“ที่นั่นหนาวมั้ย...จีไปหาแดนได้รึเปล่า”
“ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”
“ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”
“ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”
“ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”
ไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ
นึกอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แต่ก็อดจะถามไปไม่ได้
ตอนนี้ไม่ได้...แล้ววันข้างหน้าจะได้ไหมนะ
หวนคิดย้อนหลังไปหลังจากที่แดนไปส่งที่โฮสเทลนั่น
อยากบอกเขาเหลือเกินว่าตอนนี้ผมกลับไปอยู่กับจินเหมือนเดิมแล้วหลังจากที่ทำหยิ่งบอกว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน แต่นั่นล่ะหลังจากนอนโฮสเทลอยู่สองคืน ผมก็แบกหน้ากลับไปที่บ้านพ่อ
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย....ไอ้จินเพื่อนยากของผมเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีมันบอกทีหลังว่าเป็นห่วงเลยตามมาดูที่บ้าน ไม่น่าเชื่อคนอย่างไอ้จินต้องมาหลั่งน้ำตาให้ผม มันช่วยผมทำแผลไปร้องไห้ไปลูกผู้ชายอย่างไอ้จินร้องไห้ พร้อมกับขอโทษขอโพยผมทั้งๆที่มันไม่ได้ทำผิดอะไรผมต่างหากที่ผิดเอง ผิดที่มีพ่อเหี้ยๆอย่างนี้ หลังจากไอ้จินเช็ดน้ำตามันถามผมด้วยน้ำเสียงฉงนว่า
“ไอ้จีทำไมมึงไม่ร้องไห้เลยวะ น้ำตาสักหยดก็ไม่มี”
“กูไม่มีวันร้องไห้ให้เหี้ยตัวนั้น
“ไม่ต้องห่วงนะมึง เรื่องเงินค่าหอเนี่ยกูคุยกับพ่อแม่แล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บอกให้มึงอยู่ไปเลย มีตอนไหนค่อยมาใช้”
“ขอบใจนะมึง เดี๋ยวกูจะเร่งทำงานพิเศษ จะสมัครทุน จะทำทุกอย่างเลย”
“พอก่อนๆ ค่อยๆคิดแล้วนี่ก่อนมึงจะไปนอนบ้านมึงเล่นไปนอนโฮสเทลเนี่ยนะ เงินก็ยิ่งไม่มีอยู่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีคนช่วยกูไว้” หน้าที่ตึงอยู่คลายลงเมื่อคิดถึงคนที่ช่วย
หลายวันผ่านไปผมยุ่งอยู่กับการจัดการชีวิตเส็งเคร็งทั้งเรียนทั้งทำงานพิเศษจนแทบไม่มีเวลานึกถึง“เขาคนนั้น” ถ้าไม่ใช่ในตอนเย็นวันหนึ่ง“พี่ธงฉาน” ชายหนุ่มผู้มีกลุ่มดาวสามดวงบนแก้มซ้ายจะโทร.หาผมเพื่อให้ไปรับ“จ๊อบพิเศษ”
“ช่วงนี้จีว่างมั้ย จะให้มาทำงานให้หน่อย” ธงฉานกรอกเสียงหล่อมาตามสาย
“แบบเดิมรึเปล่าพี่ รายงานวิชาอะไรอะ”
“ป่าวๆ จะให้มาช่วยเพื่อนพี่จัดของ”
“คือก็ช่วยจัดข้าวของในห้อง ทำความสะอาดอะไรพวกนี้อะ รับรึเปล่าอะเงินดีนะ”
“ได้ครับพี่”
“เดี๋ยวพี่ให้มันโทร.ไปหาเรานะ”
“ว่าแต่เพื่อนพี่ชื่ออะไรครับ”
“ไอ้แดน...แดนไท”
......
