได้ทำให้คนหายป่วยได้ฉันนั้น แอร์ในออฟฟิศที่เปิดไว้เย็นฉ่ำสำหรับคนอื่นทำให้มิ่งเมืองรู้สึกเหมือนอยู่ในขั้วโลก เสื้อกันหนาวตัวโคร่งที่ชวินทร์เอามาให้ใส่ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปใหญ่
สำคัญกว่าความอ่อนแอต่อสภาพแวดล้อมปกติในที่ทำงานก็อาการหัวไม่แล่นนี่แหละ ตั้งแต่เช้าถ้าไม่ได้วศิณคอยช่วยงานเขาก็ไม่เดินเองเลยซักนิด ถ้าเป็นแบบนี้เขายอมลางานครึ่งบ่ายกลับไปนอนซมที่คอนโดจะดีกว่ามั้ยนะ
ระหว่างกำลังจ้องหน้าจอระบบลางานสำหรับพนักงาน (ที่เขากับจิรัฐช่วยกันทำนั่นแหละ) จิรัฐก็สะกิดเขาจากข้างหลัง
"จะกลับไปพักเหรอมิ่ง"
"เออ หัวไม่เอางานเลยว่ะตอนนี้ ไอ้หวังช่วยกูเยอะเชี่ย ๆ"
"มิ่ง"
จิรัฐทำน้ำเสียงเคร่งขรึมผิดแผกไปจากปกติ มิ่งเมืองกะพริบตาปริบ ๆ
"เออ กูฟังอยู่"
"วันนี้ไปนอนห้องกู ห้องไอ้หวัง หรือห้องไอ้เฟิงคนใดคนนึงมั้ย สมมติมึงตายห่าขึ้นมาจะได้ไม่ต้องขึ้นอืดในห้องสามวันค่อยมีคนไปพบศพนะเว่ย"
คนฟังยิ้มแห้ง
"ขยันต่ออายุให้กูจังวะ"
"ตอบก่อน กูจริงจังมาก มึงมองตากูมึงจะเห็นความจริงจังในนั้น"
แววตาน่ะจริงจัง แต่แว่นตาเนี่ย อืม
จิรัฐอมยิ้มเมื่อเห็นหน้าซีด ๆ ของเพื่อนขำพรืด
"ว่าไงมึง ตกลงปะ"
"เออ ๆ กูยอมให้ความจริงจังของมึงละ"
"งั้นตกลงคืนนี้มึงนอนห้องกูนะ"
(วศิณกับชวินทร์แอบกลอกตาอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ)
"เออ ๆ"
"งั้นเดี๋ยวเที่ยงกูไปส่งมึงที่ห้องกูแล้วค่อยกลับมาตอนบ่าย--"
ประโยคปิดจ๊อบของจิรัฐถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู เมื่อประตูแง้มออกใบหน้าที่สาว ๆ ทั้งออฟฟิศหลงรักของลภัช เด็กฝึกงานก็โผล่ตามมาพร้อมกับแจกยิ้มสดใส
"พี่มิ่ง พี่หมิงเรียกให้ไปช่วยดูคอมหน่อยฮะ"
"มิ่งมันไม่ค่อยสบายอะ พี่ไปดูแทนแล้วกันนะ" จิรัฐว่า
"พี่หมิงบอกว่าคราวที่แล้วพี่มิ่งเป็นคนช่วยดูเรื่องนี้ให้อะฮะ อยากให้พี่มิ่งไปดูเองน่าจะเร็วกว่า"
"งั้นบอกหมิงว่า--"
"ไม่เป็นไรเกื้อ เดี๋ยวกูไปดูเอง"
มิ่งเมืองตัดบทพลางพับจอโน้ตบุ๊กลงและเลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลภัชเดินด้วยท่าทางร่าเริงอยู่ค่อนไปด้านหน้าของเขา มือซ้ายถือแก้วชาไข่มุกเจ้าดังที่ชวินทร์เพื่อนเขาคอยสั่งให้อยู่ทุกวัน ความรักของใคร ๆ ก็เรียบง่าย รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก ตอนรักหวานก็หวาน ตอนรักจางก็ขม เป็นอย่างนี้สลับวนเวียนกันไป
