**Spoiler alert** มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ กรุณาอ่านนิยายก่อนอ่านบทความนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พบเจอคุณจ๋า ผู้เขียนจวบระพีฯ (ข้าพเจ้ารู้จักนักเขียนในชื่ออื่น แต่ในเมื่อนักอ่านเรียกคุณนักเขียนว่า "คุณจ๋า" ข้าพเจ้าก็จะเรียกตาม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหา doxing) ในคาเฟ่แห่งหนึ่งแถวตลาดในตัวเมือง (ไม่ต้องแปลกใจในความบังเอิญ เมืิองของเราเล็กนิดเดียว และร้านกาแฟที่ทำเครื่องดื่มใส่นมสดแทนที่จะเป็นครีมเทียม/ วิปปิ้งครีมในบานอฟฟี่แทนที่จะเป็น non-dairy whip ในจังหวัดนี้ก็มีน้อยจนนับด้วยมือข้างเดียวได้) ประตูไม้เปิดผาง ลมร้อนพรูเข้าแย่งชิงพื้นที่จากแอร์ตัวเล็กกะตึ๋ง คุณจ๋านั่งอ่านคินเดิลอยู่ตรงนั้น ข้าพเจ้าโบกมือทักแล้วหย่อนตูดลงไปที่โต๊ะตัวข้างๆ ร้านเล็กนิดเดียว นักเขียนหาเรื่องลุกหนีไปนั่งไกลๆ ไม่ได้ เราจึงได้คุยกันราวๆ ครึ่งชั่วโมง
เพื่อให้ไม่เป็นการเยิ่นเย้อ ขอข้าม small talk (เรื่องที่อีกฝ่ายไปวิ่งในค่ายทหารแล้วผึ้งบินเข้าปาก กับเรื่องที่ร้านของข้าพเจ้าไฟดับจนต้องออกมาส่งของและนั่งกินช็อกปั่นใส่ครีมฆ่าเวลา) เราคุยกันเรื่องทวิตที่แมสโดยบังเอิญของคุณจ๋า (แม่ผู้ล่วงลับของคุณจ๋ามาเข้าฝันว่าคนคุยคนล่าสุดธงแดงปักคาหัว และคนในทวิตเตอร์ก็โผล่จากรูหนอนมาช่วยวิเคราะห์ทางจิตวิทยาให้ว่านั่นไม่ใช่แม่แต่เป็นจิตใต้สำนึกของตัวเธอเอง... --โว้ย รู้แล้ว-- ฮ่าๆๆๆ) บทสนทนาลามมาที่การวิเคราะห์วรรณกรรม ว่าด้วยงานเขียนชิ้นแรก กับความคาดหวังที่มีต่อมัน, subtext ระหว่างบรรทัดที่ผู้เขียนพยายามใส่มาแบบ subtle โดยไม่จับนักอ่านง้างปากให้เคี้ยวกลืนโดยง่าย
"น่าเสียดายที่ไม่มีใครพูดถึงมัน" คุณจ๋ากล่าวแก่ข้าพเจ้า
น่าเสียดาย ใช่ แต่ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือมาหลายปี เล่มที่ขายดีมักจะมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกันในระดับคาดเดาได้: การเกี้ยวพานระหว่างตัวละครเอกทั้งสอง, ถ้อยวลีเปลี่ยวเหงาที่ถ่ายลงสตอรี่แล้วดูสวย คนกดไลค์ตรึม, ความโศกาสาไถย ยิ่งทุรนทุรายก็ยิ่งดี สามสิ่งนี้ข้าพเจ้าล้วนพยายามลดละเลิกในงานเขียนชิ้นหลังๆ เพื่อพิสูจน์ว่าหากลอกเปลือกสามชั้นนี้ออกแล้วจะยังมีคนเข้าถึงสารัตถะใต้สระอโนดาตของข้าพเจ้าหรือไม่ คำตอบนั้นคลุมเครือ บ้างไม่เข้าใจ บ้างเข้าใจแต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงมัน เพราะการพูดออกมาคือการลากพาความคิดเห็นดังกล่าวมาสู่แสงสว่าง ทำให้สิ่งเหล่านั้นจับต้องได้ และได้เห็นว่าเนื้อแท้ของมันนอกจากไม่สวยงามน่าชมแล้ว บ่อยครั้งที่ถึงขั้นน่าชัง
