ถึงแม้จะเริ่มงานในตำแหน่งใหม่มาได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ชินสักที...ไม่ใช่เรื่องงานหรอกนะคะที่ฉันมีปัญหา เรื่องนั้นน่ะฉันปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว โชคดีที่ฉันทำงานที่นี่มาหลายปีก็เลยค่อนข้างคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานทั้งฝ่ายเดียวกันและต่างแผนกดี เวลาประสานงานอะไรก็เลยไม่ค่อยติดขัดส่วนเรื่องติดต่อลูกค้าซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ฉันก็ไม่มีปัญหา (แต่ถ้าเป็นภาษาอื่นก็ไม่แน่แหะๆ)
ถ้าอย่างนั้นเรื่องอะไรที่ฉันไม่ชินน่ะเหรอคะ ก็เรื่องหัวหน้าของฉันเนี่ยแหละค่ะ...นายธี ไม่ใช่สิ เดี๋ยวนี้ฉันต้องเรียกเขาว่า ‘คุณธี’ แล้วต่างหาก แต่ก็เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อเก้าปีก่อนอีกครั้ง แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ารับมือกับธีคนนี้ได้ยากกว่าเมื่อก่อนก็ไม่รู้ ทั้งที่คิดว่าหลังจากผ่านไปนานขนาดนี้ ฉันคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้วแท้ๆ
นี่ถ้าเขาโกรธเกลียดฉันจนไม่พูดจากันเหมือนเดิม (อย่างที่ฉันเคยคิดว่าน่าจะเป็น) แล้วเรากลายเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องกันจริงๆ หรือไม่ก็ลืมฉันไปเลย (อย่างที่ฉันคิดตอนเจอกันครั้งแรก) ก็อาจจะดีกว่านี้ เพราะตั้งแต่เจอกันอีกครั้งจนถึงตอนนี้ ธีทำฉันสับสนกับตัวเองไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จากที่ตั้งใจจะสนใจแต่เรื่องงานก็เลยพานไขว้เขวไปซะทุกที
อย่างตอนแรกที่ฉันคิดว่าเขาจำฉันไม่ได้ (ไม่ใช่ความผิดของฉันคนเดียวนะคะ ก็เขาอยากพูดจาเข้าใจยากเองทำไมล่ะ กลัวคนไม่รู้หรือไงว่าเรียนจบอะไรมา) แล้วเขาถามกลับมาว่า ‘ทำไมถึงคิดว่าจะลืมได้’ นั่นน่ะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาหมายถึงเรื่องตอนที่เรายังคุยกันดีหรือหลังจากนั้น โชคดีที่ฉันไม่ต้องตอบคำถามนี้เพราะคุณวิชัยเข้ามาขัดจังหวะพอดี แต่หลังจากนั้นธีก็สั่งให้จัดห้องทำงานใหม่...แค่เอามู่ลี่ที่กั้นห้องออกฉันก็แย่แล้ว นี่ยังจะหันโต๊ะทำงานมาทางห้องฉันอีก แล้วฉันจะบอกได้ยังไงล่ะคะว่าปัญหาคือฉันไม่มีสมาธิจะทำงานถ้าต้องอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลาแบบนี้ ในขณะที่เขาอธิบายการกระทำของตัวเองได้ทุกข้อ ถึงเหตุผลจะฟังดูประหลาดๆ ก็เถอะ สุดท้ายฉันก็เลยต้องนั่งทำงานอยู่อย่างนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่เริ่มทำงานด้วยกัน ฉันก็ได้รู้ว่าเมื่อสมัยเรียนเขาเคยขยันยังไง ตอนนี้ยิ่งขยันกว่าเดิมอีกหลายเท่า ธีมาทำงานตั้งแต่เช้า กว่าจะเลิกงานก็เย็นย่ำค่ำมืด อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งมารับงานใหม่ก็เลยมีงานต้องศึกษาเยอะเป็นพิเศษ แล้วผู้ช่วยอย่างฉันจะมาทีหลังกลับก่อนได้ยังไงใช่ไหมคะ พอมาทำงานแต่เช้าเหมือนกัน ฉันเลยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“ธี กินอะไรมาหรือยัง” ฉันเคาะประตูห้องเขาก่อนจะโผล่หน้าเข้าไปถามคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับแฟ้มเล่มโต ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ผิดจากที่คิด
“เรากินกาแฟมาแล้วเมื่อเช้า แพรมีอะไรเหรอ”
“รอเดี๋ยวนะ” ฉันเดินกลับมาเปิดกล่องอาหารเช้าที่แม่ทำมาให้ แบ่งใส่จานให้ธีครึ่งหนึ่ง ปกติฉันจะทานข้าวเช้ามาจากบ้านค่ะ ยกเว้นวันที่ดูท่าว่าจะสายก็จะเอาใส่กล่องมาทานที่ทำงานแทน