เขาก็อยากให้ความรักของตัวเองเรียบง่ายอย่างนั้นบ้างเหมือนกัน
"พี่หมิง พี่มิ่งมาแล้วฮะ"
ทำหน้าที่ของตนเสร็จลภัชก็กลับไปที่โต๊ะของตัวเองด้านนอก ในห้องมีเพียงพิงค์ธารนั่งรอพนักงานฝ่ายไอทีอยู่บนเก้าอี้นวมข้างประตูแผนก เมื่อเห็นมิ่งเมืองเดินเข้ามาก็ชี้ไปที่โต๊ะทำงานของตนซึ่งมีจอคอมพิวเตอร์เปิดค้างอยู่ ฝ่ายไอทีหนุ่มเลิกคิ้ว
"นี่มันก็ปัญหาเดิม ทำเป็นแล้วนี่"
พิงค์ธารสั่นหัวแล้วชี้ซ้ำ
"ดูดี ๆ"
มิ่งเมืองขมวดคิ้ว
"อะไร--"
เขาชะงักกึก
"ทิ่มตาขนาดนี้ เป็นงูก็ฉกไปแล้ว"
พิงค์ธารว่า ศีรษะพยักเพยิดไปที่ขวดน้ำแร่เอเวียงที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะทำงาน
"ซื้อมาเหรอ"
"ฉันมีปัญญาซื้อเองมั้ยล่ะ"
ไม่น่าถามเลย ความหงุดหงิดไม่มีที่มาก่อตัวขึ้นในอกมิ่งเมืองเป็นหมอกสีเทาทึม ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กฝึกงานอีกคนหนึ่งแวบเข้ามาในความคิด
"มีลังว่างมั้ย"
พิงค์ธารพยักหน้าและเดินไปหยิบลังที่เตรียมไว้มาให้ ระหว่างที่ฝ่ายไอทีกำลัง 'แก้ปัญหา' ให้อยู่นั้นตัวเขาเองก็ลอบยิ้มจนฟันเขี้ยวโผล่ มิ่งเมืองยังเหมือนเดิมจริง ๆ ถึงจะทำตัวกระด้างกระเดื่องเฉพาะกับเขามากขึ้นขนาดไหนสุดท้ายก็ยังเป็นเหมือนเดิม
มิ่งเมืองเก็บขวดน้ำใส่ลังจนเกลี้ยงห้อง ขณะที่กำลังหอบหิ้วเอาลังน้ำออกไปพิงค์ธารก็เรียกเขาไว้
"หมิง"
เขาถอนหายใจอย่างหัวเสีย
"อะไรอีก"
"เป็นไข้ก็กินน้ำเยอะ ๆ นะ จะได้ช่วยลดไข้"
มิ่งเมืองเม้มปากและส่งเสียงในลำคอตอบ
"ส่วนยา ฉันเอาใส่กระเป๋าช่องเล็กของนายไว้--"
"เห็นแล้ว"
"ส่วนจูบ--"
พิงค์ธารตัดบทตัวเองด้วยการประกบปากเข้ากับริมฝีปากซีด ๆ ของคนที่สองมืออุ้มลังใส่น้ำไว้แนบตัวทำให้นอกจากการถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วก็ไม่มีวิธีจะขัดขืน
รสกาแฟขมปร่าแล่นเข้ามาในปากมิ่งเมือง เมื่ออีกฝ่ายถอนจูบออกเขาก็เม้มปากแน่น บางทีเขาก็เกลียดรอยยิ้มซุกซนบนหน้าของคนตรงหน้าเหลือเกิน เขาหลงรักอีกฝ่ายจากรอยยิ้มแบบนี้ได้ยังไงกันนะ คิดแล้วมิ่งเมืองก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วรีบ ๆ ออกเดิน ในหัวนึกหาที่ซ่อนลังให้พ้นสายตาเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ
ไม่ได้เป็นอะไรกันแท้ ๆ
ก็แค่คนที่จูบกันครั้งสองครั้ง สามครั้ง แล้วก็สี่ครั้งแล้วเท่านั้นเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in