ข้าพเจ้าไม่ได้จะบอกว่า จวบระพีฯ เองจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน อันที่จริงผู้เขียนค่อนข้างจะปรานีต่อนักอ่าน จงใจเคลือบน้ำตาลพูนช้อนให้บทสรุปของเรื่องราวที่ลากยาวคล้ายไม่มีจุดสิ้นสุดให้ผู้อ่านได้เห็นว่า ชีวิตหลังผ่านด่านเคราะห์แห่งการแยกจากมาแล้วราบรื่นเพียงไร คนรอบข้างคิดถึงพวกเขา ลูกสาวยอมรับตัวตนของพวกเขา ลามไปถึงจดหมายจากห้วงคะนึงของมารดาผู้อันที่จริงแล้วอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ เพื่อเฉลยว่าฟ้าหลังฝนไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก และมีรางวัลเฝ้ารออยู่สำหรับรักแท้เสมอ
แต่นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องการจากการอ่านเรื่องนี้จริงๆ ละหรือ
จวบระพีฯ จะเหลืออะไรไว้ หากเราถอดองค์ประกอบขายดีทั้งสามออก (เกี้ยวพาน/วลีเหงา/โศกาสาไถย) เป็นคำถามที่คาใจทั้งข้าพเจ้าและตัวผู้เขียนเอง ข้าพเจ้านำบทสนทนาระหว่างตัวคุณจ๋าและข้าพเจ้าเองมาสรุปโดยสังเขปตามความเข้าใจดังนี้
นี่อาจฟังดูทำร้ายจิตใจเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในโทรป Found family ละมัง อย่างที่นักอ่านคงได้เห็นตั้งแต่บทแรกๆ แล้วว่า "คุณชายระพี" ตัวเอกของเรื่องมีความเป็นอยู่ที่น่าเศร้าเพียงไร แม้น่าเศร้าของเขาจะเป็นเศร้าเหงาเช็ดน้ำตาในรถเบนซ์ มีคนซักผ้าทำความสะอาดเรือนให้ มีสำรับอาหารเสิร์ฟทุกมื้อ เป็นความ melancholia ระดับมาตรฐานของลูกเมียน้อยเจ้าขุนมูลนายก็ตาม ความเศร้าของการถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงก็ยังเป็นความเศร้าอยู่ดี ในขณะที่ลูกบ่าวเกิดในเรือนอย่าง "นิ่ม" (ตัวเอกอีกคนของเรื่อง) มีครอบครัวอบอุ่น เป็นที่รักเอ็นดูของแม่และผู้ใหญ่ชนชั้นแรงงานในครัวเรือน
ตัวเอกทั้งสองพบพาน โอภาสันถวะตามประสาคนรุ่นเดียวกัน แล้วบุปผาแห่งมิตรภาพระหว่างทั้งสองก็ยิ่งสบโอกาสเติบโตเบ่งบานเยี่ยงวัชพืชในยามที่คุณชายระพีไม่เหลือใคร ความสัมพันธ์ทางกายและความผูกพันทางใจขยับขยายขึ้นหลังการย้ายเข้าเรือนเก่าที่เคยเป็นของมารดาผู้ล่วงลับ
มันคือความรักไม่ผิดแน่ แต่ความรักประกอบสร้างด้วยธาตุใดบ้าง
โลกใบเล็กที่มีเพียงเราสอง vs โลกภายนอกซึ่งเต็มไปด้วยนักล่าและภยันตราย -- ทฤษฎีเอย หนังสือการเมืองที่มีเนื้อหาล้มล้างระบอบศักดินาเอย ต่างถูกหยิบใช้เฉกเช่นอุปกรณ์สำหรับร่วมสร้างความฝัน ชีวิต กระทั่งถกแถลงถึงอนาคตบ้านเมือง จนถึงวันหนึ่งที่ความเป็นจริงตีเข้าแสกหน้า ว่าชีวิตของพวกเขาไม่ใช่ของพวกเขาเสียทีเดียว (คุณระพีเป็นคนของตระกูล นิ่มเป็นตัวหมากไว้ใช้สอยเพื่อประโยชน์ทางการเมือง) ฝันของพวกเขาใหญ่ แต่ตัวตนเล็กจ้อยกว่าที่คิด
...ซึ่งอันที่จริงก็มีทางให้เลือกไปเวย์อื่น หนีตามกันก็ฟังดูโรแมนติกไม่เลว แต่ราคาที่ต้องแลกคงสูงเกินสำหรับคนที่ใช้ชีวิตสะดวกสบายบนกองเงินกองทองตลอดมาอย่างระพี และการมีแบ็ก มีคนคุ้มกะลาหัวให้นักเรียนโนเนมนูกูอย่างนิ่มก็ไม่ใช่โอกาสที่หาได้โดยง่ายเสียด้วย