“ตอนเช้ากินแต่กาแฟมันไม่พอหรอกนะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะกันพอดี” ฉันยื่นจานแซนด์วิชทูน่าสองชิ้นกับแก้วน้ำเปล่าให้ธี (โชคดีที่แม่ฉันชอบทำอาหารทีละเยอะๆ ก็เลยมีพอมาแบ่งให้เขานะคะเนี่ย)
“ว่าแต่ธีกินแซนด์วิชทูน่าได้หรือเปล่า”
ธียิ้ม ด้วยรอยยิ้มแบบที่เคยทำให้ฉันมองค้างเมื่อนานมาแล้ว และวันนี้มันก็ยังส่งผลกับฉันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสายตาที่เขามองมาครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
...เป็นอะไรไปเนี่ยยัยแพร เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นขนาดนี้เลยนี่นา
“ได้ครับ แพรก็ยังไม่ได้กินเหมือนกันใช่ไหม มากินด้วยกันสิ” เขารับจานไปแล้วเอ่ยชวน ก่อนจะเดินนำไปตรงมุมนั่งเล่นเล็กๆ ที่ใช้รับแขกได้ด้วย ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าพอเห็นเขายิ้มแบบนี้ทีไรทำไมถึงไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลยสักที
“อร่อยไหม” ฉันถามอย่างลุ้นๆ เมื่อเห็นธีทานหมดไปหนึ่งชิ้นโดยไม่พูดอะไร ที่จริงฉันแค่อยากหาเรื่องคุยกลบเกลื่อนอาการเขินแปลกๆ ของตัวเองมากกว่าค่ะ ก็ใครให้เขานั่งทานไปมองหน้าฉันไปแบบนี้ล่ะ...หน้าฉันก็ไม่ได้เหมือนแซนด์วิชสักหน่อย
“อร่อยมาก แพรทำเองเหรอ”
“เปล่า ฝีมือแม่เราต่างหาก นี่ถ้าไปบอกว่ามีคนชมว่าอร่อยคงปลื้มน่าดู สงสัยพรุ่งนี้จะคิดเมนูใหม่มาให้ชิมอีกแน่ๆ...เอ่อ ถ้าธีไม่รังเกียจน่ะนะ” ฉันจบประโยคอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ถึงในใจจะแอบคิดว่าอาจจะเอาอาหารเช้ามาเผื่อเขาทุกวัน เพราะไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือเจ้านาย ฉันก็ไม่อยากเห็นเขาทำงานหนักจนไม่สบายไปซะก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีรับหรือเปล่านี่สิคะ
“รังเกียจอะไร เกรงใจมากกว่า” ธีว่า ยิ้มกว้างใส่ตาฉันอีกครั้งเมื่อบอก “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ พรุ่งนี้ก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”
“ฮื่อ” ฉันรับคำ ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาเขา...ไปยิ้มแบบนี้ไกลๆได้ไหมเนี่ย เห็นแล้วทำอะไรไม่ถูก นี่ฉันแพ้รอยยิ้มของธีจริงๆ ใช่ไหมคะ แต่ดูเหมือนว่าตัวต้นเหตุจะไม่รู้สึกอะไร เพราะเขายื่นมือมาขอกล่องเปล่าจากฉันด้วยท่าทางเป็นปกติ
“เดี๋ยวเราล้างให้เอง ถือว่าตอบแทนเรื่องแซนด์วิชเมื่อกี้”
“ล้างจานแลกข้าวหรือไงเนี่ย” ฉันพึมพำเบาๆ แต่คนที่เดินห่างไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน ก่อนจะหันมาตอบยิ้มๆ ว่า
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ ถ้าแพรทำมาทุกวัน เราก็ล้างให้ทุกวันได้เหมือนกัน”
...ฉันว่าฉันพูดถึงแค่วันพรุ่งนี้นะคะ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนถูกผูกมัดแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้สิน่า
หลังจากวันนั้น ตอนเช้าของฉันก็จะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้ทุกวัน...ทุกวันจริงๆ ตามตัวอักษรเลยค่ะ ถึงแม้ว่าเดิมทีฉันตั้งใจแค่เอาอาหารมาเผื่อธีเฉยๆ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็หาเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องมานั่งทานข้าวกับเขาทุกเช้าได้อยู่ดี
เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้นตอนช่วงใกล้เที่ยง เรียกให้ฉันที่กำลังพิมพ์จดหมายติดต่อลูกค้ารีบกดบันทึกป้องกันไฟล์หาย ก่อนจะละมือมารับสาย
“สวัสดีค่ะ ศรีอาภาพูดค่ะ”
