…Sometimes it’s wrong to walk away, though you think it’s over
Knowing there’s so much more to say
Suddenly the moment’s gone and all your dreams are upside down
You just wanna change the way the world goes round…*
ฉันเชื่อว่าในชีวิตของคนเราต้องมีสักครั้งที่อยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวบางอย่าง จริงไหมคะ...บางคนอาจโชคดีที่มีโอกาสครั้งที่สองให้ได้แก้ตัว แต่สำหรับบางคน...อย่างเช่นฉัน โอกาสที่ว่านั่นได้ผ่านไปนานแล้วล่ะค่ะ
เกริ่นมาขนาดนี้ทุกคนคงคิดว่าฉันต้องมีปัญหาชีวิตหรือเคยผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจอะไรมาก่อนแน่ๆ เลย อันที่จริงก็มีส่วนถูกนะคะ ถึงแม้เรื่องของฉันจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตหรือโศกเศร้ารุนแรงอะไรมากมาย แต่มันก็ส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบันของฉันไม่น้อยเลยทีเดียว
ใช่แล้วค่ะ...เรื่องราวความรักครั้งแรก (และตอนนี้ก็ยังเป็นครั้งเดียว) ของฉันนั่นเอง...
ฉันชื่อ ‘ศรีอาภา’ เป็นไงคะ ฟังดูเป็นกุลสตรีไทยใจงาม เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ใช่ไหมล่ะ แม่เคยบอกว่าชื่อฉันได้มาจากการที่ตาเอาวันเกิดและเวลาตกฟากไปผูกดวงตามตำราโบราณ (ตำราไหนก็ไม่รู้แหละ) เรียกได้ว่าคำนวณกันมาอย่างดี และชีวิตของฉันก็ราบรื่นมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตสมความตั้งใจของพ่อแม่จริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียบร้อยเป็นสาวหวานสมชื่อสักเท่าไหร่ก็ตาม
ถ้าจะให้นิยามตัวเอง อย่างฉันคงเรียกว่าเป็นคน ‘เรียบๆ’ มั้งคะ คือไม่ได้โดดเด่นหรือเป็นที่สุดไปในด้านใดด้านหนึ่ง...เรียนดีแต่ก็ไม่ได้เก่งที่สุดในห้อง เล่นกีฬาพอได้ มนุษย์สัมพันธ์ปกติ เป็นบุคคลประเภทที่พบเห็นได้ทั่วไป และไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าวันหนึ่งจะเกิดความรู้สึกแปลกๆ กับคนที่เรียกได้ว่า ‘เด่น’ อย่างนายธีศิษฏ์ขึ้นมาได้
ฉันได้เจอกับธีครั้งแรกในชั้นเรียนพิเศษตอนม.4 เราเรียนมัธยมปลายที่เดียวกันแต่คนละห้อง (ฉันเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ตอนม.ปลายค่ะส่วนเขาก็ย้ายมาจากโรงเรียนอื่นเหมือนกัน) บังเอิญที่ตอนเรียนพิเศษเราได้นั่งใกล้กันแต่ตลอดทั้งเทอมก็ได้คุยกันไม่กี่คำหรอกค่ะ เพราะท่าทางเขาดูขรึมๆ และตั้งใจเรียนเอามากๆจนฉันแอบเกรงใจเวลาคุยนอกเรื่องกับเพื่อนในชั่วโมงเรียน (ดูไร้สาระไปเลยนะคะฉันเนี่ย)
ธีเป็นคนเรียนเก่งมาก (ข้อนี้ฉันรู้เพราะนั่งเรียนพิเศษติดเขามาทั้งเทอม) ตั้งใจเรียน ขยันตอบคำถามจนเป็นที่รักของอาจารย์ (ข้อนี้ฉันก็เห็นกับตาอีกเหมือนกัน) เล่นกีฬาก็ดี ได้เป็นนักบาสตอนแข่งกีฬาสีด้วย (แต่ฉันไม่ได้เชียร์เขาหรอกนะคะ ก็อยู่คนละสีกันนี่) เท่านี้ก็คงพอแล้วใช่ไหมคะที่เขาจะกลายเป็นคนเด่นในชั้นปีของเราขึ้นมา เอ่อ นี่ฉันลืมพูดเรื่องไหนไปหรือเปล่าคะ...อ๋อ เรื่องหน้าตาของนายธี ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าก็หน้าขรึมๆ น่ะค่ะ ไม่ค่อยเห็นยิ้มหรือหัวเราะกับใครนอกจากในกลุ่มเพื่อน
