และด้วยประโยคข้างต้นที่กล่าวมานี้เอง เป็นเหตุผลที่ตัดสินใจพาเธอกลับบ้านมาด้วยกัน รวม ๆ แล้วประกอบกับในช่วงนั้นหนังสือเรื่อง ปานหยาดน้ำผึ้งก็เป็นที่พูดถึงกันในกลุ่ม และตัวเล่มหนังสือเองต้องบอกเลยว่าถูกตาต้องใจกับเราจริง ๆ ปกที่ดูเรียบ ๆ แต่ดูมีระดับ พอนานวันเข้าก็เลย
แต่ร้านหนังสือบ้านเรานั้นมีน้อยร้านมากชนิดที่ว่าถ้าปิดก็คือไม่มีที่ไหนแล้ว สรุปคือมีร้านเดียวค่ะ ซีเอ็ดบุ๊ค เจ้าคุ้นเคยแต่ในตอนนั้นไปแล้วเหมือนจะไม่เจอ เลยพาตัวเองกลับบ้าน จนไม่นานมีโอกาสเข้าตัวเมือง เลยไปดูหนังสือเล่มนี้ในสาขาใหม่ ปรากฏว่า มีค่ะ หยิบกลับบ้านด้วยกันในวันนั้น
หลังจากที่เล่าที่มาที่ไปว่าได้หนังสือเล่มนี้มาได้อย่างไร ตอนนี้ก็เข้าสู่การซึึมซับเนื้อหาแล้วค่ะ
ก่อนจะเข้าขั้นของส่วนเนื้อหา เล่มนี้แต่ละหน้าความยาวไม่มาก เป็นบทกวี ตามโปรยหลังปกที่นักเขียน รูปี กอร์ ได้กล่าวไว้ ตามคำนำของสำนักพิมพ์ที่ได้บอกว่าเป็นบทกวีที่ผสมความเรียงเข้าไป
มีสั้นบ้าง ยาวเป็นหน้าก็มีแต่ไม่ถึงสิบ ชอบที่ยังคงแปลออกมาได้สวยงาม ภาษายังคงสละสลวย
เรานับถือตรงส่วนนี้ทีเดียว เล่มนี้ใครอยากจะลองอ่านดูก็ได้ค่ะตามแต่ท่านที่ต้องการ ก็ได้คนละมุมมอง คนละความคิดต่างกันไป
ส่วนตัวเนื้อเรื่องนั้นจะแบ่งเป็นบทย่อยๆ สี่บท ได้แก่
- รวดร้าว- หลงรัก
- เลิกรา
- เยียวยา
เรื่องราวภายในเล่มนั้นเริ่มต้มด้วยความ รวดร้าว สะท้อนถึงสังคมที่มีชายเป็นใหญ่
อย่างในบทที่กล่าวว่า
" เมื่อแม่อ้าปาก
จะพูดอะไรตอนมื้อค่ำ
พ่อมักจะปราม
ให้แม่ยั้งปากไว้
แล้วสั่งห้ามกินไปพูดไป
เช่นนั้นเองผู้หญิงในบ้านเรา
จึงได้เข้าใจว่าต้องปิดปากเงียบ "
ความจริงหากจะพูดว่าเป็นมารยาท อาจจะเป็นการพูดกล่าวด้วยความอ่อนโยน ตักเตือนสักเล็กน้อย
ในที่นี้เราตีความว่าเป็นการตักเตือนด้วยคำผรุสวาท และในตอนนั้นเรื่องราวของตัวบทแรกนี้
เป็นการบรรยายถึงช่วงที่ยังเป็น " เด็กหญิง " ใคร ๆ ต่างก็บอกว่า เด็กก็เหมือนดั่งผ้าขาว ตัวเราที่เลี้ยงดู
สังคมที่ล่อหลอมเป็นผู้แต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้านี้ให้แตกต่างพอผ้านั้นได้ซึมซับสิ่งเหล่านั้น เกิดเป็นสีสันหลายสิ่งอย่าง หากกลายเป็นการพูดจาที่รุนแรงแล้ว แน่นอนว่าใครๆนั้นก็คงจะไม่ชอบใจ ส่วนตัวเด็กนั้นอาจจะเกิดความกลัวขึ้นมาได้ด้วย บรรทัดที่ว่า " เช่นนั้นเองผู้หญิงในบ้านเราจึงได้เข้าใจว่าต้องปิดปากเงียบ " ณ ตรงจุดนี้ก็กลายเป็นตัวเด็กเองที่จะไม่กล้าออกสิทธิ์ ออกเสียง ยิ่งหากเจอสิ่งเหล่านี้เป็นประจำด้วยแล้ว จึงทำให้ภายในบ้านนั้นมีเพียงชายผู้นำครอบครัวที่มีสิทธิ์กล่าวได้ ส่วนหญิงในบ้านก็เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย...และน้อยครั้งที่จะพูดออกไป
ทั้งเรื่องของการล่วงละเมิดเด็กหญิงได้อย่างน่าสลดใจโดยคนในครอบครัวเองแล้วอย่างนี้แล้ว
จากความไว้เนื้อเชื่อใจกันนั้นจะมีค่าอย่างไรเสีย สถานที่ที่น่าจะเป็นที่พักพิงใจของเด็กคนหนึ่ง
กลับกลายเป็นสถานที่ต้องคอยหวาดระแวงจากคนในครอบครัวและคนรอบตัว ภายใจของ