“ว่าไงคะ คุณผู้ช่วยผู้จัดการ ช่วงนี้หายหน้าหายไปเลยนะ ยังสบายดีอยู่ไหม มีเวลามากินข้าวกลางวันกับเพื่อนบ้างหรือเปล่า” ยัยมิ้มทั้งทักทาย สอบถามสารทุกข์สุขดิบ และตั้งคำถามมาครบรวดเดียวจบ จนฉันได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันต้องติดสอยห้อยตามธีไปประชุมหรือไม่ก็พบลูกค้าเกือบทุกวัน เรียกได้ว่าถูกผูกติดอยู่กับเขาตั้งแต่เช้าจนเย็น แทบจะตัดขาดจากเพื่อนๆ ไปโดยสิ้นเชิง
“ก็น่าจะไปได้นะ วันนี้ไม่มีประชุมหรือนัดลูกค้าที่ไหน” ฉันเปิดดูตารางนัดหมายของธีในคอมก่อนตอบเหลือบมองไปทางห้องข้างๆ ก็เห็นเจ้าของห้องนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่เหมือนกัน เขาหันมาสบตาฉันทันทีเหมือนรู้ตัวจนฉันเกือบสะดุ้ง รีบจบการนัดหมายอย่างรวดเร็ว
“จะไปกินอะไรล่ะ...ร้านเดิมเหรอ ได้ๆ แล้วเจอกัน บายจ้า”
หลังจากดูนาฬิกาเห็นว่าเหลือเวลาอีกนิดหน่อย ฉันเลยพิมพ์งานต่อจนเสร็จ ระหว่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าต้องขออนุญาตธีก่อนออกไปไหม เพราะนอกจากตอนเช้าแล้วตอนกลางวันฉันก็ยังต้องทานข้าวกับเขาแทบทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว ถ้าไม่นับวันที่มีประชุมหรืออกไปพบลูกค้า วันที่เหลือธีก็มัวแต่ยุ่งกับงานจนฉันต้องใช้วิธีโทรสั่งห้องอาหารให้ขึ้นมาส่ง (เขาบอกว่าทานข้าวเช้าไปแล้วก็เลยไม่หิว แต่ฉันยืนยันว่าคนเราต้องทานอาหารให้ครบสามมื้อ เขาเลยให้ฉันพิสูจน์ด้วยการทานข้าวกับเขาทุกวัน พอฉันประชดไปว่าทุกวันนี้ฉันทานข้าวกับเขาบ่อยกว่าพ่อแม่ตัวเองอีก ธีก็ยิ้มขำเหมือนชอบใจไปซะอีก) แต่ถ้าจะให้ชวนเขาไปด้วย ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทานได้หรือเปล่านี่สิคะ...ท่าทางคุณชายซะขนาดนั้น
แต่ธีก็ไม่ปล่อยให้ฉันลังเลนาน เพราะเมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง เขาก็เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานฉัน ก่อนจะเอ่ยชวนว่า
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกัน”
“คือว่า เรานัดกับยัยมิ้มไว้แล้วน่ะ” ฉันตอบอย่างเกรงใจ พอเห็นเขาเลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจว่าแล้วการที่เขาจะไปด้วยมันเป็นปัญหาตรงไหน ฉันเลยถอนใจเฮือก อธิบายว่า “ก็ร้านที่จะไปมันเป็นร้านข้างทาง...แบบว่ามุงสังกะสีน่ะนะ ร้อนมากด้วย อาหารก็ตามสั่งธรรมดา ธีจะไปด้วยจริงๆ เหรอ”
“ไม่มีปัญหานี่” ธีพยักหน้ารับ เดินกลับไปถอดเสื้อสูทออกพาดไว้กับเก้าอี้ ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนและพับแขนเสื้อสองข้างขึ้นมาเล็กน้อย “ไปกันเลยไหม เดี๋ยวไปช้า หมดเวลาพักก่อนนะ”
...เอ้า ไปก็ไป ไหนๆ ก็ทำขนาดนี้แล้วนี่นะ ฉันเหล่มองคนที่ทำท่าสบายๆ ไม่เข้าใจว่าถึงจะเปลี่ยนลุคให้ดูธรรมดาขนาดนี้แล้วทำไมยังดูดีอยู่ได้อีก พอเดินมาถึงหน้าลิฟต์ที่นัดกับยัยมิ้มไว้ก็มีอีกเสียงที่คุ้นเคยร้องทักมาว่า
“พี่แพร ไปกันค่ะ...อ้าว คุณธี”
นิรินธน์ หรือยัยหลิน เป็นรุ่นน้องที่ถูกย้ายมาแผนกใหม่พร้อมกับฉัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่แผนกเดิม ฉัน มิ้ม กับหลินสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่พอโดนย้ายมา ฉันกลับไม่ค่อยได้เจอยัยหลินเลย (คงรู้นะคะว่าเพราะใคร) ตอนแรกฝ่ายนั้นดูงงๆปนเกร็งเล็กน้อยที่เห็นธีมาร่วมวงด้วย แต่เพราะความช่างพูดช่างคุยเป็นนิสัย แค่เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทาง ยัยหลินก็ทำความคุ้นเคยกับธีได้อย่างรวดเร็วส่วนธีเองก็ตอบคำถามน้ำไหลไฟดับของยัยหลินอย่างใจเย็น อารมณ์ดี จนรุ่นน้องฉันทำท่าปลาบปลื้มเขาจนออกนอกหน้า นี่ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่ายัยหลินมีแฟนที่รักกันดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังชอบกรี๊ดหนุ่มหล่ออยู่เป็นนิจละก็ ฉันคงคิดว่าเจ้าหล่อนอยากจีบธีแน่ๆ