พอขึ้นเทอมสอง ที่นั่งของฉันกับธีก็ย้ายกันไปคนละฟากห้องและเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยจนจบเทอม ฉันคิดว่าเราคงไม่ได้สนิทกันมากไปกว่านี้แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น
ปกติตอนปิดเทอมฉันจะมีเวลาว่างจากการเรียนพิเศษอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีนัดไปไหนกับยัยมิ้ม หรือมัญชรีย์ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยอนุบาลจนถึงปัจจุบัน ฉันก็จะไปขลุกอยู่ห้องสมุดที่ประจำเกือบทุกวันเลยค่ะถ้าไม่มีเวลามากก็จะแค่เข้ามาคืนแล้วยืมหนังสือเล่มใหม่ แต่ถ้าวันไหนว่างๆฉันก็จะนั่งอยู่ที่นี่ทั้งวัน...หนังสือนิยายที่นี่มีเยอะมากค่ะ ทั้งนิยายไทยและนิยายแปลจากต่างประเทศอ่านทั้งเทอมก็ไม่หมด (แม่เคยบ่นว่าถ้าฉันขยันอ่านหนังสือเรียนได้เท่าที่อ่านนิยายฉันคงสอบได้ที่หนึ่งของห้องไปแล้ว แหม แต่คะแนนสอบฉันก็ไม่ได้แย่สักหน่อย ยังติดสิบอันดับแรกอยู่นะคะ)
วันนั้นฉันก็มาห้องสมุดเหมือนเคย พอมาถึงฉันก็มุ่งหน้าไปตรงมุมนิยายที่เล็งไว้ทันที...ฉันกำลังติดนิยายไตรภาคเรื่องหนึ่งอยู่ค่ะ อ่านภาคแรกจบไปได้หลายวันแล้ว แต่ภาคสองก็มีคนมายืมตัดหน้าไปก่อนทุกทีและวันนี้มันก็อยู่ในมือของใครอีกคนที่มาถึงก่อนหน้าฉัน...นายธีนั่นเอง
‘อ้าว...’ ...นี่ฉันมาไม่ทันอีกแล้วเหรอเนี่ย ถ้าข้ามไปอ่านภาคสามก่อนจะรู้เรื่องไหมนะ จะได้ยืมไปหลายๆวันให้คนที่ตัดหน้าฉันได้รอซะบ้าง (ความคิดหลังนี่โผล่มาแค่แวบเดียวนะคะ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นหรอก)
ฉันยิ้มเจื่อนๆ แทนคำทักทายให้เขา ความแปลกใจที่เราบังเอิญมาเจอกันที่นี่มีไม่มากเท่าความเสียดายที่มาช้าไป แต่ฉันก็พยายามกลบเกลื่อนไว้แล้วหันหลังจะเดินกลับ แต่นายธีกลับเรียกฉันไว้ซะก่อน พอฉันหันกลับไปมองอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะจำชื่อฉันได้ด้วย (อย่างที่บอกแหละค่ะว่าเราแทบไม่เคยคุยกันเลยถึงจะเคยเจอกันที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่คิดอีกทีอาจจะไม่แปลกก็ได้ ธีเขาเป็นพวกหัวดีนี่นา) ก็เห็นว่าเขายื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้
‘แพรจะอ่านเล่มนี้หรือเปล่า เอาไปสิ’
‘แล้วธีไม่อ่านเหรอ’ ฉันถามอย่างเกรงใจ แต่สีหน้าฉันคงปกปิดความดีใจไว้ไม่มิด คนตรงหน้าจึงเผยรอยยิ้มกว้างที่ส่งให้ใบหน้าเรียวผิวขาวที่ดูเคร่งขรึมนั้นกระจ่างตาจนฉันเผลอมองค้าง
‘เราอ่านจบหมดแล้ว กำลังคิดว่าจะยืมไปอ่านซ้ำแต่ท่าทางแพรจะรออ่านเล่มนี้อยู่ เห็นแล้วแย่งไม่ลงหรอก’
‘ขอบคุณนะ’ ฉันรับหนังสือมาจากมือเขา แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ธีจะอ่านเล่มนี้ซ้ำอีกแปลว่าภาคสองนี่สนุกที่สุดเหรอ’
นายธีทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มแบบเดิม...แต่ด้วยถ้อยคำที่ฉันไม่คาดคิด
‘แพรอ่านให้จบก่อนแล้วมาบอกเราดีไหม เราค่อยตอบตอนนั้น’ พอเห็นฉันพยักหน้ารับ เขาก็บอกต่อว่า
‘วันนี้เรามีธุระแวะมาแป๊บเดียว จะมาอีกทีวันศุกร์...แล้วเจอกันนะ’
‘เอ่อ จ้ะ’ กว่าฉันจะตั้งสติได้นายธีก็เดินออกไปแล้ว ทิ้งฉันไว้กับความสงสัยว่า...เมื่อกี้ใช่นัดหรือเปล่า หรือเป็นแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดา แล้วที่ฉันตอบรับเขาไป...มันเป็นไปตามบทสนทนาหรือว่าเพราะรอยยิ้มนั้นกันแน่?