ผมยังจำภาพวันนั้นได้ดี วันที่ผมไปรับ “จ๊อบพิเศษ”ด้วยการทำความสะอาดจัดห้อง งานจิปาถะอะไรพวกนี้ผมรับหมด
“น่าแปลกใจจัง” ผมอดคิดไม่ได้ คนระดับแดนไทและครอบครัวที่รวยมหาศาลไม่มีความจำเป็นจะต้องจ้างนักศึกษาตัวเล็กๆอย่างผมให้มาทำความสะอาดหรือจัดของอะไรเพราะปกติคน “ระดับนี้” มักจะจ้างบริษัททำความสะอาดมืออาชีพมาจัดการอยู่แล้ว
ยืนคิดอะไรเพลินๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ร่างสูงก็มายืนอยู่ข้างหลังหน้าอกแทบจะประชิดหลังเพราะรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รดอยู่บนคอ
“มัวยืนทำอะไร ไปนั่งได้แล้ว” แดนไทส่งเสียงทุ้มๆ ถามโดยที่ผมไม่กล้าจะหันกลับไปเพราะถ้าหันไปรับรองว่าอาจจะ “เป็นเรื่อง”
“อ่อครับ” ผมตอบรับแบบงงๆก่อนจะลากเท้าไปยังโซฟาที่ปรายตามองดูก็รู้น่าจะแพงระยับอีกเช่นกัน
“พี่จะให้ผมมาช่วยจัดของ ทำความสะอาดไม่ใช่เหรอครับแต่ที่นี่ก็สะอาดเรียบร้อยดีนี่นา” ผมถามออกไปด้วยความฉงน
“ไอ้ธงฉานมันบอกยังงั้นเหรอ” แดนไทเอ่ยเสียงเรียบๆขัดกับแววตาสุกใสที่ซ่อนประกายความขี้เล่นนั่น
“ครับ พี่ธงฉานบอก”
“เป็นไงมั่ง โฮสเทลที่ไปนอนตอนนั้น นอนสบายดีมั้ย”
“ก็...ดีครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้ไปนอนแล้วครับ มันแพง”
“ดีแล้ว หาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งดีกว่า”
“เอ่อ พี่ครับ เรื่องเงินนั่น เดี๋ยวมีเมื่อไหร่ผมจะรีบเอามาใช้คืนเลยนะครับ”
“เฮ้ย ที่พี่พูดเรื่องโฮสเทล ไม่ได้จะทวงเงิน อีก
“อะ กินนี่ก่อน เราน่ะกินน้ำผลไม้ไป” ผมรับมาอย่างเก้ๆกังๆก่อนจะกรอกน้ำเข้าปากด้วยอารมณ์อึดอัดใจ
“เป็นอะไร ดูท่าทางเกร็งๆ เครียดๆ”
“อ่า คือผมอยากรู้ครับว่าพี่จะจ้างผมมาทำอะไร”
“พี่มีชื่อนะ เรียกชื่อด้วยดิ” แดนไทพูดเสร็จก็กรอกเบียร์เข้าปากอึกใหญ่ ก่อนจะวางกระป๋องลงและแน่นอนสายตาคมจับจ้องมาที่ผมเขม็ง
“พี่...แดน” ผมค่อยๆเปล่งเสียงออกไป
“เฮ้ย พี่ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มาร กลัวอะไรเนี่ย”
“ไม่ได้กลัวครับ แต่...บอกไม่ถูก”
“น้องจี...ที่พี่ให้เรามาวันนี้ ไม่มีอะไรหรอก อยากเลี้ยงข้าวเราน่ะ”
“ห๊ะ...อะไรนะครับ”
“เลี้ยง – ข้าว – ไง”
ไม่นานเท่าไหร่ แดนไทก็เรียกผมไปที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ข้างครัว
“พี่สั่งกับข้าวมาแล้ว มีทั้งไก่ทอด อาหารหลายอย่างเลยจีช่วยพี่จัดใส่จานหน่อยนะ”
“พี่...พี่แดนจะเลี้ยงคนทั้งคอนโดรึเปล่าครับ มันเยอะมากเลย”
“ก็กลัวเรากินไม่อิ่มไง เผื่อเหลือดีกว่าขาดนะ”
“ทำไมพี่ถึงจะเลี้ยงข้าวผมล่ะครับ”
“ก็เห็นไม่ค่อยได้กินข้าว”
“พี่รู้ได้ยังไง”
“สายสืบพี่เยอะ”
ยิ่งพูดยิ่งงงแฮะ แต่ผมก็ไม่ได้ซักอะไรพี่แดนต่อเพราะร่างสูงส่งยิ้มกว้างๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าที่บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่า “ผู้ชายคนนี้”ทำไมถึงได้ยิ้มง่าย หัวเราะง่ายนักหนา