ยัยมิ้มที่ไปถึงร้านคนแรก เดินลิ่วไปจองโต๊ะสำหรับสี่คนที่กำลังว่างอยู่พอดี ก่อนจะฉุดมือยัยหลินให้นั่งลงข้างๆ เท่ากับบังคับให้ฉันต้องนั่งติดกับธีที่ฝั่งตรงข้ามโดยปริยาย เพื่อนฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหยิบกระดาษมาเตรียมจดรายการอาหารพลางถามว่า
“สั่งอะไรดี เอาเป็นกับข้าวก็แล้วกันนะ ให้เลือกได้คนละอย่าง...เริ่มจากหลินก่อนเลย”
คนข้างๆ ฉันกวาดตามองเมนูยับๆ บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนหนึ่งรอบ ก่อนจะสั่งอาหารหนึ่งอย่างตามการจัดแจงของยัยมิ้ม ท่าทางเขากลมกลืนกับสถานที่กว่าที่คาด แต่เรื่องหนึ่งที่ฉันคิดไม่ผิดก็คือวันนี้อากาศร้อนมาก แถมยังแทบจะไม่มีลม พอเห็นเขาเริ่มปาดเหงื่อ ฉันก็เผลอตัวส่งกระดาษทิชชูที่ถือติดมือมาให้โดยอัตโนมัติ
...ไม่ได้ห่วงอะไรหรอกนะ แค่ไม่อยากให้หาว่าชวนมาแล้วไม่รับผิดชอบเท่านั้นแหละ ฉันบ่นในใจ ไม่ยอมสบตาคนที่เอื้อมมือมารับพลางขอบคุณเบาๆ ก่อนจะนิ่วหน้าใส่ยัยมิ้มที่ยิ้มกริ่มเหมือนคิดอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเข้าท่านัก ขณะที่อีกคนที่เหลือเอ่ยเสียงใสอย่างไม่ทันได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น
“ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณธีจะทานร้านอาหารแบบนี้ได้ด้วย ไหนว่าเพิ่งกลับมาจากอังกฤษไงคะ”
“ผมไปอยู่แค่ไม่กี่ปีเองนี่ครับ ก่อนหน้านั้นก็อยู่เมืองไทยมาตลอด อีกอย่างร้านแบบนี้แถวมหาลัยก็มีเยอะแยะ สมัยเรียนผมยังเคยมากับเพื่อนบ่อยๆ” ธีตอบอย่างสุภาพตามเคย ฉันรู้สึกว่าเขาเหลือบมองมานิดหน่อยเมื่อบอกนุ่มๆ ต่อว่า “ตอนแรกที่มีคนเตือน ผมคิดว่าสภาพร้านจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่ได้พูดเกินจริงก็คงจะห่วงผมมากเกินไปล่ะมั้งครับ”
ยัยมิ้มกลั้นหัวเราะดังกึก ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ในขณะที่ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงเผลอค้อนใส่เขาให้ยัยหลินสงสัยแน่ๆ เพราะจากคำพูดของเขามันแปลได้ว่า ถ้าฉันไม่ได้เป็นห่วงเขามากก็แสดงว่าฉันพูดเกินจริงน่ะสิคะ ไม่ว่าจะแบบไหนก็ดูไม่ดีสักอย่าง...คิดแล้วมันน่าปล่อยให้ใส่สูทมานั่งอาบเหงื่อซะจริงๆ ดูสิว่าจะยังมาแกล้งว่าฉันได้อยู่อีกไหม
“ไปอยู่ที่โน่นมาหลายปี คุณธีว่าผู้หญิงไทยกับอังกฤษชาติไหนสวยกว่ากันคะ” รุ่นน้องฉันตั้งคำถามที่ฟังแล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่า...ชักจะเรื่อยเปื่อยไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไงเนี่ยยัยหลิน แต่คนถูกถามก็ยังอุตส่าห์ตอบ
“ผมว่าสวยคนละแบบนะ”
“ตอบได้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน สมกับที่เรียนจบกฎหมายมากเลย...ค่ะ” ความหมั่นไส้ที่ยังค้างคาทำให้ฉันแทรกขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ไหว แต่ถึงยังไงก็ไม่ลืมเติมคำลงท้ายอย่างที่ควรจะเป็น
ธีหันมามองฉันแวบหนึ่ง สายตามีแววหัวเราะเหมือนขำอะไรในใจ ก่อนจะเอ่ยต่อยิ้มๆ ว่า “เมื่อกี้ยังพูดไม่จบครับ จะบอกว่า...ผมชอบผู้หญิงไทยมากกว่า”
ยัยหลินยิ้มปลื้มกับคำตอบเมื่อร้องอย่างถูกใจว่า “แหม ดีจังเลย แบบนี้สาวๆ แถวนี้ก็มีหวังสิคะ”
“คงอย่างนั้นมั้งครับ...คนแถวๆ นี้” น้ำเสียงคนพูดยังปนรอยยิ้มอย่างเคย แต่คำสุดท้ายเบาลงเหมือนกระซิบจนฉันไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปเองหรือเปล่า