พอถึงวันศุกร์ฉันก็ไปนั่งอ่านหนังสือตรงมุมประจำตามปกติ ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมคะว่าฉันมีที่นั่งประจำเวลามาห้องสมุดที่นี่ด้วย เป็นมุมสงบแต่ไม่ลับตา ไม่ไกลจากโซนนิยายเท่าไหร่นัก (ฉันจะได้เดินใกล้ๆ ไงคะ) อยู่ห่างจากโซนหนังสือเด็กทำให้ไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวน
...สองสามวันที่ผ่านมาฉันสรุปกับตัวเองได้แล้วว่าไม่ว่าธีจะหมายความว่ายังไง เขาจะมาหรือไม่มาอย่างที่พูดไว้ ฉันก็จะทำตัวเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง (ที่ทำให้ฉันเกือบลืมไปเลยว่าเคยคิดว่าเขาเป็นคนหน้านิ่งๆ ขรึมๆ มาก่อน) ฉันก็อดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้จริงๆ
‘หวัดดีแพร มานานหรือยัง’
‘สักพักแล้วจ้ะ’
หลังจากนั้นฉันก็ได้รู้ว่าธีก็มาที่นี่บ่อยเหมือนกัน (อาจจะเพราะห้องสมุดนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของเรามากนักก็ได้) แต่ที่นั่งประจำของเขาอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องสมุดที่เป็นส่วนของหนังสือวิชาการ ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่เคยเจอกันที่นี่มาก่อน ก็ฉันแทบไม่ได้เดินไปแถวนั้นเลยนี่คะ
‘แล้ววันนี้อ่านเรื่องอะไร’ เขาพยักพเยิดมาที่หนังสือในมือฉัน หลังจากเราคุยกันเรื่องนิยายไตรภาคครั้งก่อนจบแล้ว (เขาชอบภาคสามมากที่สุด ในขณะที่ฉันชอบภาคหนึ่ง ส่วนภาคสองเราลงความเห็นกันว่ามันเศร้าเกินไปถึงแม้จะจบดีก็ตาม) วันนี้ฉันเปลี่ยนมาอ่านนิยายไทยที่นางเอกของเรื่องได้ย้อนกลับไปในอดีตสมัยร้อยกว่าปีก่อนผ่านทางกระจกและได้พบกับพระเอก...เรื่องนี้ดังมากนะคะ ฉันว่าใครๆ ก็น่าจะรู้จักแหละ แต่สงสัยจะไม่ใช่แนวเขาแฮะ เพราะนายธีส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาวาง
‘นี่มันของเทอมหน้าไม่ใช่เหรอ ขยันจัง’ ฉันร้องเมื่อเห็นว่าเป็นตำราเรียนของปีถัดไป...อ่านล่วงหน้าเป็นเทอมแบบนี้นี่เองถึงตอบคำถามอาจารย์ได้ทุกข้อขนาดนั้น แต่จะให้ฉันทำแบบเขาก็คงไม่ล่ะค่ะ ปิดเทอมก็ต้องเป็นเวลาพักผ่อนสิเนอะ
‘ก็อ่านสลับกับหนังสืออ่านเล่นน่ะ’ เขาตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา (ที่ไม่ธรรมดาสำหรับฉัน) แล้วเราต่างคนต่างก็อ่านหนังสือกันไปเงียบๆ
ต้องบอกก่อนว่าเวลาอ่านหนังสือ (โดยเฉพาะนิยาย) ฉันจะมีสมาธิมากเลยนะคะ เคยอ่านเพลินจนลืมเวลาไปเลยก็มี แต่ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกว่ารวบรวมสมาธิได้ยากกว่าปกติก็ไม่รู้ เหลือบมองคนนั่งตรงข้ามก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำโจทย์อย่างตั้งใจ แสงแดดยามบ่ายส่องมากระทบเสี้ยวหน้าที่ก้มต่ำเห็นเพียงแนวคิ้วเข้มกับสันจมูกโด่ง...เอ๊ะ นี่ฉันเผลอบรรยายหน้าตานายธีเป็นพระเอกนิยายได้ไงกัน สงสัยจะอ่านนิยายรักมากเกินไป คงต้องเปลี่ยนไปอ่านหนังสือแนวอื่นบ้างแล้วล่ะค่ะ ชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว
...ว่าแต่นายคนนี้จะสมาธิดีไปไหนเนี่ย
พอเริ่มสนิทกันมากขึ้นฉันก็ได้รู้ว่านอกจากชอบอ่านหนังสือคล้ายๆกันแล้ว ฉันกับธียังชอบฟังเพลงแนวเดียวกันอีกด้วย เราเลยแลกเพลงกันฟัง (หลายเพลงในนั้นฉันยังเก็บไว้ใน playlist จนถึงทุกวันนี้) มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันอยากได้ซีดีเพลงของนักร้องชายคนหนึ่งมาก แต่หาซื้อไม่ได้ซะที พอไปบ่นให้ธีฟังถึงได้รู้ว่าเขามีอัลบั้มนี้อยู่พอดี แถมยังเป็น special edition อีกต่างหาก
