Title : Lost Sandbar
Pairing : Xu Fangzhou x Yao Chi x Li You
Song : 徐佳莹 Lala Hsu《失落沙洲》
++++++++++
วันนี้ท้องฟ้าแทบจะปลอดเมฆ มีเพียงเมฆก้อนจิ๋วลอยอยู่สามสี่ก้อน แน่นอนว่าเมฆเพียงแค่นั้นไม่เพียงพอจะบดบังพระอาทิตย์สว่างจ้าที่ลอยอยู่สูงบนนั้นได้ แสงตอนเก้าโมงเช้าส่องให้เห็นหาดทรายสีขาวรอบ ๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวของชายร่างเล็กที่นั่งหันหน้าเข้าหาทะเลอยู่บนลังไม้ตรงสุดท่าเรือ ดวงตาที่จับจ้องไปยังภาพวาดสีน้ำบนกระดานที่ถืออยู่ในมือ และปลายพู่กันที่ชะงักอยู่ห่างจากกระดาษราวสองนิ้วเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนจากด้านหลัง
“หนี่หนิว!”
คิ้วซ้ายของคนถูกเรียกกระตุก ตามด้วยมุมปากขวาที่ทำให้เกิดรอยบุ๋มเล็ก ๆ บนแก้ม เขาวางของในมือทั้งสองลงก่อนจะหมุนตัวกลับไปพลางคำราม
“ต้องให้พูดกี่ครั้งว่าฉันชื่อหลี่โหยว--”
เสียงของหลี่โหยวขาดห้วงหายไปเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ด้านหลังสวีหลงฮั่น รุ่นน้องตัวป่วน
“หวัดดีหลี่โหยว”
“สวีฟางโจว...” กับเหยาฉือ เขานึกในใจ มือขวาเลื่อนกระดานวาดรูปให้เข้าไปหลบอยู่หลังลังไม้กองสูง
ฟางโจวในเสื้อเชิ้ตขาวแบบเดียวกับเขาส่งยิ้มทักทาย ในมือซ้ายถือช่อดอกกุหลาบหลากสีที่มัดเข้าด้วยกันด้วยริบบิ้นสีขาว ส่วนขวามือคือเหยาฉือที่กำลังโบกมือให้เขาอย่างตื่นเต้น
“พี่หลี่โหยว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
นานมากด้วย หลี่โหยวคิดต่อ แต่บางทีกับเหยาฉือมันคงไม่ได้นานขนาดนั้น
หน้าจอที่แสดงภาพได้ดีที่สุดในโลกตอนนี้คือดวงตาของมนุษย์ ดังนั้นวิธีการซึมซับบรรยากาศและทิวทัศน์รอบข้างที่ดีที่สุดจึงยังคงเป็นการมองมันด้วยตาเปล่า
สองปีก่อน ตั้งแต่คบกับเหยาฉือหลี่โหยวก็เลิกรับเป็นนายแบบ คนที่เขาให้สิทธิ์ในการถ่ายรูปก็มีเพียงแฟนหนุ่มเท่านั้น หลายครั้งหลี่โหยวแอบชักสีหน้าตอนที่เห็นเหยาฉือยกกล้องขึ้นบันทึกภาพเวลาไปเที่ยวด้วยกัน ทำไมไม่แค่เดินจับมือกันเฉย ๆ ล่ะ มือซ้ายแทนที่จะประคองกล้องก็เอามาประสานนิ้วกับมือขวาของเขาไม่ดีกว่ารึไง มองสันทรายรอบ ๆ กับท้องฟ้ากว้าง สูดกลิ่นลมทะเลเค็ม ๆ เข้าไปให้เต็มปอดด้วยกัน เขาเบื่อที่จะมองเลนส์ดำ ๆ ของกล้องเต็มทีแล้ว มองหน้าเขาด้วยตาสีดำคู่นั้นที่เขารักมันมากสิ ยิ้มกว้าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันได้ไหม