เธอภายในนั้นรวดร้าวและชินชาไปเสียแล้ว
หากจะพูดว่าโลกนี้มีแต่ความขมขื่นก็คงจะไม่ถูกนัก เมื่อมีความรักนั้นเข้ามาปลอบประโลม หลงรัก
ช่างหวานฉ่ำราวกับน้ำผึ้งก็ไม่ปาน มีความรักกับผู้ที่รัก...เพราะรักนั้นจริงยอมโอนอ่อนแก่คุณ
" ผู้เป็นที่รัก " ช่วงเวลานี้เรามีกันและกัน
" แม้บางคราว
ความรักอาจจะทำร้าย
แต่ความรักไม่เคยมุ่งร้าย
ความรักไม่เล่นตลกกับผู้คน
เพราะรู้ดีว่า
ชีวิตเราทุกข์ทนเกินพอ "
หรือเป็นตัวเราเองกันแน่ที่เป็นผู้กระทำลงเสียเอง เป็นเราเองใช่หรือไม่? เป็นเพราะว่า...รัก
ถึงกระนั้นในวันหนึ่งที่ได้แปรเปลี่ยน แม้ในวันที่เคยหวานชื่น เปลี่ยนแปลงไปอีกในสถานะหนึ่ง เลิกรา
มีวันที่บรรจบพบเจอ ก็มีวันที่ต้องลาจาก คงถึงเวลาแล้วที่เราสองก้าวผ่านมาด้วยกัน ด้วยรัก
ด้วยเพลิงโทสะ หรือด้วยไฟราคะ หรือด้วยห้วงอารมณ์มากมายที่เกิดขึ้น ทุกข์ใจมามากพอแล้ว
กับการกระทำของเราสอง
" ฉันจากลา
ไม่ใช่เพราะหมดรัก
ฉันจากมา
เพราะยิ่งอยู่เนิ่นนาน
ฉันยิ่งรักตัวเองน้อยลง "
หลังผ่านเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมาเกินพอ หากจะ เยียวยา จิตใจของตนเองในเวลานี้ที่บอบช้ำ
" เขาอยากอยู่กับเราจริงแท้
เขาย่อมอยู่แน่ "
( แต่บรรทัด 2 บรรทัดนี้อยู่ในบท เลิกรา )
เวลานี้มีเพียงเรา มีตัวเราที่เดินร่วมทาง...ธรรมดาแล้วตัวเราเมื่อทำสิ่งใด หรือพบเจอกับอะไรแล้วทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เรานั้นรู้สึกดีขึ้น...ถึงวันนั้น เมื่อเลือกได้ก็คงจะขอถอยห่างไปเองแม้หากจะแยกจากันไปเหลือแค่เพียงเรา ก็ยังเป็นเรื่องดีที่จะได้อยู่กับตัวเอง หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน ที่เก็บซ่อนเอาไว้ ปล่อยวางและปลดปล่อยความเป็นตัวเอง มีทั้งทุกข์ มีทั้งสุขอยู่ปนกันไป
" ถ้าเราไม่ดีพอสำหรับตนเอง เราก็ไม่มีวันดีพอ สำหรับใครเลย " ( รูปี กอร์)
หากตัวเราไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วใจเล่าจะคิดว่าดีพอต่อใครใคร หากจะหันไปรักใครอื่น จงรักตัวเองด้วยเช่นกัน รักตัวเราดั่งที่ทุ่มเทให้รักแด่ผู้อื่น รักนั้นเริ่มจากเรา ตัวเรานั้นเองที่อยู่เคียงข้างตัวเรา สักวันหนึ่งเราจะเห็นคุณค่าของตัวเอง
และในวันหนึ่งที่รักตัวเอง เราก็ได้เห็นอีกหลายแง่มุม เมื่อถึงวันนั้นที่เขาไม่เคยปรานีแก่เรา เราจึงเมตตาปรานีแก่เขา เพราะเขานั้นน่าสงสาร ที่ยังคอยเปรียบตนเองกับผู้อื่นแต่ยังไม่เห็นคุณค่ากับสิ่งที่ตนมี ยังคงคอยเย้ยหยัน ว่ากล่าวให้แก่ผู้อื่น ในใจนั้นหรือคือคนผู้นั้นช่างน่าเศร้าใจ...
ป.ล.หากมีผู้อ่านท่านใดได้เข้ามาอ่านด้วยเหตุผลประการไฉน ต้องขอบคุณไว้ด้วยนะคะ ความคิดเห็นของเรานี้อาจจะมีความเห็นที่ตรงกัน หรือแตกต่าง หรืออาจจะไม่ตรงใจผู้อ่านคนใด เราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอบคุณกับการเข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ
-หวังว่าทุกท่านจะสนุกไปกับการอ่านด้วยกัน
นะคะ-
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in