‘ธีมีเหรอ เราขอยืมได้ไหม’ ฉันยิ้มปะเหลาะอย่างที่เคยใช้ได้ผลกับคนรอบตัว...ยัยมิ้มเคยบอกว่าเวลาอยากได้อะไรฉันจะชอบทำหน้าอ้อนใส่ แล้วเพื่อนฉันก็ต้องยอมให้ทุกที (อาจจะเพราะรำคาญ ฮ่าๆ) แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้ผลกับนายธีไหม เพราะเขาทำหน้าคิดอยู่นาน
‘จะให้ยืมดีไหมนะ อัลบั้มนี้หายากมากซะด้วย’
‘ดีสิ นะ เราสัญญาว่าจะดูแลของธีอย่างดี ไม่ทำหายไม่ทำพังเด็ดขาดเลย น้า’ ฉันรีบให้สัญญา ก่อนจะเห็นเขาแอบยิ้มมุมปากเบาๆ...อ้าว ตาคนนี้แกล้งให้ฉันทำหน้าตลกๆ ให้ดูหรือเปล่าคะเนี่ย (ฉันก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าตัวเองทำหน้ายังไง แต่คิดว่าคงดูน่าตลกมั้งไม่งั้นเขาจะแอบขำทำไมล่ะ)
สุดท้ายเขาก็ตอบตกลงค่ะ (เย้!) แต่ถึงอย่างนั้น วันที่เอาแผ่นซีดีมาให้ก็ยังไม่วายแกล้งฉันอีก
‘ไม่ให้แล้วดีกว่า...เราหวง’ นายธีทำท่าจะดึงแผ่นซีดีคืนจากมือฉันดื้อๆ ซะอย่างนั้น แต่ฉันยื้อไว้พร้อมกับพยายามทำหน้าอ้อนวอนสุดชีวิต
‘ไม่เอานะ ทำไมเพิ่งมาเปลี่ยนใจตอนนี้ล่ะ ไหนบอกว่าให้เรายืมแล้วไง’
ธีมองหน้าฉันเหมือนอยากถามว่ามีตรงไหนในประโยคของเขาที่ฉันไม่เข้าใจ ซึ่งตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละค่ะ นึกว่าเขาแกล้งฉันอีกแล้ว (บอกไปใครจะเชื่อคะว่านายคนนี้น่ะชอบแกล้ง เห็นฉันโวยวายแล้วขำนักหรือไงก็ไม่รู้) พอเห็นฉันทำท่าจะงอแงต่อ เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ เหมือนตัดสินใจได้แล้วว่าพูดมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ (หรือไม่ก็คงไม่อยากจะแกล้งฉันแล้วมั้ง)
‘ให้ก็ได้ สัญญาไว้แล้วนี่นะ’ ธีว่าก่อนจะปล่อยมือในที่สุด ส่วนฉันก้มมองแผ่นซีดีที่เพิ่งได้รับมาอย่างเริ่มสะดุดใจ ไม่แน่ใจว่าคำพูดของเขาที่ว่า ‘หวง’ นั้นหมายความถึง ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ กันแน่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตีความตามสถานการณ์ ในเมื่อเรากำลังคุยกันเรื่องซีดี เขาก็คงหมายถึงซีดีแผ่นนี้นี่แหละ
...อย่าคิดมาก...คิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย ยัยแพรเอ๊ย
‘วันนี้โดดเรียนเหรอ เด็กไม่ดี’
เสียงทักที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ฉันที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกเรียนเกือบสะดุ้ง ก่อนจะหันกลับมาเจอนายธียืนเลิกคิ้วมองอยู่ ท่าทางเหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครองไม่มีผิด แต่สายตาแฝงรอยล้อเลียนบอกให้รู้ว่าไม่ได้คิดจริงจังอย่างที่พูด
‘เปล่าสักหน่อย วันนี้อาจารย์ลาหยุดเลยให้พวกเราอ่านหนังสือกันเองต่างหาก’ ฉันตอบ เว้นความจริงที่ว่าฉันง่วงจนหยุดอ่านมาสักพักแล้วเอาไว้ แต่ดูเหมือนเขาก็คงจะเดาได้อยู่ดี
‘อย่างนั้นเหรอ แต่เมื่อกี้เราเห็นเหมือนจะมีคนไม่ได้อ่านหนังสืออยู่คนนึงแถวๆ นี้นะ’ นายธีทำเป็นมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่ฉัน ทั้งสีหน้าและแววตาไม่ปกปิดแววหัวเราะเลยสักนิด
คราวนี้ฉันอดไม่ได้ เลยค้อนใส่เขาไปเต็มๆ...ได้ทีล้อกันใหญ่เลยนะ ‘เขาเรียกว่าพักสายตาหรอก อ่านมาตั้งนานแล้วก็ต้องพักกันบ้างสิ’
‘เข้าใจแล้วครับ’ นายธีพยักหน้ารับ แต่ก็ยังหัวเราะหึๆ ไม่เลิก พอเห็นฉันเริ่มทำหน้ามุ่ย เขาก็ยกมือขึ้นทำท่าสงบศึก บอกยิ้มๆ ว่า ‘เราต้องไปเรียนวิชาต่อไปแล้วล่ะ ไม่กวนเวลาพักของแพรแล้วดีกว่า ไปนะ’
