เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Solo Trip - ABC Trek ไปเนปาลครึ่งเดือนยังไงไม่ถึง 30,000มนุษย์ที่สังเคราะห์แสงได้
BKK > Kathmandu > Pokhara
  • "เส้นทางจากเมืองหลวงเนปาลถึงเมืองหลวงของเหล่าเทรคเกอร์"

    Day 1 

    BKK > Kathmandu

             หลังจากเตรียมของทุกอย่างลงกระเป๋าแล้ว เราก็เอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักคร่าว ๆ ให้แน่ใจอีกครั้งว่าน้ำหนักไม่เกินแน่นอน เราไปสายการบิน Jet Airways ไฟล์ทเช้า 6.25 น. น้ำหนักกระเป๋าได้ 30 kg.

              9.30 น. ก็แวะทรานซิสที่สนามบินมุมไบ (BOM) สูดหายใจเฮือกแรก แพ้ฝุ่นไปเลยจ้า ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางแบบทรานซิส ตื่นเต้นเบา ๆ แต่ก็เดินตามป้ายและตามคนที่ดูเป็นนักเดินทางไปเทรคที่เนปาลเหมือนเรา เรานั่งเล่นรอไม่กี่ชั่วโมงก็ไปต่อ

         
       ฝุ่นเยอะแค่ไหนถามใจดู

            11.25 น. ต่อเครื่องไปเนปาลอีกรอบ เราได้นั่งติดกับประตูฉุกเฉิน แอร์พยายามเดินมาถามว่าอายุเท่าไหร่ ชัวร์ใช่ไหมว่าเปิดประตูฉุกเฉินได้ เขากลัวเราเปิดประตูไม่ออกเวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน แอร์คิดว่าเราเด็กอยู่ พอบอกว่าอายุ 23 เขาก็ปิดประเด็น 555


    หน้าตาอาหารบนเครื่อง อร่อยดีน้า

          ตามกำหนดการ เราควรจะถึงสนามบินตรีภูวัณประมาณบ่ายสองกว่า ๆ เราจำไม่ได้ว่าถึงตามเวลาไหม แต่กระเป๋าดีเลย์แน่นอน ดีเลย์ไปหลายชั่วโมงมาก พอถึงที่สนามบินเนปาล เราก็กรอกเอกสารขาเข้า โดยมีผู้ชายอิสราเอลหน้าตาดีคนหนึ่งหยิบเอกสารมาให้ประหนึ่งมาด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ตรงหน้าเขาเหลือกระดาษแค่ใบเดียว พอเขายื่นให้เราเสร็จ เขาก็เดินไปหยิบของเขาเองตรงอื่นแทน น่ารักมาก แล้วเราก็แยกกัน

            เสร็จแล้วก็รอเอากระเป๋า รอนานมากกกกก สนามบินนี้ค่อนข้างเล็กนะ ตรงที่เอากระเป๋าต้องแออัดกันหน่อย และชุลมุนพอประมาณ ซึ่งกระเป๋าเราดีเลย์หนักมาก หลังจากได้กระเป๋าก็รีบไปแลกเงิน และซื้อซิม เราซื้อของ Ncell ประมาณ 1,300 NPR และเจอผู้ชายอิสราเอลคนเดิมถามว่าจะเข้าเมืองไปยังไง เหมือนจะชวนหารด้วย แต่นี่ก็บอกที่พักจะมารับ เลยปฏิเสธไป และเราก็แยกกันอีกครั้ง

             พอออกมาจากสนามบินก็เห็นฉากหน้าเป็นซีนสีส้มฝุ่น และคนขับรถแท็กซี่คอยถือป้ายเรียกผู้โดยสารเรียงราย เราเดินหาป้ายชื่อตัวเองนานมาก วนไปมาประมาณ 10 รอบ ไม่มีจ้า สรุปฉันโดนที่พักเท เพราะกระเป๋าดีเลย์ แท็กซี่แถวนั้นเลยเรียกมาถามว่าจะไปไหน เราก็เอาชื่อที่พักกับเบอร์โทรให้ดู เขาก็โทรไปหาที่พักนั้น แล้วบอกว่าคนขับรถของโรงแรมมารอแล้ว แต่กลับไปแล้ว ให้หาทางไปเอง ฟิลตอนนั้นคือแบบ เอ้า ไงต่อล่ะทีนี้ ซวยจริง