คำตอบว่า “ได้” ของเหยาฉือลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่สวีฟางโจวเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ที่สตูดิโอ เวลาที่หลี่โหยวไม่ได้เปิดคลาสสอนศิลปะเขาก็พยายามหาเวลามาใช้ร่วมกับเหยาฉือเรื่อย ๆ แต่เป็นช่างภาพหนุ่มเองที่เอะอะก็เข้าสตูดิโอ ขลุกตัวอยู่กับฟางโจวจนดึกดื่น ไม่รู้ทำอะไรกันบ้าง หลี่โหยวเองก็พยายามไม่ก้าวก่ายการงานของคนรัก
ไม่ก้าวก่าย จนกระทั่งถูกบอกเลิกด้วยเหตุผลอันเรียบง่าย
“เราไม่ใช่ความสุขของกันและกันอีกต่อไปแล้ว”หลี่โหยวฝืนยิ้มตอบ สายตาเหลือบมองช่อดอกไม้ในมือสวีฟางโจว
“มาเดทเหรอ”
“เฮ้ พี่เห็นฉันยืนหัวโด่อยู่นี่ป่าวเนี่ย” สวีหลงฮั่นชี้ที่ตัวเอง “ไอ้สองคนนี้มัน--”
“อื้อ” เหยาฉือพูดแทรก ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มที่หลี่โหยวคุ้นเคย “ที่นี่สวยน่ะ บรรยากาศดี”
หน้าจอที่แสดงภาพได้ดีที่สุดในโลกตอนนี้ก็ยังคงเป็นดวงตาของมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นดวงตาที่มีน้ำตาบดบังก็ตาม ภาพรอยยิ้มตรงหน้าก็ยังชัดเจนเหลือเกิน หลี่โหยวกะพริบไล่น้ำใส ๆ ออกจากสองตาและฉีกยิ้มกลับ
“งั้นเหรอ”
“เดี๋ยวพวกเราจะไปกินข้าวในเมืองกัน สนใจไปด้วยกันมั้ย”
ทำไมถึงได้พูดเรื่องใจร้ายออกมาได้ทั้งที่ยิ้มสดใสขนาดนั้นอยู่นะ หลี่โหยวกำหมัดหลวม ๆ
“ไม่เป็นไรอะ ยังวาดรูปไม่เสร็จเลย”
“ว้า เสียดายจัง ไว้ว่าง ๆ เรานัดกินข้าวกันนะ”
“อืม”
ทักทายกันตามมารยาทเสร็จเหยาฉือก็ลากแขนฟางโจวกลับไปทางลานจอดรถ หลงฮั่นบอกลาเขาสองสามคำก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อนไป
ไว้ว่าง ๆ นัดกินข้าวน่ะเป็นประโยคที่หลอกลวงที่สุดในโลกแล้ว หลี่โหยวทรุดตัวลงนั่งบนลังไม้ลังเดิม เบือนหน้าหนีจากแผ่นหลังคนสามคนที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ไปยังทะเล แดดส่องกระทบคลื่นน้ำเห็นเป็นประกายสีเงินวิบวับ จู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็ดูเจิดจ้าจนแทบทำตาเขาบอด ร่างเล็กยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาลวก ๆ
แสงจ้าที่เขากลัว ตอนนี้ถึงจะกลัวมากจนเป็นลมตกน้ำไปก็ไม่มีแขนยาว ๆ ของใครมาดึงตัวไว้แล้ว
อดีตคนรักของเขาดูมีความสุขดีแล้ว เขาเองก็ต้องอยู่คนเดียวต่อไปให้ได้
++++++++++
“จะไม่อธิบายจริง ๆ เหรอ”
สวีฟางโจวยกมือเสยปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าผากพลางถามเหยาฉือด้วยสีหน้าเป็นห่วง และได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มปกปิดความเศร้า
“เขาเข้าใจอย่างนี้แหละดีแล้ว” เหยาฉือว่า “คนที่ทำให้เขามีความสุขได้ไม่ใช่ผมหรอก”
“แต่ตอนนี้พวกนายก็ไม่เห็นจะดูมีความสุขกันซักหน่อย นายดูดี ๆ สิ”
“ผมรู้ พี่ฟางโจว ผมดูก็รู้ว่าพี่หลี่โหยววาดรูปอะไรอยู่...”