‘เนี่ยนะไม่กวน’ ฉันบ่นพึมพำตามหลัง แต่ก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ จนกระทั่งเขาเดินลับตัวไป ยัยมิ้มที่ก่อนหน้านี้หายไปซื้อน้ำก็เดินยิ้มกรุ้มกริ่มกลับมาถึงพอดี
‘เมื่อกี้คุยกับใครน่ะ นายธีเหรอ’
‘ฮื่อ มาทักว่าทำไมไม่เข้าห้องเรียน นึกว่าเราโดดเรียนน่ะสิ’ ฉันค้อนกับลมกับแล้งไปตามเรื่อง ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นยัยมิ้มแทน โทษฐานที่ชอบทำท่ารู้ทันเกินเหตุ เมื่อเห็นเพื่อนตัวดียังยิ้มกริ่มเหมือนถูกใจอะไรไม่เลิก ฉันก็เริ่มเอะใจ
‘เดี๋ยวนะ นี่ถามพอเป็นพิธีรึเปล่า เธอเห็นตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมเนี่ย’
‘ก็เห็นนายธีมายืนมองเธออยู่ซักพักแล้วล่ะ กำลังคิดว่าจะขัดจังหวะดีมั้ย ก็พอดีเดินเข้าไปคุยกันซะก่อน’ ยัยมิ้มตอบ ทำท่าภูมิอกภูมิใจเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นเพราะตั้งใจเปิดทางให้ ทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองเป็นคนบ่นหิวน้ำกับอยากยืดเส้นยืดสายเลยทิ้งฉันไว้เฝ้าโต๊ะคนเดียวแท้ๆ
‘สงสัยต้องปล่อยให้อยู่คนเดียวบ่อยๆ นะเนี่ย เผื่อจะได้เห็นอะไรดีๆ อีก’ เพื่อนฉันยังทำตาเล็กตาน้อยล้อเลียนไม่เลิกจนฉันเริ่มจะเขินขึ้นมานิดๆ (และอาจจะกลายเป็นเขินมากถ้ายัยมิ้มยังไม่หยุดแซว) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าธีมายืนมองฉันอยู่พักหนึ่งแล้วจริงๆ ก็แปลว่าเขาต้องเห็นฉันตอนนั่งเหม่อแล้วน่ะสิคะ
...โอย ตายแล้ว เมื่อกี้ฉันแอบหาวไปกี่ทีนะ...หมดกัน ภาพพจน์ ฉันคร่ำครวญในใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่กำลังเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ในตอนนี้เทียบกับสิ่งที่กำลังจะมาถึงไม่ได้เลยสักนิด
หลังพักกลางวันวันนี้ฉันกับยัยมิ้มที่ปกติจะตัวติดกันตลอดก็มีอันต้องแยกย้ายกันชั่วคราว เนื่องจากเพื่อนฉันมีนัดพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน (อาจารย์จะเรียกพบเราเป็นรายบุคคลตามลำดับชื่อค่ะ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมคะว่าฉันได้เป็นคนท้ายๆ ของห้องตามเคย) ส่วนฉันไปช่วยงานอาจารย์ที่ห้องโครงงานวิทยาศาสตร์ ความจริงงานนี้อาจารย์ให้ฉันกับยัยมิ้มช่วยกันทำมาหลายวันแล้วค่ะ เหลือจัดระเบียบข้อมูลอีกนิดหน่อยก็จะเสร็จแล้ว ฉันเลยคิดว่าน่าจะทำให้เรียบร้อยวันนี้ไปเลย
ห้องโครงงานเป็นห้องที่จัดไว้ให้สำหรับนักเรียนมาทำงานกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และใช้เป็นที่แสดงผลงานโครงงานที่ได้รับรางวัลจากการประกวดต่างๆ ด้วยค่ะ แต่บางครั้งเวลาที่ไม่มีคาบเรียนหรือในช่วงพัก ฉันก็เคยเห็นมีคนมานั่งอ่านหนังสือที่นี่เหมือนกัน ด้านในสุดของห้องกั้นด้วยบอร์ดจัดแสดงโครงงานจะเป็นมุมคอมพิวเตอร์สำหรับค้นข้อมูลที่ฉันกับยัยมิ้มใช้สำหรับทำงาน (อาจารย์เป็นคนแนะนำให้เรามาใช้เครื่องที่ห้องนี้เองเพราะว่าอยู่ใกล้กับห้องพักอาจารย์ด้วย)
หลังจากนั่งพิมพ์งานเงียบๆ ไปได้พักใหญ่ก็มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้อง ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นคนที่เข้ามารวมกลุ่มทำการบ้านหรือติวหนังสือกันตามปกติ จนกระทั่งใครคนหนึ่งเอ่ยชื่อธีขึ้นมา ฉันถึงได้รู้ว่าทั้งกลุ่มเป็นเพื่อนร่วมห้องของธีนั่นเอง
‘วันนี้ธีมันไปอ่านหนังสือที่ไหนเนี่ย น่าจะตามมันมาติวด้วยกันนะ จำได้ว่าสอบย่อยเรื่องนี้มันได้เต็มไม่ใช่เหรอ’
‘ก็คงอยู่ที่ห้องสมุดตามเคยละมั้ง เลิกเรียนแล้วก็ไปให้มันสอนสิ เห็นชอบทำตัวสันโดษอย่างนั้นแต่เวลาถามอะไรมันก็อธิบายให้ฟังหมดนะ’