             เราก็ไม่รู้หรอกว่าแท็กซี่นั้นโทรจริงเปล่า แต่ ณ จุด ๆ นั้นก็ทำไรไม่ได้ละ ไปกับนางก็ได้ ซึ่งรถเป็นแท็กซี่คันใหญ่ ๆ ต้องรอหารกับนักท่องเที่ยวคนอื่น พอหาคนหารได้เต็มก็ออกรถ 

            ถนนที่เนปาลไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝุ่นฟุ้งตลอดทาง วิวอาคารบ้านเรือนข้างทางก็ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ของเนปาลดี จากถนนใหญ่เริ่มเข้าไปในซอยแคบ ผู้คนพลุกพล่าน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวเยอะมากขึ้น ตอนนั้นก็พอจะเดาได้ว่าเข้าสู่ย่านทาเมลแล้ว 

             ย่านทาเมล (Thamel) เป็นศูนย์กลางนักท่องเที่ยวของเนปาล ผู้คนมักมาแวะอยู่นี่ก่อนเดินทางไปโพคารา ที่นี่เลยมีที่พัก ร้านอาหาร และร้านขายอุปกรณ์เทรคกิ้งเยอะมาก ใครจะเลือกซื้อที่นี่ก็ได้เลย หลากหลายแบบ หลากหลายราคามาก หรือจะไปซื้อที่โพคาราก็ได้ มีเยอะเหมือนกัน 


    วิวข้างทางก่อนไปย่านทาเมล


            สุดท้าย แท็กซี่ปล่อยเราไว้กลางทาง และบอกว่าเดินไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว

            แต่...ฉันหาไม่เจอจ้า ทางคือซอกแซกมาก เราเดินหลงไปมานานมากจนเหนื่อย ระหว่างนั้นจะมีคนคอยเรียกให้ไปพักไปส่งตลอด ต้องใจแข็งหน่อย จนสุดท้ายเราไม่ไหว เลยเข้าไปถามทางคนหนึ่ง เขาขอเบอร์โทรที่พักและโทรไปที่พักของเรา แล้วบอกเราว่าเขาได้ cancel ที่พักนั้นแล้ว ให้ไปกับเขาแทน ตรงนี้ต้องระวังให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าเขาโทรจริงไหม ยิ่งเขาพูดภาษาเนปาลด้วย เราก็ไม่เข้าใจว่าเขาคุยอะไรกันจริง ๆ ถ้าไม่ระวังอาจโดนหลอกให้จ่ายสองรอบได้ ทางที่ดีปฏิเสธไปดีกว่า เราก็ปฏิเสธเขาไป


    บรรยากาศย่านทาเมล 
     

            และโชคก็เข้าข้างเรา เราเจอผู้ชายอิสราเอลคนเดิม เจอกันบ่อยจนต้องถามชื่อละล่ะ เขาชื่อ Aviv เป็นนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คที่แพลนจะเที่ยวเป็นเดือน ซึ่งความจริง Avive คือผู้ชายที่นั่งบนเครื่องบินแถวเดียวกับเรา โดยมีผู้หญิงคั่นแค่คนเดียว นางเลยเห็นซีนที่แอร์มาถามอายุเรา แล้วก็แซวใหญ่ 

            Avive ช่วยสะพายกระเป๋าหาที่พักให้เราจนเจอ เราแลก contact กัน แต่ไม่ได้นัดอะไรกันเพราะต่างมีนัดกันทั้งคู่ เราแซวกันว่าจะเจอกันอีกรอบไหมเนี่ย 


     ช่วงที่ไปเป็นช่วงเทศกาล Holi หรือเทศกาลเล่นสีพอดี เราก็จะเห็นคนเดินเปื้อนสีอยู่ทั่วไปหมด บางคนก็เดินป้ายสีกันคล้าย ๆ กับเดินปะแป้งวันสงกรานต์ เรากับ Aviv ก็เลอะสีไปกับเขาด้วย