หยาดน้ำเล็ก ๆ ก่อตัวในดวงตาของเหยาฉือ ภาพวาดที่อยู่บนกระดานไม้ที่หลี่โหยวถืออยู่ เขาเห็นมันเต็มตาก่อนที่อีกฝ่ายจะวางมันลง
ภาพสันทรายที่เคยมองเห็นได้จากท่าเรือนั้น สันทรายที่บัดนี้ถูกน้ำทะเลกลืนหายไปแล้ว ในภาพวาดนั้นหลี่โหยววาดมันขึ้นมาจากความทรงจำ และที่ปลายพู่กันกำลังแต้มลงไปเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่สวีหลงฮั่นจะส่งเสียงเรียกก็คือเงาของคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกันมองทะเล นั่นคือภาพที่อยู่ในความทรงจำของหลี่โหยว
ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในความเป็นจริงซักอย่าง
กระดาษทิชชู่สองแผ่นถูกยัดใส่มือเหยาฉือ ฝ่ามือที่กร้านน้อย ๆ ของฟางโจวลูบหลังมือเขาอย่างปลอบโยน
“ร้องไปเถอะ เดี๋ยวกลับไปถึงสตูแล้วค่อยเติมหน้าเอาก็ได้”
“อื้อ”
“ว่าแต่ดอกไม้ช่อนี้นายจะมีที่เก็บเหรอ” ฟางโจวถามพลางชูช่อกุหลาบในมือขึ้น “ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดอกไม้แสดงความยินดีของนายเต็มสตูไปหมด”
“พี่ก็เอาไปใส่แจกันที่ออฟฟิศใหม่สิ แช่น้ำ ใส่น้ำตาลซักหน่อย” เหยาฉือตอบพลางเอื้อมมือข้างที่ว่างออกไปลูบกลีบกุหลาบเบา ๆ “ตอนที่มันยังสวยงามอยู่ก็ชื่นชมมันให้เต็มที่เถอะพี่”
ทิชชู่สองแผ่นถูกใช้ซับน้ำหูน้ำตาจนคุ้ม เหยาฉือหันไปหย่อนมันใส่ถุงขยะบนพื้นรถ เมื่อหันกลับมาทิวทัศน์สุดท้ายของทะเลก็ลับหายไปทางหลังรถ ตาคมหลุบลงมองพนักพิงสีเทาของเบาะนั่งข้างคนขับ มุมปากยกยิ้มขม ๆ
“แล้วสรุปที่จะบินศุกร์นี้จะไม่ให้ฉันไปส่งจริง ๆ เหรอ”
เสียงฟางโจวที่เอ่ยถามสะท้อนกับหน้าต่างรถ ดูเหมือนเจ้าตัวจะเหลียวมองตามวิวทะเลที่ถูกรถวิ่งฉิวทิ้งไว้เบื้องหลังอยู่ เหยาฉือสั่นหัวแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองอยู่
“ไม่เป็นไรอะครับ พี่อยู่ดูออฟฟิศดีกว่า ผมไปไม่นาน แค่นี้เอง”
“ไม่นานอะไรกันพี่ หลักสูตรสองปีเนี่ยนะไม่นาน” สวีหลงฮั่นพูดกลั้วหัวเราะมาจากหน้ารถ “แล้วทำมาพูดอย่างกับฝรั่งเศสอยู่หลังบ้าน ผมยังกลัวตัวเองจะนอนร้องไห้คิดถึงพี่อยู่เลยเนี่ย”
เหยาฉือหัวเราะผสมโรงเป็นกำลังใจให้หนุ่มรุ่นน้องที่พยายามทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้น สวีฟางโจวมองใบหน้ายิ้มแย้มที่มีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ
“จะไม่บอกเขาจริง ๆ น่ะเหรอ”
“หืม บอกอะไรใครนะครับ” เหยาฉือถาม บนหน้ายังยิ้มค้าง
“บอกหลี่โหยวเรื่องนายจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสเนี่ย”
รอยยิ้มเลื่อนหลุดจากใบหน้าคนถูกถาม
“รอก่อนเถอะครับ...”
ทิวทัศน์ของทะเลหายไปจนหมดแล้ว ไม่ต่างกับสันทรายในภาพวาดภาพนั้น
ภาพถ่ายของหลี่โหยวที่เขาถ่ายมาจากสันทรายแห่งนั้นยังไม่เคยออกมาจากห้องล้างรูป ใบหน้าที่ยิ้มแย้มบ้าง มองค้อนบ้าง ยังคงเรียงรายอยู่บนราวตากในห้องมืด
ให้หลี่โหยวเข้าใจว่าเขาเป็นคนใจร้ายไปก่อน รอให้คนตัวเล็กดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เขาเห็นตอนนี้เสียก่อน
รอให้ใครซักคนเข้ามาทำให้หลี่โหยวมีความสุขได้จริง ๆ เสียก่อน รอให้ถึงตอนนั้น บางทีเขาอาจจะวางใจให้หลี่โหยวรู้
“เราไม่ใช่ความสุขของกันและกันอีกต่อไปแล้ว”
แท้จริงแล้วไม่ใช่คำโกหกไปเสียทีเดียว หากแต่คำว่าเรานั้นจะไม่นับหลี่โหยวเข้าไปด้วย
หลี่โหยวยังคงเป็นความสุขของเขา ตั้งแต่วันแรก และเสมอมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in