ฉันคิดว่าบทสนทนาจะจบลงเพียงเท่านั้น แต่ปรากฏว่าฉันคิดผิดค่ะ เพราะนอกจากมีคนไม่จบแล้วยังเริ่มประเด็นใหม่โดยมีชื่อฉันเข้าไปเกี่ยวอีกด้วย
‘เออ มีใครรู้บ้างว่าตกลงเรื่องไอ้ธีกับยายแพรนี่มันยังไง เห็นชอบคุยกันบ่อยๆ เดินไปไหนมาไหนก็เจอกันตลอด อย่างกับตั้งใจงั้นแหละ’
...ไม่จริงสักหน่อย ในเมื่อที่ที่เราต่างก็ชอบไปมีอยู่ไม่กี่ที่ในโรงเรียน การที่จะเดินไปเจอกันบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหนนี่คะ ฉันคิดในใจอย่างเริ่มกรุ่นๆ ขึ้นมานิดหน่อยที่โดนมองแบบนั้น เพราะถึงไม่พูดตรงๆ ฉันก็พอรู้ว่าพวกนั้นคิดว่าใครที่เป็นฝ่าย ‘ตั้งใจ’
‘แพรไหน...ยายศรีอาภาห้องสองน่ะเหรอ เรียบๆ จืดๆ เรียนก็งั้นๆแบบนั้น ธีมันจะชอบจริงๆ เหรอวะ ไม่เห็นจะเหมาะกันสักนิด อย่างธีมันน่าจะชอบคนที่เรียนเก่งระดับท็อปเหมือนกันมากกว่ามั้ง’
แปลกไหมคะทั้งที่ฉันเองก็เคยคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้น...คนที่ธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น และที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยเดือดร้อนกับความ ‘เรียบ จืด และงั้นๆ’ ของตัวเองเลยสักครั้ง แต่วันนี้พอถูกเปรียบเทียบกับธี ฉันกลับรู้สึกถึงความแตกต่างที่ไม่เคยรู้สึกเลยตลอดเวลาเกือบสองปีตั้งแต่ได้คุยกันที่ห้องสมุดวันนั้นเป็นครั้งแรก พร้อมๆ กับที่ได้รู้ความรู้สึกของตัวเอง...ว่าเพราะอะไรถึงได้ดีใจเมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆอย่างที่บอกไว้ เพราะอะไรถึงได้มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกัน และเพราะอะไรถึงได้อยากเห็นรอยยิ้มของเขาและอยากจะยิ้มตอบทุกคราวไป
และก็เพราะความรู้สึกแบบนี้ ฉันถึงไม่อยากถูกมองเป็นคนที่ ‘ไม่เหมาะสม’ กับเขาในสายตาของใครๆ โดยเฉพาะกับธี ที่หากว่าเขาได้รู้ก็อาจจะคิดไม่ต่างกับคนอื่นๆก็ได้
...ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าความรู้สึก ‘ชอบ’ ใครสักคนจะทำให้ความมั่นใจในตัวเองของคนเราลดลงได้มากขนาดนี้
ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่งพิมพ์งานต่อจนเสร็จได้ยังไงทั้งที่ในหัวสับสนอย่างนั้น แต่ฉันก็สรุปงานเรียบร้อยก่อนหมดเวลาพักอย่างที่ตั้งใจไว้ หลังจากรอจนพวกนั้นเก็บของออกไปกันหมดแล้วฉันถึงได้ออกมาจากห้องด้านในบ้าง พอกลับมาถึงห้องเรียนช่วงบ่ายก็พบว่ายัยมิ้มกลับมาถึงก่อนแล้วและกำลังคิดหนักอยู่กับการเรียงลำดับคณะที่อาจารย์แนะนำมา (อาจารย์จะถามวิชาเรียนที่เราสนใจก่อนค่ะ ส่วนนี้เราต้องเตรียมตัวกันมาเอง จากนั้นอาจารย์จึงจะช่วยเลือกและเรียงลำดับให้อีกที) ฉันเลยเข้าไปร่วมด้วยช่วยคิดอีกคน แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องที่เจอมาให้ยัยมิ้มฟังอีกเลยจนเลิกเรียน
ตอนที่เดินออกมารอรถที่หน้าโรงเรียนเป็นเพื่อนยัยมิ้ม ฉันก็มองไปเห็นธียืนอยู่แถวนั้นก่อนแล้วกับเพื่อนอีกคน ในมือมีหนังสือเรียนเปิดกางอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังอธิบายอะไรสักอย่าง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ คนข้างๆ ก็พลอยหันมามองฉันไปด้วย สายตาคาดหวังปนรู้ทันนั้นทำให้ฉันคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อกลางวันก่อนจะตัดสินใจไม่ยิ้มตอบเหมือนเคย แต่กลับเดินผ่านหน้าธีไปเหมือนมองไม่เห็น โดยมียัยมิ้มเดินตามมาอย่างงงๆ กับอาการผิดปกติของฉัน
‘แพร เมื่อกี้ธีเค้า...’