“งั้นเปิดรับใบสมัครเลยมั้ยคะ เดี๋ยวหลินไปประกาศให้เอง อย่างคุณธีคงมีคนแห่มาสมัครกันเพียบแน่ๆ” รุ่นน้องตัวดีของฉันเสนอด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ขณะที่เจ้าของใบสมัครหัวเราะเบาๆ ตอบกลับอย่างมีอารมณ์ขันว่า
“อย่าเลยครับ ถ้าไม่มีใครมาสมัคร เดี๋ยวต้องลำบากคุณหลินมาเป็นหน้าม้าให้เปล่าๆ”
รุ่นน้องฉันได้ยินเข้าก็เบ้หน้า ทำคอย่นอย่างหวาดๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะจากที่ได้ยินมา แฟนยัยหลินขี้หึงไม่เบาเลยทีเดียว เพราะความที่ยัยตัวดีชอบทำท่าปลาบปลื้มหนุ่มอื่นจนออกนอกหน้าเนี่ยแหละ ถึงจะให้อารมณ์แฟนคลับตามกรี๊ดดารามากกว่าจะจริงจังก็เถอะ
“ถึงหลินจะอยากช่วย แต่ก็ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวแฟนหลินรู้เข้าโกรธตายเลย” ยัยหลินทำเสียงอ่อย พอไม่รู้จะหาทางออกยังไงเพราะตัวเองดันเป็นคนต้นคิด ก็หันมาโยนระเบิดให้ฉันแทนซะอย่างนั้น “พี่มิ้มก็ไม่ได้ งั้นให้พี่แพรช่วยแล้วกันค่ะ”
...อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะเนี่ย ฉันเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว รู้สึกถึงสายตาทุกคู่ที่มองมาเป็นตาเดียว...ยัยตัวต้นเรื่องทำสายตาเหมือนอยากให้ฉันช่วยเล่นไปด้วย ในขณะที่ยัยมิ้มมองมายิ้มๆ เหมือนได้ดูเรื่องสนุก ส่วนคนสุดท้าย...ฉันไม่กล้าหันไปสบตาเขาพอๆ กับที่ไม่กล้าทั้งตอบรับหรือปฏิเสธออกไป เลยเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆ ให้พ้นตัวไปก่อนว่า
“พี่ก็คิดเหมือนหลินแหละว่าคงมีคนมาสมัครกันเยอะแยะ ไม่ต้องอาศัยหน้าม้าอย่างเราหรอก”
“เห็นมั้ยคะคุณธี หลินบอกแล้ว” รุ่นน้องฉันกลับมาทำท่าดีใจทันทีที่มีคนสนับสนุน ก่อนที่บทสนทนาจะกลับไปอยู่ที่ยัยหลินเป็นส่วนใหญ่อีกครั้ง
ฉันแอบถอนใจอย่างโล่งอก อันที่จริงถ้าเจ้าของเรื่องที่พูดคุยกันเป็นคนอื่น ฉันก็คงผสมโรงเล่นไปด้วยอย่างสนิทใจกว่านี้หรอกค่ะ แต่พอเป็นธี ฉันกลับเกร็งขึ้นมาซะเฉยๆ อย่างนั้นแหละ จะตอบอะไรก็กลัวว่าจะเข้าตัวไปหมด จนต้องหาทางบ่ายเบี่ยงไปให้ไกลตัวมากที่สุดแทน
แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา เหมือนกับว่าเรื่องนี้จะไม่ได้พ้นตัวไปไกลอย่างที่คิด...
“วันเสาร์ปลายเดือนหน้าเหรอ”
ฉันทวนคำพลางกดเลือกตารางนัดหมายตลอดทั้งเดือนของธีขึ้นมาดู ขณะที่คนที่เดินมาออกคำสั่งกับฉันถึงโต๊ะ (ไม่รู้ว่าจะมีอินเตอร์คอมไว้ทำไม) บอกต่อไปว่า
“ใช่ ฝากลงในตารางนัดให้หน่อยว่าตอนเย็นเราต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณวิชัยที่ ดิ เอมเพอเรอร์”
ชื่อที่เขาบอกมาเป็นโรงแรมที่บริษัทฉันมักจะใช้บริการจัดงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆ อย่างงานวันเกิดของคุณวิชัยก็มาจัดที่นี่เป็นประจำทุกปี แต่ฉันไม่เคยได้ไปงานอย่างนี้กับเขาหรอกนะคะ ที่รู้ก็เพราะเคยเห็นพี่สาลี่ไปร่วมงานอยู่ทุกปีต่างหาก...กำลังพิมพ์ตามคำบอกเพลินๆ ฉันก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินธีจบประโยคว่า
“แล้วก็อย่าลืมลงในตารางของตัวเองนะ เพราะว่าแพรก็ต้องไปกับเราด้วย”
“เราไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” ฉันขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก่อนจะยิ่งมึนหนักเมื่อได้ฟังคำตอบ
“แพรเป็นเลขาของเราไง ก็ต้องไปด้วยกันสิ”
...ไม่เคยเห็นพี่จ๋าต้องไปออกงานเป็นเพื่อนพี่สาลี่สักทีนี่นา ฉันนึกถึงเลขาเจ้านายเก่าแล้วก็ตั้งท่าจะค้าน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเขาก็แทรกขึ้นมาหน้าตาเฉยว่า