            ที่พักนี่อยู่ในซอกหลืบสุดฤทธิ์ ชื่อ Mitra Garden Inn ราคาคืนละ 294 THB ตอนกลางคืนน่ากลัวอยู่ แต่เราเข้าไปถึงช่วงเย็น เข้าไปแล้วบรรยากาศก็อบอุ่นดี เจ้าของที่พักน่ารักมาก เฟรนด์ลี่สุด เขาเอาชาดำมาให้ระหว่างรอเข้าห้อง ถามเราใหญ่เลยว่าจะไปไหนยังไง และช่วยให้ข้อมูลเราเต็มที่ เขาก็บอกว่าแท็กซี่โทรมาหาเขาจริง ๆ บอกว่าคนขับไปรอตั้งนาน เห็นไม่ออกมา เลยกลับมาก่อน เจ้าของที่พักชวนเราคุยนู่นนี่นั่นเหมือนกลัวเราเหงา 5555 และช่วยบอกเส้นทางท่ารถบัสไปโพคารา แล้วก็จองที่นั่งแบบออนไลน์ให้ ส่วนห้องพักก็ไม่มีอะไรพิเศษมาก มี 3 เตียง และมีเราคนเดียวนอน 3 เตียง

           เราเก็บของอะไรเรียบร้อย  กินยาแก้แพ้ 1เม็ด และติดต่อเพื่อนชาวเนปาล ชื่อ Dipend ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที พอดีเพื่อนเรามีเพื่อนเนปาลที่ทำงานอยู่ที่ไทย เพื่อนเนปาลคนนั้นเลยฝาก Dipend มาช่วยดูเราอีกที Dipend มาหาแถว ๆ ที่พัก และเราก็ได้บังเอิญเจอ Aviv อีกรอบ ครั้งนี้เราทักทายกันนิดเดียวและแยกกันของจริง สรุปทริปนี้บังเอิญเจอ Aviv หลายรอบมาก ประมาณ 4-5 รอบได้เหมือนพระเจ้าส่งมาช่วย 555555 ต้องขอบคุณ Aviv มากจริง ๆ

           Dipend พาแว้นมอเตอร์ไซต์ไปกินอาหารค่ำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและแนะนำให้สั่ง Momo  เราก็สั่งมาเป็นแบบต้มยำ อร่อยมาก คล้าย ๆ ขนมจีบผสมเกี๊ยวอยู่ในน้ำต้มยำ Dipend บอกว่า ตัวเขาเองยังไม่เคยไป abc เลย และพนันกันได้เลย ยูไปไม่ถึง abc หรอก เราก็ตอบว่าเดี๋ยวคอยดู!!!!!

          

    Momo อาหารขึ้นชื่อของเนปาล

           โมโม่ เป็นอาหารเนปาลชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายซาลาเปาไซส์มินิ มีแป้งห่อไส้บาง ๆ คล้ายเกี๊ยวหรือขนมจีบ ด้านในใส่ไส้ได้หลายแบบทั้งไส้ไก่ หมู เนื้อต่าง ๆ  และไส้ผักล้วน ซึ่งจะผสมเครื่องเทศแบบเนปาลไว้ในไส้ ทำให้รสชาติมีลักษณะเฉพาะตัว โมโม่เสิร์ฟได้หลายแบบ ทั้งแบบนึ่ง ทอด ใส่ในซุป และเสิร์ฟพร้อมกับซอสที่หลากหลาย ถ้าใครมาเนปาลแล้วไม่ได้ชิม ถือว่ามาไม่ถึงนะ ^^  

            หลังจากมื้ออาหาร Dipend พาเราเดินเล่นแถวนั้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและฝุ่นฟุ้ง จุดพีคคือ เราจำทางกลับที่พักไม่ได้ ขนาดใช้แมพยังหายากเลย เนี่ย นิสัยไม่เคยจำทาง หลงแล้วหลงอีก พา Dipend หลงด้วย ดีที่เขาใจเย็น ค่อย ๆ พาเราหาทางกลับ เราลากับ Dipend และรีบพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางอีกไกล...

