ผู้เขียน : โรเบิร์ต บี ชาลดินี
สำนักพิมพ์ : นกฮูก
จำนวนหน้า : 364 หน้า (ไม่รวมหน้า note เพิ่มเติม)
ราคา : 290 บาท
ซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะเจอมันลดราคาจาก 290 บาท เหลือ 100 บาท พอจับหนังสือครั้งแรกแอบคิดในใจว่า "เราจะอ่านไปทำไมเนี่ย ไม่ได้ทำอาชีพนักโฆษณา นักการเมือง หรืออาชีพที่ต้องจูงใจคนอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย"
แต่ก็อ่านจบจนได้ ใช้เวลาอ่านเป็นสัปดาห์กว่าจะจบ
หนังสือที่เนื้อหาหนักๆและดูไกลตัวเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า การโน้มน้าวใจนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด แน่ล่ะ ผู้คนต่างถูกชักจูงให้ซื้อสินค้าอยู่แล้วจากทุกช่องทางการโฆษณาในทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ใช่แค่การขายสินค้าหรอกที่พยายามโน้มน้าวจิตใจผู้บริโภค ตัวผู้บริโภคนี่ก็ต่างสรรหาวิธีมาโน้มน้าวใจผู้บริโภคกันเองอยู่น้อยไปเสียเมื่อไหร่
งงเหรอ ... งั้นเปลี่ยนคำใหม่ ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คน เราต่างมีการหว่านล้อมกันและกันอยู่บ่อยๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าแต่อย่างใด เช่น
เจ้านายขอให้ลูกน้องช่วยทำโอทีเพิ่ม
เพื่อนร่วมงานจอมเอาเปรียบจะวานให้ทำงานบางอย่างให้
ลูกชายตัวแสบกำลังชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อขอซื้อมือถือเครื่องใหม่
ฯลฯ
ดูเหมือนว่า แค่ต้องปะทะสัมพันธ์กับคนอื่น ก็หนีการโน้มน้าวและจูงใจคนไม่พ้นเสียแล้ว
นอกจากชี้ให้เห็นว่าการโน้มน้าวและจูงใจนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด หนังสือเล่มนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการพูดหว่านล้อมเหล่านี้มีเทคนิคอะไรบ้าง และคนที่ตกหลุมพรางเทคนิคเหล่านี้นั้น เขาตกหลุมพรางเพราะอะไร ทั้งยังเสนอแนะวิธียับยั้งชั่งใจไม่ให้หลงใหลไปกับเทคนิคเหล่านั้น ที่ตลกก็คือ ผู้เขียนออกตัวเองก่อนเลยว่า แม้เขาจะเขียนหนังสือสอนเรื่องเทคนิคโน้มน้าวจิตใจคนเล่มนี้จนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ตัวเขาเองก็ตกเป็นเหยื่อการโน้มน้าวจิตใจในรูปแบบต่างๆเช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากคนในครอบครัวหรือการโฆษณาขายสินค้า แถมยังยกตัวอย่างการเสียรู้ของตัวเองมาให้อ่านอีกด้วย อย่างน้อยๆก็สามครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็บอกอีกน่ะแหละว่า เขาคงเสียรู้ได้อีกหลายครั้ง
ตัวอย่างการเสียรู้ครั้งหนึ่งของผู้เขียนก็คือ เขาเคยเจอลูกเสือตัวน้อย เข้ามาหา ครั้งแรกน้องถามเขาว่าต้องการซื้อตั๋วเข้าชมอะไรสักอย่างหรือไม่ ผู้เขียนปฏิเสธไป น้องจึงถามใหม่ว่า งั้นซื้อขนมที่น้องขายไหม ราคา...เอง ผู้เขียนก็ตกลง เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงนึกขึ้นได้ว่า นี่ตกหลุมพรางการขายของเข้าอีกแล้วไง (นี่คือเทคนิคอย่างหนึ่งเช่นกัน มีอธิบายไว้แล้วในเล่ม)
ในมุมหนึ่ง เราต้องสรรหาเหตุผลร้อยแปดมาพูดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ต้องระวังตัวไม่ให้หลงกลเทคนิคในการโน้มน้าวใจของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเทคนิคที่พิจารณาแล้วพบว่า ยังไงๆก็เสียเปรียบหากตอบตกลง
หนังสือหนาๆ เนื้อหาหนักๆ เล่มนี้ จึงให้มุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะในแง่ของการเป็นผู้กระทำ(ผู้โน้มน้าว) หรือผู้ถูกกระทำ(ผู้ถูกโน้มน้าว) เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตคนๆหนึ่งคงหลีกพ้นการต้องร้องขอหรือถูกร้องขออย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ คงจะดีกว่าหากเราสามารถโค้ชตัวเองให้รับมือกับการโน้มน้าวและจูงใจคนได้ ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งใดของปลายเชือกแห่งการเจรจาก็ตาม
เพราะฉะนั้น หากคุณคิดว่า ตนเองน่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิชามารอันเกี่ยวกับเจรจาต่อรอง เป็นต้นว่า เป็นเซลล์ขายของ ที่ต้องการจะอัพสกิลการพูดจาและทำยอดขายให้สูงขึ้น หรืออีกมุมหนึ่ง หากรู้สึกว่าเดินผ่านตลาดทีไรไม่เคยรอด โดนแม่ค้าตกจนซื้อของติดไม้ติดมือกลับมาทุกที แล้วก็มานั่งบ่นตัวเอง(แย่กว่านั้นคือ โดนคนที่บ้านบ่น)ว่า ซื้อของชิ้นนี้มาทำไม (วะ?) บางที คุณอาจสนใจหนังสือเล่มนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่เพียงนำเสนอเทคนิคจูงใจที่บรรดานักเจรจาต่อรองมีไว้เท่านั้น แต่ยังสอดแทรกเทคนิคที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่า counter-attack หรือเทคนิคทำใจแข็งไม่ให้ตกเป็นเหยื่อวิชามารเหล่านี้ได้ง่ายเกินไปอีกด้วย
ถ้าสนใจก็ลองหาข้อมูลหนังสือเพิ่มเติม และ/หรือ แวะไปลองอ่านได้ ที่ร้านหนังสือใกล้บ้านนะคะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in