“ที่จริงงานนี้เขาให้เราพาใครไปด้วยกันก็ได้ แต่เราไม่รู้จะชวนใครดี ถ้าแพรไม่อยากไปในฐานะเลขา...จะไปในฐานะคู่ควงแทนก็ได้”
...เฮ้ย แบบนี้ก็ได้เหรอ ฉันอ้าปากค้างอยู่พักใหญ่ กว่าจะตั้งสติตอบกลับไปได้ “ไม่มีใครเลยได้ไง...พ่อแม่ธีล่ะ พี่น้อง ญาติๆ อีก”...มันต้องมีให้ชวนซักคนสิน่า
“เราว่าพาพ่อแม่มางานวันเกิดเจ้านายมันดูแปลกๆ นะ ส่วนคนอื่นเขาไม่รู้จักใคร มาแล้วก็คงไม่สนุกหรอก”
...เออ ก็จริงของเขา ฉันเกือบจะพยักหน้าคล้อยตามเหตุผลของธีอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นุ่มๆ ตามแบบฉบับ แต่เนื้อความออกแนวกึ่งบังคับยังไงชอบกลว่า
“เรายังไงก็ได้นะ แล้วแต่แพรจะเลือก แค่ไปเป็นเพื่อนกันก็พอ”
...ให้ตัวเลือกมาแบบนี้ แล้วฉันจะตอบอะไรได้อีกเหรอ ฮึ ฉันบ่นในใจ ทำได้แค่ค้อนใส่เขาสามทีซ้อน ก่อนจะตอบแบบไม่มีทางเลือกอื่น (ที่ดีกว่านี้) ว่า
“โอเคๆ ไปก็ได้...ในฐานะเลขานะ”
“ขอบคุณครับ” ธียิ้มกว้าง ทำเอาฉันต้องรีบหลบตา หันไปทำเป็นพิมพ์คอมพิวเตอร์ง่วนอยู่ คิดว่าคงจะจบเรื่องของวันนี้แล้วเมื่อเขาขยับตัวลุก ทำท่าจะเดินกลับห้องตัวเอง แต่แล้วก็ชะงักหันกลับมาถามโดยไม่ทันให้ฉันตั้งตัวว่า
“แพร พรุ่งนี้ว่างไหม”
“ว่างนะ ทำไมเหรอ” ตอบทันควันตามความเคยชินแล้วฉันก็เกิดระแวงขึ้นมาว่าจะมีอะไรแปลกๆ อีกหรือเปล่า แต่พอเหลือบมองคนถามแล้วก็เห็นเขาทำท่าปกติ
“อยากให้ช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้คุณวิชัยหน่อยน่ะ เราไม่เคยซื้อของพวกนี้ก็เลยไม่รู้จะเลือกอะไรดี”
...อันนี้เคยเห็นพี่จ๋าทำให้พี่สาลี่บ่อยๆ ไม่น่าจะยาก ฉันพยักหน้ารับ มือก็คว้าปากกามาเตรียมจดรายละเอียดเพิ่มเติม “ธีอยากได้เป็นของกินหรือของใช้ล่ะ แล้วมีงบประมาณเท่าไหร่ เราจะได้เลือกให้ถูก”
“อืม เป็นของใช้น่าจะดีกว่านะ ของกินถ้าเลือกไปไม่ถูกปากคงแย่ ส่วนงบประมาณ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยตัดสินใจอีกทีแล้วกัน” ธีตอบ ก่อนจะจบด้วยคำถามที่ทำให้ฉันต้องอ้าปากค้างอีกรอบ “เอาเป็นว่าเจอกันซักสิบเอ็ดโมงดีไหม สายไปหรือเปล่า”
เรื่องเช้าหรือสายไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า “เดี๋ยวนะ ธีจะไปด้วยเหรอ ก็ไหนว่าให้เราเป็นคนไปเลือกไง”
“เราบอกให้แพรไปช่วยกันเลือก เพราะเราเลือกเองไม่ถูกต่างหาก ไม่ได้บอกให้แพรไปคนเดียวสักหน่อย แถมเราเป็นคนจ่ายเงินด้วย” เขาตอบด้วยท่าทางมีเหตุมีผลเต็มที่ ในขณะที่ฉันกำลังมึนกับทักษะการตีความของตัวเอง และเริ่มจะหาทางไปต่อไม่ถูก
“เดี๋ยวเราออกให้ไปก่อนก็ได้”...ถ้าไม่แพงมาก ฉันก็คงจะพอจ่ายไหวอยู่หรอกนะคะ
“ยุ่งยากเปล่าๆ น่า ไปด้วยกันนี่แหละ...แพรเป็นคนเลือก แล้วเราเป็นคนจ่าย เอาตามนี้แล้วกัน” ธีสรุปก่อนจะปิดโอกาสไม่ให้ฉันค้านด้วยการเดินกลับเข้าห้องทำงานไปเลย ทิ้งให้ฉันได้แต่นั่งขัดใจอยู่คนเดียว
...จะค้านก็ทำไม่ได้ จะเถียงก็เถียงไม่ออก แล้วนี่ฉันจะปฏิเสธเขาได้สักเรื่องไหมคะเนี่ย
ฉันมาถึงที่นัดหมายซึ่งก็คือลานน้ำพุของห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองติดสถานีรถไฟฟ้าก่อนสิบเอ็ดโมงเล็กน้อย เราตกลงมาที่นี่เพราะว่าน่าจะมีของที่ต้องการให้เลือกหามากพอสมควร และยังเดินทางมาได้สะดวกจากทั้งบ้านฉันและบ้านธีอีกด้วย แต่ดูเหมือนบริเวณนี้จะเป็นจุดยอดนิยมในการนัดหมายและนั่งพักผ่อน เพราะอยู่ตรงทางเข้าห้างติดกับทางเชื่อมจากรถไฟฟ้าพอดี ถึงจะเพิ่งเลยเวลาห้างเปิดมาไม่นานก็มีคนมาจับจองที่นั่งรอบลานน้ำพุจนเกือบเต็มหมดแล้ว