  • Day 2

    Kathmandu > Pokhara

             เราตื่นมาแต่เช้าแล้วรีบเดินไปที่ท่ารถบัสไปโพคารา จากย่านทาเมลเดินไปไม่ยากเลยนะ ให้ pin google map ไปที่ Yellow Pagoda Hotel ท่ารถจะอยู่ตรงข้ามโรงแรมนี้ 
             เราจะเห็นรสบัสจอดอยู่เป็นแถวเรียงกัน ก็เดินตามหาบริษัทที่เราจองไว้ ความจริงเราไม่ต้องจองก็ได้ สามารถ walk in มาซื้อที่ท่าได้เลย หรือถ้าจะจองก็ให้ที่พักจองให้โดยตรง อย่า! จองออนไลน์เด็ดขาด ขอเตือนตัวโต ๆ เพราะเราจะไม่ได้นั่งตามที่นั่งทั่วไป เราจะได้นั่งข้างหน้า ข้าง ๆ คนขับ และนั่นคือความทรมานมาก ที่พิงหลังแข็งจนปวดกระดูก ยืดเท้าไม่ได้ และต้องนั่งเบียดกันกับคนขับและกระเป๋ารถ เราต้องนั่งแบบนั้นอยู่ 7-8 ชั่วโมง ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ รู้สึกพลาดมาก ตรงด้านหน้าก็มีกรุ๊ปผู้หญิงชาวจีน 3-4 นั่งมาด้วย เขาก็จองแบบออนไลน์เหมือนกัน 


    นี่คือสภาพเบาะที่เรานั่งตลอด 7-8 ชั่วโมง

    นี่คือที่นั่งของกรุ๊ปคนจีน  เห็นความแข็งและแคบนั้นไหม TT

              ตรงข้างทางที่ท่ารถจะมีนม / โอวันตินร้อน ๆ และขนมปังขายรองท้อง เราซื้อขนมปังมาหน่อยหนึ่งและน้ำเปล่าอีก 1 ขวด

             พอเราขึ้นรถ เราจะรับรู้ถึงสภาพถนนเนปาลที่แท้ทรูยิ่งกว่าตอนมาจากสนามบิน เพราะขรุขระกว่าเดิมมาก (ถนนจะเรียบแค่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น) ใครที่เมารถง่าย แนะนำว่ากินยาแก้เมาตั้งแต่ตอนนี้เลย หรือใครที่คิดว่าตัวเองไม่เมาหรอกมั้ง ก็ควรกินไว้เลย แถมรถนี่เปิดหน้าต่างโบกลมอีก ฝุ่นเข้ามาเต็มที่ ต้องใส่แมสตลอดเวลา 
            ที่ตื่นเต้นและพิเศษสุดของการนั่งข้างหน้าคือ เราจะเห็นเลยว่าที่เนปาลเขาชอบขับรถเลนส์เดียว ใช่จ่ะ หมายความว่า เราจะเห็นรถอีกฝั่งมุ่งหน้ามาทางรถเรา แล้วเขาจะหักลบกันตอนใกล้ชนกัน ตอนแรกก็คิดว่า เอ้อ เขาคงหลบหลุมมั้ง หลุมเยอะอยู่ คงไม่อยากตกหลุมมาก แต่พอนั่งดู ๆ ไป เอ้า ตอนถนนเรียบ ๆ ก็ขับแบบนี้นี่ คงเป็นสไตล์ส่วนแล้วล่ะ ให้ฟิล Fast & Furious แบบ 4DX มาก ๆ โชคดีแค่ไหนที่เราเป็นสาวก Fast เลยรู้สึกตื่นเต้นปนสนุก แต่คนที่ไม่ชอบความผาดโผนและหวาดเสียวแบบนี้ก็ อย่า!จองออนไลน์เด็ด ย้ำอีกรอบ! เพราะไม่ใช่แค่นั่งไม่สบาย แต่คุณอาจหัวใจวายได้ตลอดการเดินทาง

    ถนนในตัวเมืองแถบนี้ยังดีอยู่ ส่วนที่เห็นมัว ๆ นั่นไม่ใช่หมอกนะ ฝุ่นจ้า

    ที่ภาพเบลอไม่ใช่เพราะเธอไม่ชัดเจน แต่รถน่าจะตกหลุมอยู่

    วินาทีที่เหมือนอยู่ใน Fast & Furious

            ผ่านไปสักพัก รถจะแวะให้เราหาอะไรกินและเข้าห้องน้ำ ซึ่งรถจะแวะให้เราสองรอบ บอกเลยว่า ห้องน้ำไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไหร่ เพราะขันน้ำถูกเอาไปใส่กระดาษทิชชู่ ทำให้ไม่สามารถราดน้ำได้ ห้องน้ำเลยเหม็นและสกปรกมาก เราต้องทำใจหลับหูหลับตาเข้าไป ไม่งั้นคงอีกนานกว่าจะได้เข้า ยังดีที่เรามีทิชชู่เปียก ส่วนตอนแวะเราไม่ค่อยกินอะไรมาก เรากินแค่แซนด์วิชตอนจอดรอบแรก และชาดำตอนจอดรอบสอง เพราะรู้สึกว่าแพ้ฝุ่นหนักมาก อยากกินอะไรร้อน ๆ ให้คอโล่ง 