คุณระพีถือกำเนิดบนผืนดินแห่งความขาดแคลน ไม่มีใครรักเขามากพอจะก้าวข้ามเขตแดนมาอยู่ข้างเดียวกับเขา คนในเรือนใหญ่มองเขาเป็นลูกบ่าว บ่าวมองเขาเป็นนาย แม้แต่มารดายังผลักเขาไปเป็นพวกเดียวกับบิดา ถามว่าเขาต้องการความรักไหม? ต้องการ แต่เขาพร้อมจะมอบความรักแก่ผู้อื่นไหม...อาจจะยัง มารดาไม่รักเขา ไม่มีใครเป็นพวกเดียวกับเขา เมล็ดพันธุ์ที่ไร้น้ำไร้ปุ๋ยจะผลิดอกสวยงามได้อย่างไร
แล้วนิ่มก็โผล่มา เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันผู้สงสารเวทนาคุณระพี นิ่มผู้พร้อมจะประเคนความรักประคบประหงมให้คุณชายยิ้มเยอะๆ เราอาจกล่าวได้ว่า นอกจากความห่วงหาตามประสาคนคุ้นเคยแล้ว คุณระพียังรักนิ่มที่รักคุณระพีอีกด้วย ยิ่งนิ่มอุทิศหัวใจให้ระพี ระพียิ่งผูกจิตปฏิพัทธ์กลับ ในขณะเดียวกันระพีก็เฝ้าทวงถามถึงความเท่าเทียมทางความสัมพันธ์ ซึ่งอีกฝ่ายจะตอบว่าคุณระพีอยู่เหนือเศียรเกล้าของตนเป็นนิจสิน แม้ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายเลิกล้มระบอบศักดินาก็ตาม ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหากคำตอบนั้นเปลี่ยนไปในสักวัน--หากว่าระยะอำนาจของนายและบ่าวหดสั้นลงจนแทบไม่เห็นความต่าง--มนตราแห่งรักจะยังลอยฟุ้งในเรือนหลังน้อยนั่นอยู่หรือไม่
โดนัล ดัตตัน และอาเธอร์ อารอน กล่าวถึงอาการใจสั่นที่เกิดขึ้นในภาวะหลังจากผ่านการเสี่ยงตายร่วมกันของกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยใน 'ทฤษฎีสะพานแขวน' หรือ 'Misattribution of Arousal' ไว้ว่า
แลอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปในข้อสอง ความรักที่นิ่มมีต่อระพีมีความเวทนาอยู่ปริมาณมากทีเดียว อืม...ความเวทนานี่ก็แปลก ผสมกับความเทิดทูนออกมาเป็นรสชาติที่ลงตัวเหลือเกิน!
สหรัฐอเมริกา ดินแดนที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่และความทัดเทียมของพลเมือง อยู่ไกลสุดโพ้นฟ้าจากเรือนเล็กหลังบ้านของทั้งสอง ที่น่าสนใจกว่า--ในทรรศนะของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว--ที่น่าสนใจว่าการฝ่าฟันอุปสรรคสามชาติสามภพป่าท้อสิบหลี่ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพบกันในแดนห่างไกลอีกครั้ง คือโอกาสในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่หลังจากได้สลัดสิ้นความเป็นนายบ่าวแต่เดิม, ศัตรูที่มีร่วมกัน, ทฤษฎีสะพานแขวนห่าเหวของดร.ดัตตันและดร.อารอน เพื่อหาคำตอบว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นดั่งฝันหรือไม่หนอ The joy and thrill ของความรักที่ไม่ต้องพึ่งพากันและกันเพื่อให้ผ่านพ้นภยันตรายจะหอมรื่นชื่นใจเหมือนความโหยไห้ในเรือนเล็กหรือไม่หนอ
ท่านว่าน่าลองคิดหาคำตอบดูไหม?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in