‘รถมาแล้วมิ้ม รีบขึ้นไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน’ ฉันรีบตัดบท ส่งเพื่อนขึ้นรถแล้วเดินไปอีกทาง เพราะความต้องการปกป้องตัวเองทำให้ฉันไม่ยอมหันกลับไปมองด้านหลัง...พอมาย้อนคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าฉันนี่ทั้งขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวจังเลยนะคะ ไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง กลัวจะต้องเสียใจ สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บเข้าจริงๆ
‘วันนี้รีบกลับบ้านเหรอ เห็นเดินผ่านเราไป ไม่ทักกันเลย’
ฉันอ่านทวนข้อความที่ธีส่งมาในคืนนั้นอยู่หลายรอบกว่าจะพิมพ์ตอบไป ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกเหมือนกับว่ามีความไม่เข้าใจจนเกือบๆ จะน้อยใจปะปนอยู่ในประโยคนั้น แต่สุดท้ายฉันก็ยังคงไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองและไม่กล้าพอที่จะตอบไปตามความจริงอยู่ดี เพราะเท่ากับฉันต้องสารภาพความรู้สึกให้เขารู้...ในเวลาที่ความเชื่อมั่นในตนเองของฉันถูกกดลงจนเหลือเป็นศูนย์อย่างตอนนี้ ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ
‘ขอโทษนะ เราไม่ทันได้มองน่ะ พอดีต้องรีบไปด้วย’
‘แก้ตัวอย่างนี้ คิดว่านายธีจะเชื่อไหมเนี่ย’ ยัยมิ้มท้าวคางมองฉันที่นั่งซบหน้าลงกับโต๊ะตอนเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างปลงๆ หลังจากฉันเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฟังทั้งหมด (ยกเว้นเรื่องที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าชอบธีนะคะ เรื่องนี้ฉันยังไม่ทันได้พูด ยัยมิ้มก็บอกว่ารู้อยู่แล้วจากการสังเกตฉันมาสักพักใหญ่ๆ แต่ถึงไม่รู้มาก่อนก็คงรู้วันนี้อยู่ดี เพราะถ้าฉันไม่ได้คิดอะไรก็คงไม่มานั่งห่อเหี่ยวอยู่แบบนี้)
‘ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะให้ตอบยังไงล่ะ มันพูดไม่ได้นี่’ ฉันถอนใจเฮือกใหญ่ ถ้าตามที่เขาว่ากันว่าถอนใจหนึ่งทีผมจะหงอกหนึ่งเส้นเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ฉันคงดูเป็นยายแก่เลยล่ะค่ะ
ตอนนั้นฉันคิดเพียงแต่ว่าถ้าไม่ไปพบปะพูดคุย ไม่ทำให้ใครๆ เพ่งเล็งสักพัก คนที่พูดเรื่องของเราก็คงเลิกสนใจกันไปเอง แล้วฉันก็จะได้กลับไปคุยกับธีเหมือนเดิม แต่ฉันไม่ได้คิดเลยว่าการหลีกเลี่ยงไม่พบหน้า ไม่ยอมสบตา ไม่มีรอยยิ้มเมื่อเดินผ่านกันเหมือนที่เคย จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งฉันเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเอง
เวลาผ่านไปร่วมเดือนจากวันที่ฉันเริ่มหลบหน้าธี ไม่ยอมไปห้องสมุดหรือที่ที่คิดว่าจะได้เจอเขา เมื่อเดินสวนกัน (ซึ่งบังเอิญว่ามีเพื่อนธีมาด้วยเกือบทุกครั้ง) ก็ไม่สบตา ทำเหมือนมองไม่เห็น...ทั้งที่ความจริงแล้วฉันอยากมองหน้า อยากยิ้มให้เขา และอยากได้รับรอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิม ฉันก็พบว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
...มันเจ็บนะคะ...และเจ็บมากกว่าเมื่อเขาค่อยๆ หายไปจากชีวิตฉันด้วยวิธีเดียวกับที่ฉันทำ ถึงแม้ว่าฉันจะอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็คงไม่มีโอกาสอีก
...เพราะธีคงเกลียดฉันแล้ว
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใครหลายคนต่างหวาดเกรงสำหรับฉันกลับเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วมากที่สุด ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทุ่มเทสมาธิกับการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเพราะมันคงดีกว่ามีเวลาว่างแล้วคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิม และความพยายามครั้งนี้ก็ทำให้ฉันสอบเข้าเรียนคณะที่ต้องการได้สำเร็จพร้อมกับเพื่อนสนิทที่จะได้ติดตามกันไปอีกอย่างน้อยสี่ปีอย่างยัยมิ้ม ส่วนธีก็สอบติดคณะที่ต้องการซึ่งคะแนนสูงเป็นลำดับต้นๆ ในสายเดียวกัน (และได้ยินว่าสอบสัมภาษณ์โหดมาก แต่ฉันคิดว่าเขาคงผ่านได้แน่ๆ อยู่แล้ว) เช่นกัน
นั่นเป็นเรื่องสุดท้ายที่ฉันรู้เกี่ยวกับธีก่อนที่เส้นทางของเราจะแยกจากกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และก็ไม่เคยกลับมาบรรจบกันอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้...ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้เราสามารถค้นพบผู้คนที่เคยห่างหายกันไปได้อย่างง่ายดายผ่านทางเครือข่ายสังคมในอินเทอร์เน็ต ฉันก็ยังไม่เคยได้ยินข่าวคราวของธี เหมือนกับเขาได้หายไปจากชีวิตของฉันอย่างถาวร