    ตลาดใกล้ ๆ ที่พักรถครั้งแรก มีของสดขายเยอะ แต่มีร้านอาหารไม่เยอะมาก 2-3 ร้านเองมั้ง

    เราสั่งแซนด์วิชไข่ดาวมากิน อยู่ท้องไปได้หลายชั่วโมงเลย

            ระหว่างอยู่บนรถก็ติดต่อกับ Dipend และลูกหาบตลอดว่าถึงไหนแล้ว เราก็บอกลูกหาบได้แค่ว่าน่าจะถึงเย็นเท่านั้น ไม่รู้ตอนนี้อยู่ตรงไหน ส่วน Dipend บอกว่าถ้าเจอลูกหาบแล้วให้รีบส่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับลูกหาบให้หมด เผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ติดต่อได้ 
             เราไปถึงที่โพคาราช่วงเย็น ประมาณสี่โมงเย็นได้ ที่โพคาราอากาศดีกว่าที่กาฏมาณฑุหลายเท่าเลย ค่อยหายใจสะดวกหน่อย 
             เรานั่งกอดกระเป๋ารอลูกหาบสักพัก ลูกหาบเราชื่อ ซอบิน เป็นครูสอนมวย และรับพาร์ทไทม์เป็นลูกหาบอยู่เรื่อย ๆ  ซึ่งความจริงซอบินไม่ใช่คนที่เราคุยอีเมล์ด้วยตอนแรก คนที่คุยด้วยตอนแรกเป็นลุงซอบิน เขาประสบอุบัติเหตุ แขนหัก เลยมาไม่ได้และส่งซอบินมาแทน ซอบินอายุใกล้เคียงกับเรา อ่อนกว่านิดหน่อย เลยคุยเข้ากันง่ายหน่อย 
            ซอบินพาเราขึ้นแท็กซี่ไปโฮสเทลที่เราจองไว้ใน Booking.com ชื่อ Hanuman Hostel ราคาคืนละ 140 THB ซอบินช่วยดูความเรียบร้อยของที่พักให้ทั้งหมด และพาเราไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบ วันนั้นฝนกำลังจะมา วิวริมทะเลสาบเลยหมอง ๆ หน่อย แต่อากาศสดชื่นดีมากเลยนะ


    ความจริงที่เห็นขาว ๆ นั้นจะเป็นวิวเทือกเขาหิมาลัยหมดเลย แต่หมอกบังหมด เป็นเศร้าเลย

    วิวริมทะเลสาบเฟวาที่ Pokhara

            ซอบินเซอร์วิสดีมาก ชอบถ่ายรูปด้วย เรานั่งคุยนั่งเล่นกันสักพักแล้วไปซื้อของใช้จำเป็นที่เหลือ ซอบินคอยต่อราคาให้เยอะมาก เกือบทุกชิ้นเลย เราไปซื้อกางเกงเดินป่าเพิ่ม 1 ตัว ซื้อ trekking pole 1 อัน และเช่าถุงนอน 1 อัน 9 วัน 10 คืน มีค่าประกันอุปกรณ์นิดหน่อย จากนั้นก็แยกย้ายพักผ่อน
           ตอนกลางคืนเรารู้สึกว่าร่างกายเหมือนจะไม่สบาย ไอ และปวดหัวมาก มีอาการเจ็บคอด้วย น่าจะเป็นเพราะเจอฝุ่นหนักมาทั้งวัน แล้วมาเจออากาศเย็นอีก ร่างกายน่าจะปรับตัวไม่ทัน แต่เราก็บอกตัวเองว่าแกจะมาตายตั้งแต่เริ่มไม่ได้นะ ว่าแล้วก็โดฟยาแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำ เลยไม่ได้คุยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่นอนร่วมห้องด้วยเลย ณ จุด ๆ นี้ต้องเซฟตัวเองก่อนแล้วจ้า พรุ่งนี้จะพังไม่ได้!!


    (มีต่อ)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in