ฉันกำลังมองหาที่ว่างเพื่อนั่งรอบ้างก็เห็นร่างสูงๆ ของธีเดินตรงมาหาพอดี วันนี้เขาดูแปลกตากว่าทุกวันในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสลับเทาสวมทับเสื้อตัวในสีขาวกับกางเกงขายาวสีเทาอ่อน เป็นลุคสบายๆ ต่างจากชุดสูทเรียบกริบที่เคยเห็นจนชินตา (ฉันเคยคิดมาตลอดว่าสีเทาเป็นสีที่หาคนใส่ขึ้นยากมากนะคะ แต่ธีใส่แล้วกลับดูดีซะงั้น คงเพราะผิวเขาค่อนข้างขาวมากล่ะมั้ง)
“ธีมาถึงนานหรือยัง” ฉันเป็นฝ่ายทักก่อน รู้สึกเขินแปลกๆ ขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มของเขาทำให้ฉันนึกถึงวันที่เราได้คุยกันครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว หรือเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอกันนอกที่ทำงานกันแน่...หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้
“ไม่นานครับ ก่อนแพรประมาณห้านาทีได้” เขาตอบ ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยชวน “ไปดูอะไรกันก่อนดี คิดไว้หรือยัง”
“งั้นลองไปดูร้านนั้นก่อนแล้วกัน” ฉันพยักพเยิดไปทางร้านเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชายที่อยู่ใกล้ที่สุด จากการไปแอบถามพี่จ๋า (ผู้มีประสบการณ์เลือกซื้อของขวัญของฝากให้หัวหน้ามานานหลายปี) และปรึกษาพ่อตัวเองมาเมื่อคืน ฉันก็คิดว่าเลือกของใช้กลางๆ อย่างเช่นเข็มขัดหรือเนกไทน่าจะเหมาะที่สุด แต่ในแง่ของการใช้งานจริงก็คงต้องพึ่งธีอยู่ดีแหละค่ะ เพราะฉันเองก็ไม่เคยซื้อของพวกนี้มาก่อนซะด้วย
เราเดินเข้าออกสองสามร้านที่อยู่ในละแวกเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบรูปแบบสินค้า และแน่นอนค่ะ...ราคา ถึงธีจะบอกว่าเขาจ่ายไหวก็เถอะ แต่ฉันเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายตกลงใจไม่ได้...ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าเนกไทเส้นนึงจะราคาแพงขนาดนี้ นี่ถ้ามาคนเดียวฉันคงเปลี่ยนใจไปซื้ออย่างอื่นแทนแล้วแน่ๆ
“แพงอ่ะ” ฉันบ่นอุบหลังจากดึงธีออกมาจากร้านแรก เขาเดินตามฉันมาแต่โดยดีพลางหัวเราะหึๆ บอกอย่างล้อๆ ว่า
“ก็เล่นไปจับผ้าแคชเมียร์เลยนี่นา จะไม่แพงได้ไงล่ะ” ธียิ้มขำเมื่อโดนฉันบ่นงุบงิบใส่ว่า ‘ก็ธีไม่เตือนกันก่อนนี่’ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยนัยน์ตาเป็นประกายยิ้มๆ “เอาน่า หัดเลือกไว้ให้ชินหน่อยก็ดีนะเราว่า”
“เมื่อกี้ธีว่าอะไรนะ” เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบคนกลุ่มใหญ่ที่เดินสวนมา ฉันเลยฟังที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่ค่อยถนัด คนถูกถามเลยเดินเข้ามาใกล้ แตะข้อศอกฉันเบาๆ ให้เดินไปด้วยกัน ก่อนจะปล่อยมือเมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้หลงทิศไปไหน บอกหน้าตาเฉยว่า
“เปล่านี่ ไปดูร้านอื่นกันต่อเถอะ”
...อ้าว อะไรของเค้าเนี่ย ฉันกระพริบตาปริบ ไม่รู้ว่าเขามึนหรือฉันหูแว่วไปเองกันแน่...ว่าแต่พักนี้ได้ยินอะไรเพี้ยนๆ บ่อยจริงแฮะ
ในที่สุดหลังจากเดินดูอยู่หลายร้าน ฉันก็เลือกได้เนกไทผ้าไหมลายทางสีเข้ม ดูภูมิฐานเหมาะกับผู้บริหารใหญ่อย่างคุณวิชัยในราคาที่พอจะจับต้องได้ (เข็มขัดโดนตัดทิ้งจากรายการ เพราะฉันว่ามันแพงกว่าเนกไทไปอีก) โดยมีธีช่วยดูเกี่ยวกับขนาดและความยาวที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจแทน
พนักงานขายรับเนกไทที่ฉันเลือกเพื่อเตรียมใส่กล่องพลางเอ่ยชมว่า “คุณน้องผู้หญิงนี่ตาแหลมนะคะเลือกรุ่นยอดนิยมของเราพอดีเลย...ว่าแต่ไม่สนใจดูให้แฟนสักเส้นเหรอคะ ตอนนี้เรามีโปรโมชันซื้อสองเส้นลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ด้วยนะ ถ้าแบบนี้ดูมีอายุไป จะเลือกเป็นรุ่นอื่นแทนก็ได้ค่ะ”