คงคล้ายกับความเจ็บปวดในใจของฉัน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านมานานขนาดนี้มันก็ได้จางลงจนเกือบจะหายสนิท...หากเป็นบาดแผลก็คงจะเหลือเพียงรอยแผลเป็นจางๆ เท่านั้น
“น้องแพรขา พี่สาลี่เรียกพบตอนนี้เลยค่า”
พี่จ๋า หรือจารุ เลขาของพี่สาลี่ หัวหน้าฝ่ายเจ้านายโดยตรงของฉันส่งเสียงเรียกมาจากหน้าประตูห้องที่ฉันกับคนอื่นๆ ในทีมนั่งทำงานกันอยู่ ปกติแล้วพี่จ๋าจะใช้คำว่า ‘ตอนนี้’ เฉพาะเวลามีเรื่องด่วน ฉันจึงรีบขานรับแล้วลุกขึ้นพร้อมกับสมุดจดงานในมือ แต่น้ำเสียงแฝงแววตื่นเต้นของคนพูดทำให้อดหันไปสบตากับยัยมิ้มที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันไม่ได้ ซึ่งเพื่อนฉันก็ส่ายหน้านิดๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน
“ค่ะพี่จ๋า แพรไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ฉันเดินตามผู้อาวุโสกว่าไปที่ห้องทำงานของหัวหน้า นึกสงสัยว่ามีงานในความรับผิดชอบส่วนไหนที่ผิดพลาดจนต้องถูกเรียกมาตำหนิบ้างไหม แต่ท่าทางของพี่จ๋าเหมือนคนที่รู้อะไรดีๆ มาและอยากเปิดเผยจนเต็มแก่แล้วมากกว่า ทำให้ฉันคลายกังวลไปได้ส่วนหนึ่งแต่ก็ยังเดาไม่ถูกอยู่ดีว่าโดนเรียกพบเรื่องอะไร เมื่อคนที่พามาส่งกระซิบให้กำลังใจก่อนที่ฉันจะผลักประตูเข้าไปว่า
“สู้ๆ นะคะน้องแพร โชคดีค่ะ”
...หืม ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย...แล้วฉันก็ได้รับคำตอบในที่สุดเมื่อพี่สาลี่หรือสาลินีผู้ที่รับฉันเข้าทำงานที่นี่หลังจบปริญญาโทเมื่อสามปีก่อนและให้ความเอ็นดูฉันมาตลอดเริ่มต้นอธิบายก่อนจะปิดท้ายอย่างเสียดายว่า
“แพรคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหมว่าบริษัทเรากำลังจะขยายงานด้านการตลาดต่างประเทศ ตอนที่ทางผู้บริหารคัดเลือกทีมงานก็มาขอความร่วมมือจากพี่ว่าอยากได้คนที่มีประสบการณ์ไปช่วยงานทางนี้ พี่และฝ่ายผู้ใหญ่พิจารณาแล้วว่าแพรมีความสามารถที่จะทำงานนี้ได้ ก็เลยอยากจะให้แพรไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ ทำหน้าที่คล้ายๆ เลขาด้วยแหละนะ แพรจะตกลงไหมจ๊ะ...ที่จริงพี่ก็เสียดายคนเก่งๆ คล่องๆ อย่างแพรนะ แต่มันก็เป็นความก้าวหน้าในการทำงานอย่างหนึ่ง แพรจะว่ายังไงล่ะ”
“แพรก็อยากทำงานกับพี่สาลี่ค่ะ แต่ถ้าพี่สาลี่เห็นว่าแพรสามารถทำงานนี้ได้ แพรก็ยินดีค่ะ” ฉันตอบไปตามความจริง ถึงแม้จะกังวลอยู่บ้างแต่พี่สาลี่ก็รีบให้ความมั่นใจว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ นอกจากเนื้อหาของงานก็มีเพียงหัวหน้าโดยตรงเท่านั้น เพราะในทางปฏิบัติก็ยังถือว่าเธอเป็นหัวหน้าของฉันอยู่จากการคุมงานฝ่ายการตลาดทั้งหมด ส่วนสถานที่ทำงานก็ยังอยู่ในชั้นเดียวกันเพียงแต่คนละปีกตึก และเพื่อนร่วมงานก็เป็นคนที่ถูกดึงมาจากฝ่ายเดิมเช่นกัน
“ถ้าแพรตกลง พี่จะได้พาไปพบหัวหน้าคนใหม่ของแพรเลย วันนี้เขาเข้ามาพบผู้บริหารพอดี” พี่สาลี่เดินนำฉันออกไปพลางอธิบายเพิ่มเติมว่า“คุณวิชัย ประธานบริษัทเราเป็นคนชวนเขามาทำงานนี้เอง เห็นว่าโปรไฟล์ดีมาก เท่าที่พี่เคยเจอตัวจริงก็ยังหนุ่มอยู่แต่ท่าทางทำงานเก่งทีเดียว แพรไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”
ฉันรับคำ ตอนเดินตามพี่สาลี่ออกมาจากห้องก็เห็นยัยมิ้มกับคนอื่นๆ ในแผนกกำลังยืนรุมพี่จ๋ากันอยู่ และคงรู้เรื่องที่ฉันได้ย้ายงานกันหมดแล้วเพราะทุกคนหันมาพูดโดยไม่ออกเสียงพร้อมกันว่า ‘โชคดีนะ’ ให้ฉันพยักหน้ารับอย่างมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย พอเราขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานคุณวิชัยก็พบเจ้าของห้องเดินสวนออกมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งพอดี
วินาทีที่ฉันสบตากับเจ้าของร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่มองตรงมาที่ฉันก่อนจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกันด้วยซ้ำ ฉันก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนอีกครั้ง เพราะดวงตาคมที่มองสบมาคู่นั้นเป็นของคนที่ฉันไม่เคยลืมตลอดเวลาที่ผ่านมา
...ธีศิษฏ์
*เพลง Have you ever ของ S Club 7
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in