เคยมีคนบอกว่า การที่เราได้ใช้ช่วงเวลาในการ “กินข้าว” กับใครเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดอีกช่วงในชีวิต ผมไม่เคยเห็นด้วยกับคำกล่าวมาก่อนเลยจนถึงช่วงเวลาที่ผมได้กินข้าวกับเขาคนนี้
“กินเยอะๆเลย ไก่ทอดแบรนด์นี้อร่อยสุดๆเลย นี่สั่งมาตั้งสองกล่อง กลัวเรากินไม่อิ่ม”
“ตักเยอะๆ ทอดมันกุ้งร้านนี้ พี่ชอบมากเลย มันเด้งดีร้านนี้พี่กินมาเป็นสิบปีแล้ว”
“เอาน้ำแข็งเพิ่มมั้ย ชอบกินโค้กเหรอเราน่ะ เห็นซัดใหญ่”
“ปากเลอะหมดแล้ว เชื่อแล้วว่าชอบกินไก่จริงๆ”
น้ำเสียงและรอยยิ้มนั่นช่วยทำให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน พี่แดนกับผมช่วยกันล้างจาน เราต่างผลัดเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
ใช้เวลาจัดการจานชามไม่นานนักเราสองคนก็ดูเหมือนจะอิ่มจนหมดแรงและสุดท้ายก็จบลงที่การนั่งแหมะบนโซฟาสีน้ำตาลนุ่ม ผิดแต่ว่า....ตอนนี้ “เขา” ไม่ได้นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างในตอนแรก
“พี่แดน ... ทำไม...”
“อืม ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วนะครับ ก็บอกแล้วว่าอยากเลี้ยงข้าว”
“ง่วงแล้วเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่”
“ไม่ต้องปฏิเสธเลยนะ”
“ครับ”
“มีอีกอย่างว่าจะบอก เกือบลืมเลย”เจ้าของหองหรูบอกระหว่างควานหากุญแจรถบนเคาน์เตอร์หน้าโซฟา
“อะไรเหรอครับพี่”
“ที่คณะเค้ามีทุนทัศนศึกษาที่เกาหลี ให้ทุน
“อ่า...แล้ว?”
“ไปสมัครสิ ถ้าได้เดือนเมษาจะได้ไปเที่ยวเกาหลีตั้งอาทิตย์นึงเลยนะ”
“ผมไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเท่าไหร่” ผมตอบเรียบๆเหมือนไม่ได้สนใจ
“ก็เรียนดีไง เราเรียนเก่งไม่ใช่เหรอ ลองดูสิ มันเป็นโอกาสนะ”
“ถ้าได้ไป ผมคงไม่มีเงินไปหรอกครับ”
“ก็บอกว่าเค้าให้ทุนไง ไปฟรี” ร่างสูงยังไม่ลดละความพยายาม
“เดี๋ยวจะลองไปดูนะครับ” ตอนนั้นจิรพัฒน์แน่ใจว่าตัวเขาเองรับปากไปส่งๆเพราะรู้สึกว่าตัวเองง่วงเกินกว่าจะคิดอะไรมากกว่ารับคำของคนหวังดีไปรู้ตัวอีกทีแดนไทก็ขับรถมาส่งถึงหน้าหอ และถ้าจำไม่ผิดประโยคสุดท้ายหลังจากกล่าวขอบคุณไปน่าจะเป็นคำสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษแต่ฟังแล้วรู้สึกดีชะมัด
“วันหลังกินข้าวด้วยกันอีกนะ”
และหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีหลายสถานการณ์ที่นำพาให้เราทั้งสองได้“กินข้าว” ด้วยกันบ่อยๆ และไม่นานนักหลังจากนั้นทุนทัศนศึกษาเกาหลีก็ประกาศและหนึ่งในผู้ที่ได้รับทุนก็คือ จิรพัฒน์ นั่นเอง เขาเป็นหนึ่งในสิบจะต้องไปท่องแดนโสม
ที่เกาหลีในฤดูสปริงหรือฤดูใบไม้ผลินั่นเอง...เป็นช่วงเวลาที่จะเปลี่ยน“สถานะ” และ “ความสัมพันธ์” ของทั้งสองคนไปอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in