อีกฝ่ายเสนอขายสินค้าเพิ่มเติมอย่างมืออาชีพ แต่ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปไกลโข ฉันตั้งท่าจะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่ช้ากว่าคนข้างๆ ที่เอ่ยถามด้วยท่าทางสนอกสนใจ
“มีรุ่นไหนแนะนำบ้างครับ”
“เชิญทางนี้เลยค่ะ สำหรับคุณน้องผู้ชายลองดูเป็น skinny tie ดีไหมคะ” พนักงานขายเดินนำไปอีกทางขณะที่ธีหันมาเลิกคิ้วใส่ฉันที่ยังยืนงงเป็นเชิงบอกให้มาช่วยกันเลือกหน่อย เมื่อเห็นฉันยังไม่ขยับก็ก้มลงพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคนว่า
“เลือกให้เราสักเส้นนะแพร ไม่งั้นคนขายเค้าต้องคิดว่าเราสองคนมีปัญหากันแน่เลย”
...ฮึ้ย ยังจะไปห่วงเรื่องนั้นอีก ยังไงเค้าก็เข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงเล่า ทีเรื่องนี้ล่ะไม่ยอมอธิบาย ฉันขมวดคิ้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี เพราะมันมีทั้งความขัดเขินและสับสนปะปนกันจนแยกไม่ออก ยิ่งเมื่อสบตายิ้มๆ ของคนที่รับสมอ้างว่าเป็น ‘แฟน’ กันหน้าตาเฉยแล้วฉันก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง
...ไม่ได้นะยัยแพร ตั้งสติหน่อย...ท่องไว้ๆ แค่เรื่องเข้าใจผิด
สั่งตัวเองให้หยุดคิดฟุ้งซ่านแล้วฉันก็เลยต้องเดินเข้าไปร่วมวงด้วยในที่สุด เพราะถ้าทำเป็นไม่สนใจก็คงจะดูแปลกๆ จริงอย่างที่ธีว่า หลังจากถูกพนักงานขายชี้ชวนอยู่พักใหญ่ ฉันก็เลือกได้เนกไทสีน้ำเงินเข้มสลับสีเงินมาเส้นหนึ่ง (ฉันว่าสีโทนนี้เหมาะกับธีนะคะ ดูขรึมๆ แต่ก็ไม่เรียบจนเกินไป) โดยมีเสียงเชียร์แบบที่ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า...ไม่น่าปล่อยผ่านเรื่องเมื่อกี้มาเลยจริงๆ
“สีนี้สวยนะคะ คุณน้องลองทาบดูเลยสิคะว่าเหมาะไหม”
“ลองเองสิ” ฉันพึมพำกับคนที่ทำท่าจะยืนเป็นหุ่น ปล่อยให้ฉันลองได้ตามใจชอบเอาจริงๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก ธีกลั้นยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางของฉัน ก่อนจะยอมรับเนกไทไปลองเองอย่างไม่เกี่ยงงอน ทำให้ฉันแอบถอนใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องรับบทตัวช่วยอย่างที่ถูกแนะนำ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะยังเก็บอาการได้อยู่ไหม
สุดท้ายธีก็ตกลงซื้อเนกไทเส้นที่ฉันเลือก และพนักงานขายชมแล้วชมอีกว่าเหมาะกับเขามากๆ ก่อนที่เราจะออกจากร้านมา พร้อมกับที่ฉันตัดสินใจว่าจะไม่เดินผ่านมาแถวนี้อีกแน่นอน หรืออย่างน้อยก็ไม่มากับธีแน่ๆ
แต่คนที่ทำให้ฉันหวั่นไหวดูเหมือนจะไม่รู้ตัว เพราะเมื่อเดินพ้นหน้าร้านมาแล้ว เขาก็หันมาถามฉันด้วยท่าทีเป็นปกติว่า
“เกือบบ่ายโมงแล้ว แพรหิวหรือยัง”
“ก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ฉันตอบตามตรง ก่อนจะตวัดตาค้อนใส่คนถามอย่างลืมตัว เมื่อถูกเขารวบรัดอย่างที่ทำให้ฉันอยากจะย้อนกลับไปซะจริงๆ ว่า...แล้วจะถามทำไมเนี่ย
“แต่ก็ต้องกินข้าวแล้วนะ...รู้หรือเปล่าว่าคนเราต้องกินข้าวให้ครบสามมื้อทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นโรคกระเพาะ”
“นั่นมันคำพูดของเราต่างหาก อย่ามาเลียนแบบกันสิ” ฉันย้อนทันควันอย่างไม่ทันคิด ก่อนจะรู้ตัวว่าตกหลุมเขาเต็มๆ เมื่อธีหัวเราะเบาๆ ปิดท้ายด้วยประโยคที่ทำให้ฉันปฏิเสธอะไรไม่ออก (เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้) ว่า
“อ้อ จริงด้วย ว่าแต่แพรพูดเองก็คงไม่ลืมหรอกใช่ไหม เพราะงั้น...ไปกินข้าวกันเถอะ”
...แล้วอย่างนี้จะมีวันที่ฉันตามเขาทันสักครั้งไหมล่ะคะเนี่ย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in